ตอนที่ 36
ตอนที่ 36 สุดยอดผลงาน
จ้าวเฟยชุ่ยเห็นผลงานของเจินเมี่ยวแล้วสีหน้าย่ำแย่จนยากจะบรรยาย แต่ที่ทำให้นางรู้สึกทุกข์ทนยิ่งกว่าก็คือ วาจาชมเชยความงามของดอกหมู่ตานที่ลอยเข้าหูนางมาไม่ขาดสาย
หรือที่นางทนลำบากฝึกซ้อมมาเป็นปีจะต้องพ่ายแพ้ไปเช่นนี้ ทั้งยังแพ้ให้กับคู่แข่งที่ตนดูแคลนที่สุดอีกด้วย!
“เฟยชุ่ย เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ขนมเฉียวกั่วยังมิได้ทำเลย! ” ชูสยาจวิ้นจู่กล่าวเสียงเย็นขึ้นคราหนึ่ง
จ้าวเฟยชุ่ยพลันมีสติกลับคืนมา ใช่ การแข่งขันยังมิทันจบเสียหน่อย
ต่อให้นางแพ้การแข่งแตงสลัก แต่ยังมีขนมเฉียวกั่ว หากชนะได้ก็เท่ากับเสมอกันแล้ว
เมื่อนางคิดได้เช่นนี้จึงรีบนำก้อนแป้งมาติดเข้ากับเส้นแป้งที่ผึ่งไว้จนเย็นนั้น รูปทรงคล้ายดอกเบญจมาศค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา ครู่เดียวกลับปั้นไปถึงสามดอก นางค่อยๆ วางพวกมันลงในกระทะทอด
เมื่อได้รับความร้อน เส้นแป้งก็ขยายบานขึ้นมาอีกครา เป็นอันว่าดอกเบญจมาศสีทองที่มีรูปทรงต่างๆ นั้นได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
จ้าวเฟยชุ่ยหันไปมองนาฬิกาทรายคราหนึ่งแล้วหันมองเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวยังคงนวดนิ้วมือตนอยู่ไม่หยุด บนถาดข้างกายนางนั้นมีก้อนแป้งรูปทรงประหลาดห้าก้อนวางอยู่
จ้าวเฟยชุ่ยอดผ่อนลมหายใจออกมามิได้ นางยิ้มพลางกล่าวว่า “คุณหนูสี่สกุลเจิน เจ้าคิดจะยอมแพ้งั้นหรือ เวลาใกล้จะหมดแล้วรู้หรือไม่”
“อ้อ เวลาใกล้จะหมดแล้วหรือ” เจินเมี่ยวหยุดนวดมือตนเองทันที เหลือบมองนาฬิกาทรายคราหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเบิกบาน “ขอบคุณคุณหนูเจ็ดสกุลจ้าวที่ตักเตือน” นางหัวเราะออกมาทำให้จ้าวเฟยชุ่ยโกธรจนควันออกทวารทั้งเจ็ดแล้ว
นางต้องเจตนาเป็นแน่ สตรีสมควรตายผู้นี้!
ครั้งนี้เจินเมี่ยวมิได้เจตนาจริงๆ เวลาในการแข่งขันมีไม่มาก การแกะสลักดอกหมู่ตานอันแสนซับซ้อนนั้นทำให้นางรีบร้อนจนปวดมือไปหมดจึงทำให้ลืมเวลา
นางจึงมิกล้าเสียเวลาต่อไปอีก เจินเมี่ยวใช้มือที่ยังปวดอยู่นั้นนวดก้อนแป้ง แล้ววางลงในกระทะทีละก้อน
ก้อนแป้งเล็กๆ กลับบานขยายออก แต่ละอันมีขนาดเท่าฝ่ามือ
เจินเมี่ยวช้อนพวกมันขึ้นมาวางลงบนถาดที่เตรียมไว้ แล้วเอ่ยเตือนสาวน้อยที่กำลังตกตะลึงตาค้างผู้นั้นว่า “เลิกเหม่อเสียที เอาไปให้ทุกคนชมได้แล้ว”
สาวน้อยผู้นั้นถือถาดออกไปให้ฝูงชนได้ชื่นชมด้วยใบหน้าตื่นตะลึง
ยังมีสาวน้อยอีกผู้หนึ่งที่เดินเคียงข้างไปกับนางซึ่งถือถาดขนมเฉียวกั่วรูปดอกเบญจมาศสามดอกของจ้าวเฟยชุ่ย
ผู้คนต่างแปลกใจว่าเหตุใดสาวน้อยผู้นั้นจึงมีท่าทีเช่นนี้ จึงมองขนมเฉียวกั่วของจ้าวเฟยชุ่ยเพียงครู่ก็รีบย้ายสายตาไปที่ขนมเฉียวกั่วของเจินเมี่ยวทันที
ขนมเฉียวกั่วในถาดนั้นถึงกับมีสุนัขจิ้งจอกน้อยสีเหลืองทองห้าตัว บ้างนั่งบ้างนอน อยู่ในท่าทางที่ต่างกัน
“สวรรค์ เหตุใดก้อนแป้งธรรมดาจึงสามารถรังสรรค์เป็นรูปทรงที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้ ทั้งยังติดกันไม่แยกออก” คุณหนูน้อยผู้หนึ่งเอ่ยแผ่วเบาหลังจากได้พิจารณาขนมตรงหน้าอย่างละเอียดแล้ว
โดยทั่วไปแล้ว ก้อนแป้งสามารถปั้นเป็นรูปทรงต่างๆ ได้ แต่ครานี้กลับอาศัยแค่โครงร่างเท่านั้น และเป็นหน้าตาหลังจากทอดสุกแล้ว ทั้งที่เจินเมี่ยวนำลงไปทอดในกระทะโดยตรงแต่มันกลับขยายกลายเป็นรูปทรงสุนัขจิ้งจอกน้อยได้ นี้เป็นเรื่องที่แม้แต่คำเล่าลือก็มิเคยได้ฟัง!
เมื่อเปรียบเทียบกันเช่นนี้แล้ว แม้แต่ดอกหมู่ตานที่นางเพิ่งแกะสลักไปก็ยังมินับเป็นอันใดได้
ครั้งนี้เจินเมี่ยวชนะโดยไม่มีข้อสงสัยใด และชนะได้อย่างสวยงามยิ่ง
ผลงานของทั้งสองล้วนถูกส่งไปยังผู้ตัดสิน
ผู้ตัดสินนั้นมีทั้งที่เป็นขุนนางสตรีฝ่ายห้องเครื่องจากในวัง และฮูหยินที่มีชื่อเสียงมีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งนำโดยฮูหยินของขุนนางผู้ดูแลสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยน
ฮูหยินท่านนี้สกุลลั่ว ในวัยสาวนั้นถูกขนานนามว่าเป็นสตรีผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เป็นบุคคลที่สามารถคว้าอันดับหนึ่งทุกการแข่งขันในงานเทศกาลชีซี ตั้งแต่ราชวงศ์ต้าโจวได้มีการจัดเทศกาลชีซีมา
ฮูหยินลั่วมองดอกหมู่ตานที่เจินเมี่ยวแกะสลักแล้วหันมองสุนัขจิ้งจอกน้อยห้าตัวที่เสมือนมีชีวิตขึ้นมานั้นแล้วก็เอ่ยออกมาเพียงสี่คำ “สุดยอดผลงาน”
ครั้นเอ่ยวาจานี้ออกมา คนทั้งหลายต่างก็โห่ร้องขึ้นทันที หลายปีแล้วที่การทำขนมเฉียวกั่วและแตงสลักมิได้รับคำตัดสินว่าเป็นสุดยอดผลงาน
เจินเหยียนที่สุขุมนิ่งมาตลอดถึงกลับมือสั่นเล็กน้อย เข้าไปกุมมือเจินเมี่ยวที่เดินลงจากลานประชันทันที “น้องสี่ เจ้าได้ยินหรือไม่ ผู้ตัดสินบอกว่าผลงานของเจ้าคือสุดยอดผลงาน! ”
เจินเมี่ยวกลับมิได้สนใจกับการตัดสินว่าจะอยู่ในระดับไหนขั้นใด แต่เครื่องประดับเงินทองมากมายอันเป็นของรางวัลนั้น นางกลับสนใจอย่างที่สุด
ผู้ใดทำให้นางต้องตื่นเต้นจนมือไม้สั่นเช่นนี้
นางเดินไปไม่กี่ก้าวก็ส่งสายตาให้อาหลวนเก็บของทั้งหมดไว้ แล้วเอ่ยกับจ้าวเฟยชุ่ยที่หน้าซีดขาวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูเจ็ดสกุลจ้าว ต้องขอบคุณท่านแล้ว”
“เจ้า...” จ้าวเฟยชุ่ยกางมือออกมาอย่างเหลืออด ทว่าเมื่อมองผู้คนโดยรอบแล้วก็ได้แต่วางมือลงอย่างแค้นเคือง
คนอยู่มากมายปานนี้ นางมิอาจแบกรับคำว่าทุบตีคนอย่างป่าเถื่อนได้แน่
นางเสียของพระราชทานจากหวงโฮ่วก็หนักหนาเกินแล้ว หากจะมีชื่อเสียงอันย่ำแย่พ่วงมาด้วย นางคงมิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แน่
“อาหลวน ไปเอาขนมเฉียวกั่วและแตงสลักที่ข้าทำมา พวกเรากลับจวนกันเถิด”
เมื่อมีสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้ เจินเมี่ยวก็ไม่มีแก่ใจจะอยู่ต่อแล้ว ผู้คนมากมายดุจคลื่นทะเล หากของหายขึ้นมาจักทำอย่างไรเล่า
“เดี๋ยว รอสักครู่” องค์หญิงฟางโหรวแหวกฝูงชนเดินเข้ามา
สำหรับคุณหนูน้อยที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันนั้น เจินเมี่ยวกลับยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี “น้องสาว มีอันใดหรือ”
องค์หญิงฟางโหรวขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ “ผู้ใดเป็นน้องสาวเจ้า อย่าได้ใฝ่สูงมานับญาติกับข้า! ”
เจินเมี่ยวกลับมิคิดเอาหน้าอุ่นๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของผู้อื่น1 สักนิด นางหุบยิ้มและเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นแม่นางเรียกข้าให้หยุดด้วยเหตุใดหรือ”
สตรีสูงศักดิ์บางคนที่รู้จักองค์หญิงฟางโหรวต่างอึ้งงัน ต่อมาแววตากลับฉายแววแห่งความสนุกหรรษา
หากคุณหนูสี่สกุลเจินล่วงเกินองค์หญิง ไม่ทราบจะเป็นเช่นใดบ้าง
“ฟางโหรว เจ้ามาได้อย่างไร” น้ำเสียงเย็นเยียบสายหนึ่งดังขึ้น
เมื่อเห็นฉงสี่เซี่ยนจู่เดินออกมา องค์หญิงฟางโหรวก็ร้องเรียกท่านพี่อย่างไม่พอพระทัย
บัดนี้เจินเมี่ยวทราบแล้วว่าคุณหนูน้อยที่ปรากฏตัวขึ้นผู้นี้คือใคร
เจี้ยนอานปั๋วมีน้องสาวผู้หนึ่งที่เข้าวังไปนานมากแล้ว บัดนี้เป็นไท่เฟยชราผู้หนึ่งเท่านั้น พวกนางเหล่าคุณหนูแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋วจึงมีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมในวังบ้างบางครา
แน่นอนว่าโอกาสที่จะถูกเรียกเข้าเฝ้านั้นน้อยยิ่งกว่าน้อย ทว่าบุคคลสำคัญของวังหลวง คนในจวนย่อมต้องกล่าวถึงเป็นพิเศษ
พระนามอันยิ่งใหญ่ขององค์หญิงฟางโหรว เจินเมี่ยวย่อมต้องทราบเป็นธรรมดา เพียงแต่มิเคยได้พบหน้าเท่านั้นเอง
เจินเมี่ยวมองฉงสี่เซี่ยนจู่คราหนึ่ง
ฉงสี่เซี่ยนจู่เปิดเผยฐานะขององค์หญิงฟางโหรวขึ้นมาอย่างกะทันหันเพราะต้องการช่วยตนเช่นนั้นหรือ
ทว่านางกับฉงสี่เซี่ยนจู่มิเคยคบค้าอันใดกันแม้แต่น้อย
คิดไม่ถึงว่าฉงสี่เซี่ยนจู่เห็นเจินเมี่ยวมองมา กลับพยักหน้าเบาๆ ให้นางคราหนึ่ง
องค์หญิงฟางโหรวรู้สึกหมดสนุกทันที
นางทราบว่าคนผู้นี้เป็นคู่หมั้นของพี่เทียนเฉิงจึงไม่ชอบอย่างยิ่ง ที่ไม่ยอมเปิดเผยฐานะเพราะคิดว่าหากนางล่วงเกินก็จะหาข้ออ้างลงโทษนางเสีย คิดไม่ถึงจะถูกญาติผู้พี่คนนี้เปิดเผยฐานะเสียก่อน
แม้นองค์หญิงฟางโหรวจะมีพระชนมายุเพียงสิบพรรษา แต่ก็ทราบดีว่าการมาร่วมงานเทศกาลชีซีนอกวังทั้งที่พระชนมายุยังไม่ถึงนั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสม จึงมิคิดอยู่นาน นางชี้ไปที่ขนมเฉียวกั่วและแตงสลักของเจินเมี่ยวพลางกล่าวว่า “สิ่งนี้ ข้าจะซื้อ” แล้วเชิดคางขึ้นรอคำตอบจากเจินเมี่ยว
คิดไม่ถึงว่าเจินเมี่ยวจะพยักหน้าด้วยความเบิกบานอย่างที่สุด “เพคะ”
ผู้คนมากมายต่างตกตะลึงขณะเดียวกันก็ถอนหายใจออกมาด้วย อดชมละครฉากสนุกเสียแล้ว
คุณหนูสี่สกุลเจินเหตุใดจึงไม่มีศักดิ์ศรีแม้เพียงน้อยนิด ขนมเฉียวกั่วและแตงสลักของนางถูกยกให้เป็นสุดยอดผลงาน แต่องค์หญิงจะซื้อนางก็รับปากทันที อย่างน้อยเจ้าก็ควรปฏิเสธสักหน่อยเถิด
เวลานี้เจินเมี่ยวได้กลายเป็นปีศาจไปแล้ว นางรับรู้ได้ถึงความหมายในสายตาของคนทั้งหลาย แม้ภายนอกจะแสดงท่าทีสัตย์ซื่อ แต่ภายในใจกลับกล่าวว่า อย่าได้ล้อเล่นเลยได้หรือไม่ ขนมเฉียวกั่วและแตงสลักนี้ต่อให้ทำออกมาสวยงามเพียงใดผ่านไปสองวันก็เน่าเสีย แต่นางกลับขายได้ทำให้รู้สึกขบขันแทบตายแล้ว
องค์หญิงฟางโหรวเองก็คิดไม่ถึงว่าเจินเมี่ยวจะตอบรับอย่างเบิกบานเช่นนี้ นางถอดกำไลบนข้อมือออกมาอย่างอึ้งงัน
หลัวเทียนเฉิงเดินเข้ามา มองเจินเมี่ยวด้วยสายตาเรียบเฉยคราหนึ่ง เอ่ยกับองค์หญิงฟางโหรวเสียงแผ่วเบาว่า “องค์หญิง เช่นนี้ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
[1] เอาหน้าอุ่นๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของผู้อื่น เป็นสำนวนหมายถึง เรามีใส่ใจ สนใจ หรือคิดช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มที่ แต่ผู้อื่นกลับไม่เย็นชา ไม่สนใจเราแม้แต่น้อย