ตอนที่ 38
ตอนที่ 38 จิ่นเหยียน
“อันใดนะ ขายแล้ว! ” ฮูหยินผู้เฒ่าคิ้วกระตุกไม่หยุด
นางรู้สึกว่าถูกเจินเมี่ยวยั่วโมโหขึ้นมาอีกแล้ว
น้ำเสียงของนางหลี่นั้นแหลมสูงเป็นพิเศษ “เอ๊ะ นี่หมายความว่าเช่นใดหรือ ต่อให้จวนเราขาดแคลนเงินทองปานใด แต่ก็เคยทำให้เหล่าคุณหนูต้องลำบาก เจ้าสี่ ขนมเฉียวกั่วและแตงสลักที่ถูกตัดสินว่าเป็นสุดยอดผลงานนั้น เจ้ามินำมันมาให้พวกเราได้เห็นได้ชื่นชมยังพอว่า แต่เหตุใดกลับขายไปเสียแล้วเล่า”
กล่าวถึงตรงนี้ก็สะบัดผ้าเช็ดหน้า ชำเลืองสายตามองนางเวิน แล้วจงใจเอ่ยออกมาว่า “น้องสะใภ้สาม คงมิใช่เพราะจวนสกุลเวินเขียนจดหมายมาหาอีกแล้วกระมัง”
จวนสกุลเวินที่นางหลี่พูดถึงก็คือตระกูลของนางเวินนั้นเอง
ปีนั้นตระกูลเวินมีชื่อเสียงในเมืองหลวงพอสมควร โดยเฉพาะหลังจากบุตรชายคนที่สามของตระกูลเวินขนสิ่งของกลับมามากมายหลังจากออกเรือไปหลายปี ทั้งนำสิ่งของมีค่าอันมากหลายถวายแด่พระบรมวงศานุวงศ์ ไม่นานชื่อเสียงจึงกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวง
ต่อมาเขากลับสังเวยชีวิตให้กับมหาสมุทร คุณชายใหญ่ตระกูลเวินก็ล้มป่วยกลายเป็นเพียงกระบอกยานอนอยู่บนเตียงหลายปีย่อมมิอาจเป็นขุนนางได้อีกต่อไป ตระกูลเวินจึงค่อยๆ ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ฝืนทนอยู่เพียงไม่กี่ปีก็ย้ายกลับไปสร้างจวนตั้งถิ่นฐานที่ตงอวี๋ไห่
“พี่สะใภ้รอง ท่านหมายความว่าอย่างใด! ” นางเวินโกรธจนตาแดงก่ำ
ความตกต่ำของตระกูลนางนั้นเป็นความเจ็บปวดใจที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกอันมิอาจเอ่ยออกมาได้ของนางเวิน
เจินเหยียนทราบว่านางเวินมีอุปนิสัยใจร้อน ปากไว้แต่ใจกลับมิได้มีแผนการใด เช่นนี้จึงถูกเอาเปรียบได้โดยง่าย นางรีบดึงรั้งมารดาไว้เงียบๆ แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านป้ารองแค่อิจฉาท่านเท่านั้น ที่ได้รับจดหมายจากท่านยายบ่อยๆ ”
วาจานี้ทำให้นางหลี่แทบจุกอกตาย
นางหลี่เป็นบุตรของอนุภรรยา ตระกูลนางเพียงแค่แสดงความรักต่อหน้าเท่านั้น จดหมายหรือ? หลายปีมานี้ย่อมไม่มีแม้เพียงสักฉบับ
นางหลี่ใช้สายตาเชือดเฉือนมองเจินเหยียนคราหนึ่ง ในใจนั้นโกรธเคืองยิ่งแต่ก็มิอาจทำอันใดได้...เพราะนางมิได้เอ่ยวาจาที่แสดงความไม่เคารพแม้เพียงสักคำอย่างไรเล่า!
ในดวงตาของฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยงมีแววชื่นชมที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นผ่านไปวูบหนึ่ง
จะว่าไป นอกจากบุตรสาวคนโตของตน คุณหนูในจวนที่นางชมชอบที่สุดคงเป็นเจินเหยียนแล้ว
ท่าทางเช่นนี้นั้นเหมาะจะเป็นมารดาผู้ดูแลจัดการบ้านเรือนที่สุด
ไม่ทราบว่านางเวินที่ทื่อเป็นท่อนไม้นี้มีโชคดีอันใดหนักหนา ถึงได้ให้กำเนิดบุตรสาวที่ฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้
เมื่อทอดถอนใจกับเรื่องของเจินเหยียนแล้ว นางเจี่ยงก็มองไปที่เจินเมี่ยว
ในใจกล่าวว่าเด็กสาวผู้นี้โดดเด่นกว่าผู้ใด รูปโฉมนั้นมิต้องกล่าวถึง นางแสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมในเทศกาลชีซีที่มีสตรีมารวมกันมากมายครานี้ ทำให้ชื่อเสียงอันเสื่อมเสียที่มีมาในอดีตถูกกลบลบไปจนแทบไม่เหลือ
เพียงแต่อุปนิสัยเช่นนี้...
นางเจี่ยงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพบว่าแท้จริงนางเองก็บอกมิได้ว่ายามนี้เจ้าสี่นั้นมีอุปนิสัยเช่นไรกันแน่
ช่างเถอะ คอยดูในอนาคตเถิด
เมื่อถูกเจินเหยียนเอ่ยสกัดนางเช่นนั้นนางหลี่จึงรู้สึกมิยินยอม นางหันไปพูดกับเจินเมี่ยวทันทีว่า “เจ้าสี่ เจ้าก็อย่าได้ตำหนิมารดาเจ้าเลย นางเองก็ไม่รู้จักทำเช่นไร...”
อย่าคิดว่านางผู้เป็นป้าจะไม่ทราบว่าเจ้าสี่นั้นไม่ชอบใจกับคนในตระกูลเวินของมารดาตนเพียงใด ทุกคราที่พูดถึงตระกูลนั้นก็คล้ายแมวถูกเหยียบหางก็มิปาน
เจินเมี่ยวส่งยิ้มซื่อบริสุทธิ์ให้นางหลี่ “ท่านป้ารองเย้าเล่นแล้ว ชาติกำเนิดล้วนมิใช่สิ่งที่เรากำหนดเองได้ อีกอย่างแม้ตระกูลท่านยายจะมิสู้ในอดีต แต่ก็เป็นญาติที่มีสายเลือดเดียวกันของท่านแม่และพวกเราด้วย”
เมื่อวาจานี้ถูกเอ่ยออกมา นางหลี่ถึงกับสำลักเกือบตาย ใบหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว
นางเด็กสมควรตาย อันใดที่เรียกว่าชาติกำเนิดมิใช่สิ่งที่เรากำหนดเอง อันใดเรียกว่าสายเลือดเดียวกัน นี่กำลังประชดประชันว่านางเป็นบุตรของอนุภรรยางั้นหรือ
เส้นโลหิตที่ขมับฮูหยินผู้เฒ่าเต้นตุบๆ นางรู้สึกว่าหากยังให้สะใภ้รองกล่าวเหลวไหลต่อไปอีก คงอดที่จะขว้างโต๊ะเล็กซึ่งวางอยู่บนตั่งนี้ไม่ได้แน่
การขว้างโต๊ะเล็กใส่สะใภ้มิใช่สิ่งที่แม่สามีที่ดีควรกระทำ
ฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ โน้มน้าวจิตใจตนไปในทางที่ดี แล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยจิตใจสงบนิ่ง “เจ้าสี่ ขนมเฉียวกั่วและแตงสลักที่ได้รับการตัดสินว่าเป็นสุดยอดผลงานนั้น เหตุใดเจ้าจึงขายไปเสียเล่า? ขายให้กับตระกูลใด ประเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปซื้อกลับมา อย่างไรจวนปั๋วของเราก็มิได้ขาดแคลนเงินทองถึงเพียงนั้น”
“องค์หญิงฟางโหรวซื้อไปเจ้าค่ะ” สีหน้าเจินเมี่ยวมิใคร่สู้ดีนัก
เมื่อเอ่ยถึงองค์หญิงฟางโหรว นางก็คิดถึงคนผู้นั้น ครั้นคิดถึงคนผู้นั้น นางก็ต้องหงุดหงิดขึ้นมา
“องค์หญิงฟางโหรว? เช่นนั้นก็มิผิดแปลกอันใด” ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเจินเมี่ยวมีสีหน้าย่ำแย่ก็คิดไปไกล จึงโบกมือเรียกให้เจินเมี่ยวเข้ามาหา ตบมือนางแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสี่ ย่ารู้ว่าเจ้าคงรู้สึกไม่ดี แต่ในเมื่อองค์หญิงทรงต้องการ เช่นนั้นก็คงไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธได้ เรื่องนี้ เจ้าทำถูกแล้ว นับว่าเป็นผู้เข้าใจในสถานการณ์” กล่าวพลางหันไปส่งสัญญาณให้แม่นมหวังที่ยืนอยู่ด้านหลัง “ซู่เย่ว์ ไปหยิบเครื่องประดับผมชุดทองฝังหยกในกล่องของข้ามาให้คุณหนูสี่ ชุดที่เก็บไว้ในชั้นที่สามนั่นแหละ”
“เจ้าค่ะ” แม่นมหวังรับคำ ลอบแตกตื่นอยู่ภายในใจ
เครื่องประดับผมชุดทองหยกนั้นเป็นสินเดิมเมื่อคราฮูหยินผู้เฒ่าออกเรือนมา หลายปีนี้แต่งสะใภ้ไปสี่คนและหลานสะใภ้อีกหนึ่งก็มิเคยนำออกมามอบให้ผู้ใดเลย คิดไม่ถึงวันนี้กลับจะมอบให้คุณหนูสี่
นางหลี่ฟังแล้วแทบกัดฟันขาวสีเงินนั้นแตกเป็นชิ้น
เครื่องประดับชุดนั้นนางเคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าใส่มาก่อน เป็นของชั้นเลิศอย่างแท้จริง เหตุใดเจ้าสี่จึงได้ไป!
นางจำได้ว่าสองเดือนก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้มอบกำไลหยกขาวให้กับเจ้าสี่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ปิงเอ๋อร์และอวี้เอ๋อร์ มิใช่จะไม่เหลือส่วนแบ่งใดแล้วหรอกหรือ
ครั้นมองใบหน้ายิ้มแย้มดุจบุปผาของเจินเมี่ยวแล้ว ในใจของนางหลี่ก็ยิ่งเจ็บปวด
ช่างเป็นตัวภัยพิบัติจริงๆ เรื่องดีนางล้วนยึดครองไว้หมด เรื่องร้ายล้วนเป็นผู้อื่นแบกรับ
ฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยงเห็นท่าทางคล้ายปวดฟันของนางหลี่ก็คลี่ยิ้มทันที แล้วถอดเอากำไลหยกเนื้อดอกเหมย1 ที่ใส่ในข้อมือมอบให้เจินเมี่ยวไป “เจ้าสี่วันนี้ได้สร้างชื่อเสียงให้กับจวนเรา สิ่งของที่ข้าผู้เป็นป้ามอบให้คงมิอาจเทียบได้กับฮูหยินผู้เฒ่า เจ้าก็เอาเก็บไว้ใส่เล่นเถิด”
“ขอบพระคุณท่านป้าใหญ่” เจินเมี่ยวกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงไพเราะยิ่ง
นางหลี่นั้นแทบกระอักโลหิตออกมา
ที่แท้แล้วนางไม่เพียงมิได้รับประโยชน์ใดยังต้องเชือดโลหิตตนอีก!
นางดึงเอาปิ่นหงส์ทองบนศีรษะส่งให้เจินเมี่ยวด้วยความเจ็บปวด แม้วาจายังคร้านจะเอ่ย
“เอาล่ะ วันนี้ก็ดึกแล้ว พวกเจ้ากลับเรือนเถิด” เรื่องที่ควรทราบก็ทราบแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือให้ทุกคน ทั้งยังกำชับเป็นพิเศษว่า “พรุ่งนี้เจ้าสี่มาให้เช้าหน่อย มากินข้าวเป็นเพื่อนย่า อืม เจ้ารองก็มาด้วยล่ะ”
“ขอบพระคุณทานย่าเจ้าค่ะ” สองพี่น้องเอ่ยขอบคุณพร้อมกัน แล้วลาจากไป
เมื่อได้ผ่อนคลายลง ขณะพาอาหลวนเดินกลับไปยังสวนเฉินเซียง เจินเมี่ยวถึงได้รู้ว่าตนปวดเมื่อยตามเนื้อตัวมากเพียงใด
ครั้นเดินเข้าไปในสวนเฉินเซียง กลับตกใจจนต้องกระโดดโหยง
บนขั้นบันไดหินนั้นมีคนผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ เมื่อมองอย่างถี่ถ้วนจึงพบว่าเป็นเสี่ยวฉาน
“คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว” เมื่อเห็นเจินเมี่ยว เสี่ยวฉานก็แทบจะร้องไห้ออกมา
“เป็นอันใดหรือ” เจินเมี่ยวมองจื่อซูที่เดินออกมาเพราะได้ยินเสียง
จื่อซูกวาดมีสีหน้าเรียบเฉย กวาดตามองเสี่ยวฉานคราหนึ่งแล้วเอ่ยอธิบายว่า “คุณหนู ก่อนที่ท่านจะไปมิใช่บอกให้นางป้อนอาหารจิ่นเหยียนหรือเจ้าคะ นางป้อนอาหารจิ่นเหยียนเสร็จแล้วแต่ลืมปิดกรงเจ้าค่ะ”
“จิ่นเหยียนหายไปแล้ว?” เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปาก
ไม่มีผู้ใดทราบว่าคืนนั้น ในราตรีอันเงียบสงบที่นางต้องเผชิญหน้ากับบุรุษผู้เต็มไปด้วยไอสังหารนั้น ห้วงลึกในจิตใจของนางหวาดกลัวมากมายเท่าใด มีเพียงจิ่นเหยียน เจ้านกเอี้ยงตัวเล็กๆ เท่านั้นที่ใช้เสียงอันสดใสเตือนนาง ปกป้องนาง
เมื่อเห็นเจินเมี่ยวมีสีหน้าเศร้าสลดไปในทันที จื่อซูจึงรีบเอ่ยว่า “คุณหนูอย่าเพิ่งร้อนใจไป จิ่นเหยียนมิได้หายเจ้าค่ะ มันบินไปหานายท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจโล่งอกคราหนึ่ง “ในเมื่อมิได้หาย แค่ไปหาท่านปู่แล้วนำกลับมาก็สิ้นเรื่อง”
จื่อซูมีสีหน้าแปลกไปทันที “คุณหนู...จิ่นเหยียนกับอากุ้ยวิวาทกัน นายท่านผู้เฒ่าบอกว่าให้ท่านไปรับด้วยตนเองในวันพรุ่งเจ้าค่ะ...”
[1] กำไลหยกเนื้อดอกเหมย คือกำไลที่ทำจากแร่หยกที่มีสีสันสดใส ดูโปร่งแสง หากมองอย่างใช้จินตนาการจะคล้ายดอกเหมย ส่วนสีมักจะเป็นสีแดงผสมกับขาว