ตอนที่ 40
ตอนที่ 40 นางเจี่ยง
ครั้นเห็นใบหน้าสงบนิ่งดุจสายน้ำ ท่าทางสุขุมของเจินเจี้ยนเหวินแล้ว นางเจี่ยงก็ลอบแค่นยิ้มอยู่ภายในใจ
คิดว่านางโง่งมกระทั่งดูไม่ออกหรอกหรือว่าเขาวิ่งมาหานางถึงห้องก็เพื่อบุตรสาวของอนุภรรยา หวังให้บุตรสาวสุดรักได้ออกจากจวนไปเที่ยวเล่น
บางคนที่ฉลาดอาจคิดว่านางเลอะเลือน เข้าใจว่านางไม่ทราบว่านายท่านผู้สืบทอดรักอนุภรรยาและบุตรอนุนั้นเพียงใด ที่ให้ความเคารพเกรงใจนางเป็นพิเศษก็เพราะคิดเผื่ออนุภรรยาและบุตรของนางทั้งสิ้น
หึๆ ช่างน่าขำนัก นางอย่างน้อยก็มาจากตระกูลเก่าแก่สูงศักดิ์ แผนการเล็กน้อยของบุรุษมีหรือนางจะดูไม่ออก?
ในเมื่อเขายินยอมที่จะให้ความเคารพนาง ให้เกียรตินาง เหตุใดนางต้องไม่รับด้วยเล่า
ก็แค่บุตรอนุภรรยาคนหนึ่ง มิได้สลักชื่อไว้ใต้นามของนางเสียหน่อย หากจะคิดแผนการใดเพื่อนาง ก็เป็นเพียงเรื่องการแต่งงานอันสมเกียรติสักหน่อยเท่านั้น เหตุใดนางต้องขัดแย้งกับนายท่านผู้สืบทอดเพราะเรื่องเล็กน้อยนี้ด้วยเล่า
ส่วนหลานอี๋เหนียงก็เป็นเพียงบ่าวรับใช้ผู้หนึ่ง เป็นแค่ของเล่นที่นำมาจัดวางไว้เท่านั้น หากคิดจะสร้างความวุ่นวายให้นางจริงก็แค่ขายทิ้งไป มินับเป็นอันใดได้
นายท่านผู้สืบทอดคงมิหย่าร้างจากภรรยาเอกที่คอยอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวและบุตรชายของตนกระมัง? ต่อให้นายท่านผู้สืบทอดคิดกระทำผิดเช่นนั้น ไม้เท้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็คงมิรับปากเป็นแน่
ครานี้เป็นอย่างไร เพียงแค่บุตรสาวสุดรักของเขาก้าวเท้าออกจากจวนก็ทะยานพุ่งขึ้นฟ้ากว้างจนเป็นรูโหว่ ไม่ต่างอันใดกับการตบหน้านายท่านผู้สืบทอดดังเพี๊ยะๆ
ช่วยคลาย...โทสะให้นางได้จริงๆ
นางเจี่ยงคลี่ยิ้ม หลุบม่านตาลงต่ำ ยกชาร้อนที่วางบนโต๊ะไม้สาลี่ขึ้นจิบคำหนึ่ง
เจินเจี้ยนเหวินหันกลับไปเห็นนางเจี่ยงดื่มชาก็รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย
เขาร้อนใจจนยืนไม่ติดที่ ทว่านางเจี่ยงกลับยังคงสงบนิ่ง!
เขาอดเอ่ยปากมิได้ว่า “นางเจี่ยง เรื่องวันนี้ เจ้าคิดวิธีไว้แล้วหรือไม่ หากมิรีบเตรียมการไว้ก่อน แล้วเรื่องที่หาจิ้งเอ๋อร์ไม่พบแพร่ออกไป ทุกอย่างคงจบสิ้นแล้ว! ”
นางเจี่ยงลอบยกมุมปากขึ้น แค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ ยามนี้รู้จักร้อนใจแล้ว มาถามข้าถึงวิธีการแก้ไข เช่นนั้นจะออกไปทำอันใดตั้งแต่แรก!
นางค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น รินน้ำชาจอกหนึ่งแล้วส่งให้เจินเจี้ยนเหวิน เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “แม้ซื่อจื่อร้อนใจไปกว่านี้ ต่อให้ลนลานดุจไฟเผาก็มิอาจแก้ไขเรื่องนี้ได้ จิ้งเอ๋อร์หายตัวไปหลังจากไปที่สวนองุ่น เฮ่าเกอก็เป็นผู้รู้เหมาะสม ครั้นเกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาหาคนไม่พบก็รีบกลับมาทันที ข่าวเรื่องนี้ย่อมมิอาจแพร่ออกไปเร็วถึงเพียงนั้นแน่”
เจินเจี้ยนเหวินฟังแล้ว หัวใจที่กังวลอยู่นั้นก็ค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อย
นางเจี่ยงเอ่ยต่อว่า “ซื่อจื่อวางใจเถิด บ่าวรับใช้ที่ติดตามเฮ่าเกอออกไปนั้นข้าส่งคนไปปิดปากพวกเขาแล้ว รอให้เรื่องนี้ผ่านไปก็แค่ส่งออกไปอยู่ชนบทเสีย บิดามารดาพวกเขาล้วนอยู่ในจวน พวกเขาย่อมรู้จักแยกแยะหนักเบาดี”
เมื่อได้ฟังนางเจี่ยงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า เจินเจี้ยนเหวินก็อดคิดไปถึงใบหน้าของหลานอี๋เหนียงหลังจากทราบเรื่องนี้ไม่ได้ นางร่ำไห้ดุจดอกหลีพรมหยาดพิรุณ
เขามักรู้สึกว่าผู้มีชาติกำเนิดจากบ่าวนั้นเป็นสตรีที่งดงามฉลาดหลักแหลมยิ่ง แต่เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องร้ายแรง นางกลับยังห่างไกลจากนางเจี่ยงมากมายนัก
เมื่อมองนางเจี่ยงผู้มีท่าทีสุขุมนุ่มลึกนั้นแล้ว ในอดีตมักจะรู้สึกว่าไร้ความน่าสนใจยิ่ง แต่เวลานี้หัวใจของเจินเจี้ยนเหวินกลับร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง จึงกุมมือนางเจี่ยงไว้อย่างอดไม่ได้
ในอดีตนั้นเป็นเขาเองที่คิดผิดไป
สาวใช้นั้นต่อให้งดงามเพียงใดก็เป็นเพียงสิ่งของที่มิอาจยกย่องเชิดชูออกหน้าได้ เขามีความสุขชั่วครู่ชั่วยามก็พอ หากเอาใจใส่ ทุ่มเทมากเกินไป ย่อมแสดงว่าเขาเลอะเลือนไปแล้ว
เช่นนั้นจิ้งเอ๋อร์ที่ว่านอนสอนง่ายมาตลอดจะก่อเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้หรือ เป็นเพราะอี๋เหนียงเลี้ยงดูจนบุตรสาวเสียคนเช่นนี้
“ซื่อจื่อ” นางเจี่ยงหน้าแดงเล็กน้อย
ในอดีตนั้นนางเข้าใจดีว่าแม้นายท่านผู้สืบทอดจะมาที่ห้องนางนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าการกระทำอย่างขอไปทีในก้นบึ้งของแววตานั้นมิอาจปิดบังนางได้
ทว่าแววตาของเขาในวันนี้กลับเป็นเช่นช่วงสองปีแรกที่แต่งงานกัน
“นางเจี่ยง ข้าทำให้เจ้าต้องกลัดกลุ้มแล้ว หากให้เจ้าอบรมจิ้งเอ๋อร์ตั้งแต่แรก คงไม่มีเรื่องเช่นวันนี้แน่” มีความเสียใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเจินเจี้ยนเหวิน
นางเจี่ยงเก็บซ่อนแววเย็นชาในดวงตาที่วูบผ่านไปนั้นอย่างรวดเร็ว นางมิได้เอ่ยต่อคำ เพียงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ซื่อจื่อมิต้องร้อนใจไป จิ้งเอ๋อร์ตัวโตออกปานนั้นไม่มีทางหายอย่างแน่นอน บางทีพรุ่งนี้นางอาจกลับมาแล้วก็เป็นได้”
สีหน้าของเจินเจี้ยนเหวินยังคงไม่สู้ดี “นางเป็นสตรี หากกลับมาพรุ่งนี้ ก็นับว่าได้สูญสิ้นทุกอย่างไปชั่วชีวิตแล้ว”
เพื่อการแต่งงานของบุตรสาวของอนุภรรยาคนนี้ เขาวางแผนทุ่มเทไปเท่าใด การหมั้นหมายกับตระกูลเสนาบดีกรมพิธีการได้ถูกยกเลิกไปเพราะเหตุไม่คาดฝัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะเลือกคนหนุ่มมากความสามารถได้สักคน คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุพลิกผันเช่นนี้อีก
แม้บัณฑิตชั้นสูงสกุลหานจะมีชาติกำเนิดจากครอบครัวที่ยากจน แต่กลับมีความรู้ความสามารถอย่างยิ่ง ที่ถูกใจเขาที่สุดคือมิได้มีอุปนิสัยอ่อนแออวดเก่งอย่างบัณฑิตทั่วไป ทั้งยังขาดบิดา ภายหน้าก็มิใช่หวังจะพึ่งพาพ่อตาเช่นเขาหรอกหรือ
ภัยพิบัตินั้นตกจากฟ้ามาจริงๆ !
เจินเจี้ยนเหวินรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่ใจอ่อนให้กับอนุภรรยาจนยอมให้เจินจิ้งออกนอกจวน
เมื่อมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปหลากหลายยากจะคาดเดาของเจินเจี้ยนเหวินแล้ว นางเจี่ยงก็ได้แต่ลอบยิ้มออกมา
สูญสิ้นทุกอย่างไปชั่วชีวิตงั้นหรือ เกี่ยวอันใดกับนางเล่า
หญิงสาวผู้หนึ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องราวเป็นเช่นใดยังต้องให้พูดอีกหรือ
หากมิใช่หนีตามบุรุษก็คงถูกอันธพาลฉุดคร่าไปแล้ว
เรื่องนี้นางมิได้พูดในฐานะภรรยาเอก แต่ความเป็นไปได้นั้นมีไม่มากนักหรอก
เทศกาลชีซีนั้นเป็นเทศกาลสำหรับหนุ่มสาว แต่ต่อให้ราชวงศ์ต้าโจวจะเปิดกว้างมากเพียงใด การก่อเรื่องน่าขบขันก็มิได้น่าฟังนัก
ทุกปีเทศกาลนี้จะต้องมีกองพลมังกรพยัคฆ์และกองกำลังทหารม้าทั้งห้ามาคอยลานตะเวน
หากพบสิ่งผิดปรกติเพียงตะโกนร้องเสียงดัง ยังจะกลัวไม่มีคนมาช่วยอีกหรือ
เทศกาลชีซีจัดขึ้นมาหลายปีแล้วยังมิเคยมีเรื่องสกปรกเช่นนี้สักครา
ความเป็นไปได้ที่เหลืออยู่ก็มีเพียง...นางเจี่ยงแค่นยิ้มอยู่ภายในใจ
คุณหนูสามคิดการใหญ่ ดูแคลนบัณฑิตชั้นสูงที่เกิดจากครอบครัวยากจนจึงคิดปีนป่ายขึ้นที่สูงอย่างไรเล่า ส่วนจะสามารถปีนป่ายขึ้นไปได้หรือไม่นั้น นางมิจำเป็นต้องกังวล
หากปีนป่ายได้สำเร็จย่อมมิเอ่ยปาก แต่ถ้าไม่สำเร็จก็เพียงยกโรคสักชนิดขึ้นเพื่อใช้ในการถอนหมั้น ภายหลังค่อยหาข้ออ้างสักอย่างให้ไปบวช อย่างไรเสียแค่แม่ชีเพียงคนเดียวจวนเจี้ยนอานปั๋วก็เลี้ยงได้อยู่แล้ว
บุตรสาวคนโตของนางออกเรือนไปแล้ว บุตรชายก็ยังเล็ก รออีกสักเจ็ดแปดปีค่อยแต่งสะใภ้ ถึงตอนนั้นใครยังจะจำได้ว่าบุตรของอนุภรรยาได้ก่อเรื่องอันใดไว้
เพราะนางเจี่ยงมิได้ใส่ใจสักนิด ทำให้ท่าทีที่แสดงออกนั้นดูสุขุมเยือกเย็นยิ่ง
เจินเจี้ยนเหวินเห็นแล้วก็ได้แต่ลอบชมเชยในความนิ่งขรึมของนางเจี่ยงอยู่เงียบๆ ครั้นจิตใจสงบลงได้บ้างแล้วจึงเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนออกไปว่า “นางเจี่ยง เจ้ารีบไปพักผ่อนเถิด ข้าจะไปห้องตำรา สอบถามความคืบหน้าเสียหน่อย”
“อืม” นางเจี่ยงรับคำอย่าอ่อนโยนใส่ใจ
หลังจากที่นายท่านผู้สืบทอดจากไป แสงไฟในสวนหมิงหวาก็ดับลงทันที
วันต่อมา...เจินเมี่ยวตื่นตั้งแต่เช้าตรู่
เมื่อวานฮูหยินผู้เฒ่าบอกให้นางและเจินเหยียนไปกินข้าวเป็นเพื่อน วันนี้มิใคร่อยากกินสิ่งใดจึงคิดว่าจะนำผักดองที่ทำไว้เมื่อหลายวันก่อนไปด้วย
ราชวงศ์ต้าโจวนั้นมีผักผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์ พริกก็มีมานานแล้ว เพียงแต่วิธีการกินยังคงเรียบง่ายไปสักหน่อยเท่านั้น
เช่นผักดองก็ใช้หัวไชเท้า ผักกาดขาว ถั่วงอกที่พบเห็นเป็นประจำพวกนี้มาทำ
อากาศร้อนๆ เช่นนี้ ผักดองเปรี้ยวเร็วนัก ทำหลากหลายชนิดก็กินไม่หมด เจินเมี่ยวจึงมิได้ทำหลายสิ่งที่กล่าวมา นางดองเพียงพริกและมะเขือยาวเท่านั้น
นางตักเอามะเขือยาวขึ้นจากไหมาวางลงบนจาน แล้วนำไปนึ่ง นึ่งไปสักพักก็นำพริกแดงที่หั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโรยลงไปแล้วนึ่งต่อจนสุก ใส่น้ำมันงาอีกสักหน่อย รอให้ไอร้อนระเหยพอประมาณแล้วจึงใส่ในตะกร้าอาหาร แล้วส่งให้จื่อซูถือไว้แล้วมุ่งหน้าไปที่เรือนหนิงโซ่ว
เจินเหยียนรออยู่บนเส้นทางที่จะไปนานแล้ว เมื่อพบกันนางก็หยอกล้อเจินเมี่ยวเรื่องที่ได้ของมีค่ามากมายเมื่อวานนี้
เห็นท่าทางของเจินเหยียนเช่นนั้น คิดว่าคงไม่ทราบเรื่องราวเป็นแน่
เรื่องเมื่อวานเจินปิง เจินอวี้ต้องทราบแน่ เจินเมี่ยวจึงยื่นหน้าชิดริมหูนาง กระซิบบอกเรื่องราวทั้งหมดต่อเจินเหยียน