ตอนที่ 39
ตอนที่ 39 หายตัวไป
“ว่าอย่างไรนะ” เจินเมี่ยวรู้สึกดั่งถูกฟ้าผ่าลงบนศีรษะกลางวันแสกๆ ก็มิปาน
นางไปเดินเล่นที่เทศกาลชีซีเพียงครั้ง ก่อเรื่องยุ่งยากให้ตนไม่พอ ครั้นกลับถึงเรือนก็ยังต้องพบกับเรื่องอันทุกข์ทนเช่นนี้อีก
เมื่อเห็นเมี่ยวอึ้งงันไป จื่อซูคิดว่านางคงลืมไปแล้วว่าอากุ้ยคือสิ่งใด จึงเอ่ยเตือนเสียงแผ่วเบา “คุณหนู อากุ้ยก็คือห่านขาวที่นายท่านผู้เฒ่าซื้อมาด้วยราคาหนึ่งร้อยตำลึงนั้นอย่างไรเจ้าคะ เอ่อ ที่มันถูกผู้ใดไม่ทราบทุบตีจนสลบไปในสวนดอกไม้...”
เจินเมี่ยวเบ้ปากตนคราหนึ่ง
นางจะลืมได้อย่างไร นางเป็นผู้ตีอากุ้ยจนสลบเอง!
ครั้นมองเสี่ยวฉานที่มีสีหน้าร้อนรนทำอันใดไม่ถูก เจินเมี่ยวก็โมโหขึ้นมา “เสี่ยวฉาน เหตุใดเจ้าถึงสะเพร่าเช่นนี้ แค่นกเอี้ยงตัวเดียวยังดูแลมิได้ เย็นนี้ เย็นนี้เจ้ามิต้องกินข้าวเย็น กลับห้องไปสำนึกผิดเสีย! ”
สำหรับเจินเมี่ยวแล้ว การมิให้กินข้าวนั้นเป็นการทำโทษที่หนักที่สุดแล้ว
อย่างไรคนก็ต้องกินข้าว ไม่ได้กินเพียงหนึ่งมื้อก็หิวจนลนลานแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงหรือประชาชนทั่วไป ร่างกายทุกคนล้วนเป็นเช่นเดียวกันทั้งสิ้น
เสี่ยวฉานติดตามเจินเมี่ยวมาระยะหนึ่งแล้วมิเคยเห็นนางโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้มาก่อน ด้วยเกรงกลัวจึงพูดความจริงออกไปว่า “คุณ...คุณหนู บ่าวกินข้าวไปแล้วเจ้าค่ะ...” พูดพลางมองหน้าเจินเมี่ยวอย่างระแวดระวัง และเอ่ยอธิบายว่า “มันเลย เลยเวลากินข้าวมาแล้วเจ้าค่ะ...”
เจินเมี่ยวเก็บกักโลหิตแห่งความเบื่อหน่ายไว้ในหัวใจ สะบัดแขนเสื้อเดินเข้าประตูไป นางเอ่ยกำชับกับจื่อซูเพียงคำว่า “จื่อซู ให้เสี่ยวฉานกลับไปสำนึกผิดที่ห้อง อย่ามาคุกเข่าที่ตรงนี้ให้รกสายตา! ”
จื่อซูฟังแล้ว ใบหน้าที่เฉยชามาตลอดพลันอ่อนโยนลงเล็กน้อย ในใจกล่าวว่าคุณหนูสี่ผู้นี้จิตใจดีอย่างหาได้ยากยิ่ง
หากเป็นเช่นนี้ การได้ติดตามนางไปตลอดก็คงไม่เลว
แต่อุปนิสัยนี้ของคุณหนูสี่ เกรงว่าภายหน้าอาจถูกผู้อื่นเอาเปรียบได้โดยง่าย ต่อไปนางต้องมีสติให้มากขึ้น
มิเอ่ยถึงความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยนี้ของจื่อซูแล้ว
เจินเมี่ยวเดินเข้าเรือนแล้วตรงดิ่งไปห้องอาบน้ำทันที ครั้นเสร็จก็นอนแผ่หลาลงบนเตียงไม่ขยับเขยื้อน
วันนี้ เหนื่อยเหลือเกิน!
“คุณหนู มิอาจนอนหลับไปทั้งอย่างนี้ได้ ผมยังมิแห้ง พรุ่งนี้อาจปวดศีรษะได้เจ้าค่ะ” ไป่หลิงนำเยี่ยอิงเข้ามา ทั้งสองต่างถือผ้าแห้งมาคนละผืน เพื่อมาเช็ดผมให้นาง
เจินเมี่ยวนอนอยู่บนเตียงไม่ขยับ ปล่อยให้พวกนางปรนนิบัติ
ผ่านไปไม่นานอาหลวนที่จัดการตนเองเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามานั่งลงบนตั่งน้อยข้างเตียงคอยนวดมือให้เจินเมี่ยวโดยไม่ส่งเสียงใดๆ
เจินเมี่ยวปรือตาขึ้นมองอาหลวนคราหนึ่ง
อาหลวนมานั่งอยู่ที่นี่อย่างสงบเสงี่ยมทั้งที่ผมของนางยังมิทันแห้งด้วยซ้ำ เส้นผมอันเปียกชื้นนั้นสยายลงมาดุจสาหร่ายทะเล ขับเน้นให้ผิวนางขาวยิ่งกว่าหิมะ ดวงหน้างดงามดุจหยก ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามเหลือเกินจริงๆ
เจินเมี่ยวถอนหายใจเสียงต่ำอยู่ในอก มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า การได้มองคนและทัศนียภาพที่สวยงามนั้นสามารถทำให้จิตใจคนเบิกบานได้
นี่คือเหตุผลที่นางเลือกสาวงามหยาดเยิ้มเช่นนี้มาเป็นบ่าวรับใช้
วันเวลาข้างหน้าไม่รู้ว่าตนจักต้องพบเจอความมืดมนและน่าเบื่อหน่ายใดบ้าง การได้มองทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ทุกวันก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย
“อาหลวน วันนี้เจ้าคอยติดตามข้าคงเหนื่อยมากแล้วเช่นกัน มิต้องมาปรนนิบัติข้าแล้ว รีบไปพักผ่อนเถิด”
อาหลวนก้มหน้าต่ำ นวดคลึงมือนางอย่างจริงจัง “บ่าวไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ” แล้วก็ไม่มีวาจาใดอีก
เจินเมี่ยวรู้จักอุปนิสัยของสาวใช้แต่ละคนมากขึ้นพอสมควรแล้ว นางทราบว่าอาหลวนนนั้นมิชอบเอ่ยวาจา แลไม่ปากมาก
ทว่าไป่หลิงนั้นลอบมองอาหลวนคราหนึ่งแล้วเบ้ปากตนอยู่เงียบๆ
ไม่ทราบจริงๆ ว่าอาหลวนมีอันใดดี ทั้งที่มิเคยเอ่ยวาจาใด แต่คุณหนูกลับพานางไปร่วมงานเทศกาลชีซีด้วย
แม้วันนี้เหล่าสาวใช้จะสามารถไปเยี่ยมบิดามารดาตนได้ แต่นั่นหมายถึงสาวใช้ที่กำเนิดในจวน สาวใช้ที่ถูกซื้อมาจากข้างนอกเช่นพวกนางไหนเลยจะมีบิดามารดาอันใด
การได้ติดตามคุณหนูออกไปข้างนอกต่างหากจึงเป็นการเปิดหูเปิดตาและได้หน้าอย่างที่สุด
หรือเพราะ...หรือเพราะอาหลวนหน้าตาสะสวยเล่า?
เมื่อมองใบหน้างดงามของเจินเมี่ยวแล้ว ไป่หลิงก็รู้สึกว่าความคิดของตนออกจะเหลวไหลอยู่บ้าง
คุณหนูก็มิใช่บุรุษที่จะเห็นสาวใช้ใดรูปโฉมงดงามแล้วต้องโปรดปรานรักใคร่ผู้นั้นอย่างที่สุดเสียหน่อย
นางคงคิดมากเกินไป
แต่นางกลับมิทราบว่าเยี่ยอิงที่มีใบหน้าใสซื่อนั้นกำลังคิดในใจว่า ที่แท้คุณหนูชมชอบสาวใช้ที่รูปโฉมงดงาม อาหลวนและไป่หลิงที่ได้เป็นบ่าวรับใช้ขั้นสองนั้นต่างก็เป็นสาวใช้ที่หน้าตาโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม
ไม่ได้แล้ว ต่อไปนางต้องเรียนรู้ที่จะแต่งตัวประทินโฉมบ้าง
เจินเมี่ยวที่ไม่รู้ตัวเลยว่านางได้กลายเป็นผู้จุดประกายให้สาวใช้ลุกขึ้นมารักสวยรักงามนั้นหลับไปอย่างสบายอารมณ์แล้ว
ทว่าหลับไปได้เพียงครึ่งคืนก็ถูกคนปลุกให้ตื่น
“จื่อซู?” เจินเมี่ยวลืมตาขึ้น
ไม่ทราบว่าอาหลวนและคนอื่นๆ ออกไปตั้งแต่เมื่อใด เห็นเพียงแต่ว่าคนที่ปลุกนางขึ้นมาคือจื่อซู เจินเมี่ยวแปลกใจเล็กน้อย นางนวดคลึงดวงตาครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามว่า “จื่อซู ตอนนี้ยามใดแล้ว มีเรื่องอะไรหรือ”
จื่อซูจัดการเรื่องใดล้วนสุขุม แม้หว่างคิ้วจะมีความร้อนใจอยู่แต่ด้วยเกรงจะทำให้เจินเมี่ยวตกใจจึงยังมิเอ่ยอันใด เพียงประคองนางให้ลุกขึ้นนั่งพิงหมอนอิงสีเหลืองเข้ม รอจนสายตาของเจินเมี่ยวหายพร่ามัว จึงเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “คุณหนู เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวใจหายวาบ ครานี้รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว นัยน์ตาแวววาวคู่นั้นจ้องมองจื่อซู
จื่อซูเอ่ยเสียงต่ำเบาว่า “คุณหนูสามหายตัวไปเจ้าค่ะ”
“อันใดนะ!” เจินเมี่ยวสะดุ้งตกใจขึ้นโดยพลัน “จื่อซู เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ทุกอย่างล้วนเป็นไปด้วยดี แล้วคุณหนูสามจะหายไปได้อย่างไรกัน”
จื่อซูส่ายศีรษะคราหนึ่ง “รายละเอียดบ่าวก็มิรู้แน่ชัดเจ้าค่ะ เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าคงต้องปิดบังทุกคนไว้อย่างมิดชิด ทำเพียงเรียกฮูหยินทุกเรือนไปปรึกษาหารือเท่านั้น”
เจินเมี่ยวเข้าใจทันที คุณหนูในจวนหายตัวไป เป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง หนักหนากว่าเรื่องที่นางตกน้ำเสียอีก ชื่อเสียงเกียรติยศที่ต้องเสียไปของจวนย่อมร้ายแรงกว่าครั้งของนางมากมายนัก
การที่นางสามารถรับรู้ข่าวสารเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ก็นั้นนับเป็นความดีความชอบของจื่อซูแล้ว
อย่างไรจื่อซูก็มาจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ย่อมต้องมีเส้นสายในการสืบรู้เรื่องราว แต่นางคิดไม่ถึงว่า จื่อซูจะมาบอกนางทันทีเช่นนี้
ท่าทางเช่นนี้กลับมิเหมือนคนที่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าส่งมาคอยสังเกตและควบคุมนางอย่างในอดีตเลย
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เจินเมี่ยวไม่เคยคิดว่าจะเป็นสหายหรือพี่น้องที่ดีต่อกันอันใดเทือกนั้นกับสาวใช้เลย ทุกคนแค่เพียงปฏิบัติหน้าที่และใช้ชีวิตด้วยดีตามฐานะของตนก็พอแล้ว นางเองก็จะพยายามทำดีต่อพวกนางให้ได้มากที่สุดเท่าที่ตนจะสามารถทำได้ จะไม่กลั่นแกล้งผู้ใดให้ต้องลำบาก
เมื่อใดกันที่จื่อซูใส่ใจในตัวนางถึงเพียงนี้?
เจินเมี่ยวรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง รู้สึกดั่งมีสิ่งแปลกประหลาดบางอย่างปะปนเข้ามาในจิตใจ
“ต่างเล่ากันว่าคุณหนูสามเข้าร่วมแข่งขันร้อยด้าย ผู้ตัดสินยกให้เป็นฝีมือขั้นสูงระดับกลาง หลังจากนั้นคุณชายใหญ่ก็พาเหล่าคุณหนูไปที่สวนองุ่น ไม่ทราบเกิดอันใด คุณหนูสามกลับหายตัวไป”
เทศกาลชีซีนั้นมีประเพณีซ่อนตัวอยู่ใต้เพิงไม้ต้นองุ่นเพื่อแอบฟังการนัดพบกันของสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัว
“คุณหนูทราบเรื่องนี้แล้วรู้ว่าควรทำเช่นไรก็พอเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวพยักหน้าคราหนึ่ง “เช่นนั้นมีข่าวคราวคุณหนูสามแล้วหรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนไปตามหาแล้วหรือยัง”
จือซู่มีท่าทีสงบนิ่ง “คล้ายว่ายังมิได้รับข่าวใด ซื่อจื่อก็มิกล้าส่งคนไปตามหาด้วยกลัวว่าจะมีข่าวเล็ดลอดออกไป”
“อืม เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว จื่อซู ขอบใจเจ้ามาที่มาเตือน” เจินเมี่ยวเอ่ยปากให้จื่อซูออกไปได้ เมื่อคิดถึงเรื่องวุ่นวายในจวนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
เสียงใบอู๋ถงพัดพลิ้ว ณ สวนหมิงหวา ภายในห้องหลักนั้นยังมีแสงโคมสว่างจ้าอยู่
เจินเจี้ยนเหวิน ซื่อจื่อแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋วเดินไปเดินมาด้วยความกลัดกลุ้ม
ฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยงนั่งโบกพัดอยู่บนเก้าอี้ แต่กลับดูไม่ออกว่ามีอารมณ์เช่นใด