ตอนที่ 37
ตอนที่ 37 ต่างคนต่างชัง
เพียงหลัวเทียนเฉิงปรากฏตัวขึ้น ทั่วทั้งบริเวณต่างก็เงียบลงทันที
เจินเมี่ยวตัวสั่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ รอยยิ้มบนใบหน้าพลันเจื่อนไป
“พี่เทียนเฉิง เหตุใดจึงไม่เหมาะสมเล่า” เสียงขององค์หญิงฟางโหรวกังวานใสอย่างเด็กน้อย ทว่าท่าทางแง่งอนนั้นกลับเหมือนเด็กสาวขึ้นมาแล้ว
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “เครื่องประดับขององค์หญิง ย่อมมิอาจมอบแก่คนภายนอก หากองค์หญิงทรงประสงค์ก็ใช้เงินซื้อเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นท่านนำเงินมาหรือไม่”
“นำมาไม่มาก ทว่าสักประเดี๋ยวค่อยส่งเงินไปที่จวนเจี้ยนอานปั๋วก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยพลางมองเจินเมี่ยว “ไม่ทราบคุณหนูสี่สกุลเจินจะคิดราคาขนมเฉียวกั่วและแตงสลักนี้เท่าใดหรือ”
ทุกครั้งที่เจินเมี่ยวมองหลัวเทียนเฉิงล้วนเกิดความหวาดกลัวอยู่เสมอ ทว่ายามนี้ได้เห็นท่าทางอ่อนโยนที่เขามีต่อองค์หญิงฟางโหรวแล้วกลับรู้สึกโมโหขึ้นมา
เจ้าคนชั่วช้าผู้นี้ ปฏิบัติต่อองค์หญิงอย่างอบอุ่นราวหยก แต่กลับคิดลงมือฆ่านางถึงสามครั้งสามครา เป็นแค่คนต่ำช้ารังแกผู้อ่อนแอที่หวาดกลัวคนเข้มแข็งผู้หนึ่งเท่านั้น!
เมื่อโทสะเกิดขึ้นในใจ น้ำเสียงที่เปล่งออกไปจึงแข็งขึงยิ่ง “หลัวซื่อจื่อต้องการจะซื้อมันแทนองค์หญิงหรือ”
หลัวเทียนเฉิงเห็นท่าทางเย็นชาราวน้ำแข็งของเจินเมี่ยวก็โมโหขึ้นมา
ยังมิต้องกล่าวถึงเรื่องที่นางคบชู้ในชาติก่อน แต่เมื่อครู่นางกลับไปพูดคุยยิ้มร่ากับบุรุษอื่นอย่างเบิกบาน นางมีเหตุผลอันใดกันหรือช่างมิรู้จักอับอายเสียจริง!
แล้วที่นางเอ่ยถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ต้องการให้เขายอมรับว่าจะซื้อของขวัญให้องค์หญิงงั้นหรือ?
แม้องค์หญิงฟางโหรวจะยังทรงพระเยาว์ ทว่าบุรุษสตรีย่อมมีข้อแตกต่าง เทศกาลชีซีเป็นวันพิเศษถึงเพียงนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มิอาจซื้อของขวัญให้องค์หญิงได้
หลัวเทียนเฉิงในชาติก่อนนั้นมีภาพลักษณ์เป็นคุณชายผู้อบอุ่นสง่างาม ครานี้เขาย่อมมิอาจทำให้อารองรู้สึกตัวเร็วเกินไป จึงได้แต่รักษาท่าทีเดิมของตนไว้
แม้ภายในใจจะมีโทสะ แต่ยังคงหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์ให้สงบนิ่ง เอ่ยอย่างมินำพาความรู้สึกใดๆ ว่า “เรื่องนี้คงมิให้คุณหนูสี่สกุลเจินต้องเป็นกังวลแล้ว คุณหนูสี่เชิญพูดราคามาเถิด ประเดี๋ยวจะส่งคนนำเงินไปมอบให้ถึงจวน”
ผู้คนที่อยู่โดยรอบนั้นเห็นหลัวเทียนเฉิงเอ่ยวาจาเย็นชารักษามารยาทกับเจินเมี่ยวเช่นนี้ แต่ละคนต่างตื่นตัวราวไก่ชนกระนั้น
ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง มิชมชอบคู่หมายตนดั่งเล่าลือจริงๆ
ฮึ ใช้แผนการเช่นนั้นเพื่อปีนป่ายไปถึงผู้อื่น หากยังคงชมชอบอยู่ ซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกงคงตาบอดเป็นแน่
ไม่ทราบมีสตรีมากมายเท่าใดที่กำลังคิดเช่นนี้อยู่ เมื่อเห็นท่าทางหล่อเหลางามสง่าของหลัวเทียนเฉิงแล้ว สายตาที่มองไปยังเจินเมี่ยวก็ยิ่งมีแต่ความเกลียดชัง
เหลือเกินจริงๆ ผักกาดขาวชั้นดีล้วนส่งให้สุกรหมดแล้ว!
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังอันล้ำลึกของสตรีทั้งหลาย เจินเมี่ยวพลันเจ็บปวดที่หัวใจขึ้นมา
นางตอบรับการแข่งขันนี้เพียงเพราะถูกคนรังแก เหตุใดต้องถูกผู้คนที่นี่หัวเราะเยาะดั่งเป็นตัวอัปลักษณ์
เจินเมี่ยวชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง รอยยิ้มเยาะและแววตาดูแคลนวูบผ่านไปโดยเร็ว ก็เพียงซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงที่โกธรแค้นชิงชังนางดั่งมีความแค้นหนักหนาผู้หนึ่ง
หากความทรงจำของร่างเดิมมิได้คลาดเคลื่อนไป แม้วันนั้นร่างเดิมจะกระทำการไม่สมควรจริงๆ แต่เจ้าเป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงกลับมิรู้สึกละอายแก่ใจบ้างหรือ
แล้วบทกวีที่สื่อว่าคิดถึงนางในดวงใจบทนั้นเล่า คืออันใด?
ครั้นคิดถึงจดหมายที่ถูกร่างเดิมเก็บรักษาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของกล่องเครื่องประดับดุจเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เจินเมี่ยวก็ยิ้มเย็นชาออกมา
หากไม่มีกลอนบทนั้น คิดว่าร่างเดิมคงมิกล้าทำเรื่องใหญ่ปานนี้ ต่อให้มิรู้จักอับอายก็คงไม่กล้าลากเจ้าลงไปในน้ำด้วยเป็นแน่
นางเพียงแค่เข้าใจว่าเจ้ามีใจให้จึงได้ใช้แผนการเช่นนี้เพราะต้องการจะลากดึงฐานะระหว่างคนทั้งสองให้ขึ้นมาเสมอกันเท่านั้น
“หลัวซื่อจื่อคิดว่ามีค่าเท่าใดก็มอบให้เท่านั้นเถิด” เจินเมี่ยวย่อกายคารวะ “องค์หญิง ซื่อจื่อ ผู้น้อยขอลาแล้ว”
งานเทศกาลชีซีนั้นยังคงดำเนินไปจนถึงยามราตรี ทว่านางกลับไม่คิดจะอยู่แม้เพียงเค่อ
หลัวเทียนเฉิงถูกสายตาเช่นนั้นของเจินเมี่ยวมองเข้าก็แทบจะระเบิดออกมา หากมิใช่มีคนมากมายมองอยู่เขาคงกระชากนางเข้ามาถามแล้วว่า นางรู้จักละอายแก่ใจบ้างหรือไม่ สิ่งใดที่เรียกว่าความเสียใจ!
หลัวเทียนเฉิงเบิกตามองเจินเมี่ยวเดินจากไปด้วยสีหน้าดำคล้ำ
องค์หญิงฟางโหรวกลับกระตุกเสื้อของหลัวเทียนเฉิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่เทียนเฉิง ขอบคุณท่านมาก”
เจินเหยียนจ้องมองมือขององค์หญิงฟางโหรว นางขมวดคิ้วแล้วหมุนตัวเดินตามเจินเมี่ยวไป
“พี่รอง เหตุใดท่านจึงตามมาเล่า” เมื่อออกมาจากที่นั้นมาได้ เจินเมี่ยวกลับรู้สึกหายใจหายคอคล่องขึ้น ใบหน้าจึงกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง
“มิใช่ต้องการกลับหรอกหรือ กลับด้วยกันเถิด”
“พี่รองมิร่วมแข่งขันรายการต่อไปหรือ”
เจินเหยียนส่ายหน้า “อีกไม่นานก็ต้องออกเรือนแล้ว การแข่งขันพวกนี้ไม่มีความหมายใดสักนิด”
เจินฮ่วนและน้องๆ เดินตามมา
เพราะเรื่องของนางอวี๋เมื่อคราก่อนทำให้เจินฮ่วนและเจินเมี่ยวยังคงไม่สะดวกใจต่อกันอยู่บ้าง เขาจึงมองที่เจินเหยียนแล้วเอ่ยว่า “น้องรอง หากพวกเจ้าจะกลับจวนไปก่อนก็ให้น้องเฉินไปส่งพวกเจ้าเถิด”
“เช่นนั้นมิใช่จะทำให้น้องเจี่ยงหมดสนุกไปเปล่าๆ หรือ” เจินเหยียนกล่าว
ราตรีย่างกรายมาเยือน จันทราลอยเลื่อนเหนือศีรษะ ภายใต้แสงจันทร์อันนวลผ่องนั้น รอยยิ้มของเจี่ยงเฉินกลับอบอุ่นเป็นพิเศษ “พี่รองกล่าววาจาใดกัน เป็นข้าต่างหากที่เหนื่อยแล้ว ประจวบเหมาะจึงได้กลับพร้อมกันกับพี่รอง...” กล่าวถึงตรงนี้ก็เหลือบมองเจินเมี่ยวด้วยแววตาอ่อนโยน “และน้องสี่”
เจินเหยียนพลันเบิกตากว้างขึ้นทันที
น้องเจี่ยง เขา สายตาที่มองน้องสี่ เหตุใดจึงรู้สึกแปลกพิกลเล่า
เมื่อคิดถึงตรงนี้หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้น จึงลอบมองเจินเมี่ยวอย่างระมัดระวังคราหนึ่ง นางเห็นเจินเมี่ยวไม่มีปฏิกิริยาใดก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก ครั้นมองเจี่ยงเฉินอีกคราหนึ่งพบว่าเขายังคงส่งยิ้มอบอุ่นอยู่เช่นเดิม
เจินเมี่ยวส่ายศีรษะพลางยิ้ม นางคงคิดมากไปเองจริงๆ
พวกเขาทั้งสองไม่เคยแม้แต่จะพูดจาด้วยกันสักครา น้องเจี่ยงทราบเรื่องของน้องสี่ดี แล้วจะมีความคิดเป็นอื่นได้อย่างไรเล่า
สองพี่น้องขึ้นรถม้า ส่วนเจี่ยงเฉินควบม้าอยู่ด้านข้าง แล้วมุ่งหน้ากลับจวนเจี้ยนอานปั๋วไปอย่างไม่เร่งรีบ
เสียงล้อรถม้าดังกึกๆ กักๆ ฟังดูทั้งจืดชืดและแห้งผาก
เจี่ยงเฉินเหม่อมองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนฟ้าแล้วพ่นลมแผ่วเบาออกมาจากปาก
เหตุใดในหัวของเขาถึงมีแต่ภาพถุงเท้าสีขาวของญาติผู้น้องปรากฏขึ้นอยู่ร่ำไปเล่า
หนุ่มน้อยรู้สึกกลัดกลุ้มใจยิ่ง
เมื่อการแข่งขันรายการต่างๆ ในเทศกาลชีซีสิ้นสุดลงก็จะมีคนไปแจ้งข่าวดียังจวนของคุณหนูที่ได้ลำดับที่หนึ่งโดยเฉพาะ
จวนเจี้ยนอานปั๋วจึงทราบข่าวเรื่องเจินเมี่ยวแข่งขันทำขนมเฉียวกั่วและแตงสลักจนได้รับคำตัดสินว่าเป็นสุดยอดผลงาน ครั้นถึงจวน เจินเมี่ยวก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าเรียกตัวไปทันที
ณ เรือนหนิงโซ่ว ฮูหยินทุกท่านล้วนมารวมกันอยู่ที่นี่อย่างพร้อมเพรียง
“เจ้าสี่ ดีๆๆ ย่ามองเจ้าไม่ผิดจริงๆ ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยคำว่าดีติดกันถึงสามคราเพื่อแสดงถึงอารมณ์ที่แสนเบิกบานของตน
จะมิให้นางตื่นเต้นได้อย่างไร สุดยอดผลงานนั้นมิได้ปรากฏมานานหลายปีแล้ว วันนี้กลับตกเป็นของจวนเจี้ยนอานปั๋ว นั่นเป็นชื่อเสียงที่ดีที่สุด
ฮูหยินใหญ่ก็เอ่ยชมเจินเมี่ยวด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า อย่างไรเสียต่อไปจวนเจี้ยนอานปั๋วก็เป็นของบ้านใหญ่ แม้แต่ฮูหยินรองสกุลหลี่ที่ชอบกวนน้ำให้ขุ่น วันนี้ก็ยังยิ้มแย้มสดใส
แม้เสียดายอยู่บ้างที่บุตรสาวทั้งสองของนางมิได้รับคำตัดสินว่าเป็นสุดยอดผลงาน ทว่าเมื่อเรื่องเกิดขึ้นกับจวนเจี้ยนอานปั๋ว นั้นก็พิสูจน์ได้ว่าคุณหนูของจวนปั๋วได้รับการอบรมมาอย่างดี ซึ่งเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อการแต่งงานของบุตรสาวในอนาคต
“โอ้ เจ้าสี่ ขนมเฉียวกั่วและแตงสลักที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสุดยอดผลงานเล่า รีบเอาออกมาให้พวกเราได้ดูสักหน่อย” นางหลี่สอดส่ายสายตาไปมา
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าติดๆ กัน “ใช่ ใช่ เจ้าสี่ เอาไปไว้ที่ใดแล้วเล่าวันนี้ย่าจะเอาไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ บอกกล่าวต่อบรรพบุรุษว่าลูกหลานของจวนปั๋วนั้นมีอนาคตที่สดใสแล้ว”
นางเวินกลับมิได้เร่งรัดแต่หมอกควันในวันวานนั้นกลับเลือนหายไปในทันที นางมองเจินเมี่ยวด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
เจินเมี่ยวมองเจินเหยียนอย่างขอความช่วยเหลือ
เจินเหยียนส่งสายตาคืนมาว่าจะช่วยได้อย่างไรเล่า
เจินเมี่ยวยกมุมปากขึ้นยิ้ม รอยยิ้มนั้นออกจะดูแข็งๆ ไปบ้าง “ท่านย่า ขนมเฉียวกั่วและแตงสลักนั้น ข้าขายแล้ว...”