ตอนที่ 35
ตอนที่ 35 ดอกหมู่ตาน
คันฉ่องนั้นมิใช่คันฉ่องที่สาวน้อยทั่วไปใช้กัน วัสดุมิใช่ไม้มิใช่หิน แต่มีทั้งสองอย่างผสานไว้ด้วยกัน และยังสลักลวดลายดอกเสาวรสไว้อย่างวิจิตร
เสียงแคร่กดังขึ้น เจินเมี่ยวเปิดคันฉ่องน้อยออก คันฉ่องที่มีเนื้อเป็นแก้วนั้นส่องประกายสว่างชัดจนเห็นทุกอณูของผู้คน
“เป็นคันฉ่องตะวันตก” สาวน้อยบางคนที่รู้จักสิ่งนี้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
เมื่อเจินเหยียนเห็นเจินเมี่ยวหยิบกระจกนั้นออกมา สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด พลันเดินก้าวยาวเข้าไปจับมือนางไว้ “น้องสี่ อย่าเหลวไหล! ”
คันฉ่องตะวันตกนี้ นางและเจินเมี่ยวมีคนละอัน เป็นท่านน้าของพวกนางมอบให้ตั้งแต่เยาว์วัย
ท่านลุงเล็กนั้นมิเหมือนท่านลุงรองและท่านลุงใหญ่ เขามิฝักใฝ่ในการเป็นขุนนาง ทั้งมิชมชอบศึกษาเล่าเรียน แต่ชอบท่องไปทั่วฟ้าใต้ทะเลเหนือ ต่อมาจึงได้นั่งนาวาข้ามมหาสมุทรไปยังแดนไกล
ครานั้นไปถึงสองปี ครั้นกลับมาก็นำของเล่นแปลกใหม่และสิ่งของล้ำค่ามามากมาย ซึ่งสิ่งของส่วนมากเหล่านั้นล้วนนำขึ้นถวายทั้งสิ้น
ท่านแม่บอกพวกนางว่า คันฉ่องเล็กสองอันนี้เป็นหนึ่งในสิ่งของที่ท่านลุงเล็กนำมาครานั้นด้วยและมอบให้พวกนางสองพี่น้องคนละอัน
เมื่อท่านลุงเล็กออกเดินเรืออีกครั้งในเวลาต่อมา เขาก็ไม่กลับมาอีกเลย ผู้คนต่างเล่ากันว่าเรือพบคลื่นพายุในมหาสมุทร คนในเรือทั้งลำนั้นต่างพบกับหายนะไปแล้ว
ครั้นผ่านไปอีกหลายปี ราชวงศ์ต้าโจวก็มีคำสั่งให้หยุดการติดต่อค้าขายทางทะเลโดยไม่ทราบสาเหตุ สิ่งของที่ได้มาจากตะวันตกจึงนับวันยิ่งล้ำค่าหาใดเปรียบ
โดยเฉพาะคันฉ่องเล็กๆ นี้ มีคุณหนูสูงศักดิ์มากมายอยากจะได้มาครอบครองสักอันแต่ก็มิอาจสมหวัง มีเพียงองค์หญิงและจวิ้นจู่เท่านั้นที่มีไว้ครอบครอง
แม้จ้าวเฟยชุ่ยจะเป็นคุณหนูแห่งจวนมู่เอินโหวแต่นางก็ไม่มีของสิ่งนี้ ครั้นเห็นเจินเมี่ยวหยิบของเล่นที่หายากเช่นนี้ออกมา ดวงตาจึงทอประกายขึ้นโดยพลัน นางคิดว่าตนจะต้องได้มันมาครอบครองให้จงได้ “คุณหนูรองสกุลเจิน ของที่เอาออกมาแล้วจะกล้าเก็บกลับคืนหรือ จวนเจี้ยนอานปั๋ว คงมิได้ใจคอคับแคบเพียงนั้นกระมัง”
เจินเมี่ยวส่งสายตาปลอบใจให้กับเจินเหยียนคราหนึ่ง แล้วชำเลืองมองจ้าวเฟยชุ่ยด้วยแววตานิ่งเฉย นางวางคันฉ่องน้อยลงตรงข้ามกับปิ่นทองสามคู่นั้นโดยมิเอ่ยวาจาใด
จ้าวเฟยชุ่ยอ่อนไหวกับเรื่องเช่นนี้ยิ่ง แม้เจินเมี่ยวมิได้กล่าวสิ่งใด แต่นางกลับมิอาจสะกดกลั้นโทสะเอาไว้ได้ ด้วยกลัวว่ารางวัลที่ตนนำออกมาจะถูกผู้คนดูแคลน นางจึงกัดฟันวางหยกห้อยเอวเนื้องามสลักรูปกระต่ายหยกตำยา1 ซึ่งหวงโฮ่วประทานให้แก่นางเมื่อปีที่แล้วลงไปบนถาด
ลานประชันนั้นถูกจัดขึ้นบนสะพานโค้งสูงเหนือแม่น้ำเหลียนอี เพราะเป็นเทศกาลชีซี ราวสะพานหยกขาวโดยรอบจึงถูกประดับประดาด้วยผ้าต่วนสีแดงและดอกไม้สดช่อใหญ่มากมาย
เวลานี้ฟ้ายังสว่างเจิดจ้า ผู้คนทั้งหลายต่างทยอยเข้ามาเรื่อยๆ กระทั่งประกาศบอกเวลา จ้าวเฟยชุ่ยและเจินเมี่ยวจึงเดินขึ้นไปยังลานประชัน
สิ่งของที่ต้องใช้ในการทำขนมเฉียวกั่วและแตงสลักต่างก็เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว
การที่จ้าวเฟยชุ่ยกล้าลากเจินเมี่ยวขึ้นมาประชันเช่นนี้ มิใช่ว่านางมิได้เตรียมความพร้อมอันใดมาเลย
ปีนี้นางอายุเต็มสิบสามแล้ว การร่วมแข่งขันกับสตรีทั้งหลายเมื่อปีก่อนก็เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น ทว่าปีนี้กลับกอดความคิดที่ว่าตนจะต้องได้ลำดับต้นๆ ให้จงได้ไว้
ตระกูลนางกำลังพูดคุยเรื่องคู่หมายของนางอยู่ หากวันนี้มีชื่อในลำดับต้นๆ ได้นั้นย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ดังนั้นจวนมู่เอินโหวจึงได้วางแผนให้กับจ้าวเฟยชุ่ยไว้อย่างดีแล้วในปีนี้
รูปโฉมของนางนับว่างดงาม ทว่าความสามารถด้านพิณ หมากรุก พู่กันและการวาดภาพกลับธรรมดายิ่ง ซึ่งมิใช่เรื่องที่จะฝึกฝนกันได้เพียงวันสองวัน อีกอย่างสิ่งเหล่านี้คุณหนูตระกูลไหนๆ ก็ต่างฝึกฝนกันมาตั้งแต่เยาว์วัยทั้งสิ้น
ทว่าการทำขนมเฉียวกั่วและแตงสลักนั้น น้อยคนนักจะยินยอมใช้เวลาไปกับมัน
ยังมิต้องพูดถึงเรื่องเสียเวลา แต่ต่อให้ทำได้ดีก็มิได้ยกระดับฝีมือการทำอาหารสักเท่าใด จึงไม่มีประโยชน์ต่ออนาคตมากนัก
จ้าวเฟยชุ่ยทุ่มเทเวลาตลอดปีไปกับสิ่งนี้ เพียงเพื่อรอที่จะโดดเด่นกว่าผู้ใดในวันนี้
ครั้นนางขึ้นไปยังลานประชันก็กวาดตามองวัตถุดิบต่างๆ บนโต๊ะหยกเขียวตัวยาวคราหนึ่ง แล้วหยิบก้อนแป้งขึ้นมานวดอย่างรวดเร็ว จ้าวเฟยชุ่ยเริ่มลงมือแล้ว สายตาของคนส่วนใหญ่จึงถูกดึงดูดไปที่นาง
นางนวดแป้งเป็นเส้นอย่างคล่องแคล่วดุจบินได้ แต่ละเส้นนั้นมีขนาดสั้นยาวไม่เท่ากัน นางกลิ้งมันลงไปในกระทะที่มีน้ำมันคราหนึ่ง เส้นแป้งที่ทำขึ้นพิเศษนี้ก็แผ่ขยายกางออกทันที
จ้าวเฟยชุ่ยคว้าเส้นแป้งที่เริ่มเหลืองแล้วขึ้นมาวางพักไว้ด้านข้าง
การกระทำทั้งหมดนี้ใช้เวลาไปถึงสองเค่อ
ทางฝั่งเจินเมี่ยวยังคงหยิบก้อนแป้งขึ้นมานวดอย่างเชื่องช้า นางใส่น้ำผึ้งเข้าไปทำให้ก้อนแป้งมีสีเหลืองอ่อนๆ แต่ก็ดูมิออกว่านางปั้นเป็นรูปร่างใด ทว่าบัดนี้นางนวดไปสามก้อนแล้ว
เวลานี้ทุกคนต่างมองจ้องเขม็ง สถานการณ์ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในสายตาของฝูงชนอย่างชัดเจน เพียงแต่สิ่งที่คนทั้งสองกำลังทำยังคงดำเนินไปแค่ครึ่งทางเท่านั้นจึงมองไม่ออกว่าเป็นสิ่งใด ทำให้ทุกคนต่างกลั้นหายใจรอดูต่อไป
จ้าวเฟยชุ่ยหยิบผิงกั่วสีแดงสดขึ้นมา ใช้มีดเล็กแกะสลักไปทีละเส้นๆ ด้วยความตั้งใจอย่างยากจะพบเห็น
ชูสยาจวิ้นจู่ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ แล้วยิ้มหัวเราะกับคนด้านข้างตน
นางมิได้ชมชอบจ้าวเฟยชุ่ยเท่าใดนัก แม้ทั้งสองมักเล่นสนุกด้วยกันทว่าความจริงกลับพยายามแข่งขันประชันกันอยู่เสมอ แต่หากวันนี้แพ้ให้กับเจินเมี่ยว เกียรติยศของนางก็ต้องพลอยดับสูญไปด้วย
“จวิ้นจู่ท่านวางใจเถิด น้องเฟยชุ่ยไม่มีปัญหาใดแน่นอนเจ้าค่ะ มีครั้งหนึ่งข้าไปเป็นแขกที่จวนนาง เห็นกับตาว่านางนั้นแกะสลักผิงกั่วเป็นรูปลูกเป็ด ดูมีชีวิตชีวาเหมือนจริงยิ่งเจ้าค่ะ” จางเฉาหวาจวนรองเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งกรมขุนนางชอบที่สุดคือการซุบซิบบอกกล่าวเรื่องที่ตนได้ทราบมา
จริงดั่งกล่าวไว้ เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นานก็เห็นว่าสิ่งที่จ้าวเฟยชุ่ยสลักนั้นคือลูกเป็ดน้อยตัวหนึ่ง
ส่วนหัวของลูกเป็ดน้อยถูกปอกเปลือกสีแดงทิ้งไป ใช้เพียงเนื้อผิงกั่วสีเหลืองแกะเป็นหัวและปากลูกเป็ด เมื่อรวมกับปีกสีแดงที่สลักเป็นรูปทรงของปีกเป็ด รูปร่างทุกอย่างก็เหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมา
จ้าวเฟยชุ่ยเห็นผลงานตนแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิ
การใช้ผิงกั่วแกะสลักเป็นลูกเป็ดน้อย ความจริงมิต้องใช้ฝีมือการแกะสลักที่เหนือชั้นอันใด ที่ยากคือความคิดสร้างสรรค์และแปลกใหม่นี้ต่างหาก เช่นนี้เหนือกว่าการวาดภาพลงบนผลไม้ที่พบเห็นอยู่บ่อยนั้นมากมายนัก
วันนี้ที่ตนได้แสดงฝีมือออกมานั้นคล้ายว่าดีกว่าทุกคราที่ทำอยู่สักหน่อย จ้าวเฟยชุ่ยยิ่งมองยิ่งภูมิใจพลันได้ยินเสียงแตกตื่นตกใจดังแว่วมา
“พวกเจ้ารีบดูคุณหนูสี่สกุลเจินเร็วเข้า! นางแกะสลักอันใดหรือ”
“สวรรค์ นั่นมันดอกหมู่ตาน2 มิใช่หรือ สวยงามเหลือเกิน เหมือนจริงยิ่ง! ”
จ้าวเฟยชุ่ยหน้าชาไปทันที นางเงยหน้าขึ้นมองไปที่เจินเมี่ยว
มือหนึ่งของเจินเมี่ยวจับกดลูกแตงโมไว้ มือหนึ่งจับมีดแกะสลัก มือที่ตวัดแกะสลักนั้นคล่องแคล่วดุจบินได้ก็มิปาน
เปลือกสีเขียวของแตงโมงถูกแกะเป็นใบ ทุกเส้นสลักล้วนสมจริง กลีบดอกแต่ละชั้นของหมู่ตานที่กำลังคลี่ออกพร้อมแย้มบานนั้นบางดุจปีกจักจั่น ข้างในแดงสด ข้างนอกไล่ระดับชมพูไปถึงขาว มองดูแล้ว เป็นธรรมชาติมีชีวิตชีวายิ่ง และสีสันทั้งหมดล้วนใช้ประโยชน์จากเนื้อผลไม้ชนิดนั้นทั้งสิ้น แต่กลับเหมือนดอกหมู่ตานที่กำลังเบ่งบานดอกหนึ่งจริงๆ กลีบดอกนั้นซ้อนหนาเป็นพุ่ม
การทำแตงสลักของทั้งสองต่างเสร็จสิ้นแล้วและถูกนำมาวางไว้คู่กัน มีสตรีผู้หนึ่งคอยเดินถือไปโดยรอบเพื่อให้ทุกคนได้ชม
เป็ดน้อยที่จ้าวเฟยชุ่ยแกะสลักนั้นแม้จะไม่เลวเลย ทว่าเมื่อนำมาเทียบกับดอกหมู่ตานใหญ่ที่เจินเมี่ยวใช้แตงโมมาแกะสลักแล้วนั้นกลับห่างกันไกลดุจเด็กน้อยและอาจารย์ใหญ่ก็มิปาน
มิต้องพิจารณาให้ยากแล้ว ผู้ชนะนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง
หลัวเทียนเฉิงจ้องมองเจินเมี่ยวที่อยู่บนลานประชันนิ่ง เขาเห็นนางวางมีดแกะสลักลงอย่างแผ่วเบา แล้วนวดนิ้วมือตนอยู่เช่นนั้นไม่หยุด แต่ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มเจิดจ้าอย่างมิปิดบังแม้แต่น้อย
การแข่งขันได้มาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว ฟ้าเริ่มมืดลง โคมไฟนับไม่ถ้วนถูกจุดขึ้นส่องสะท้อนบนลานประชันจนสว่างจ้าไม่ต่างอันใดกับยามทิวากาล
สาวงามใต้แสงไฟ ใบหน้าหยกกระจ่างใส ไม่ทราบทำให้บุรุษตาลายไปมากมายเท่าใดแล้ว
ความรู้สึกที่หลัวเทียนเฉิงมีต่อเจินเมี่ยวเริ่มที่จะสับสนขึ้นมา
เขามักรู้สึกว่านางมิใช่คนเดิมเมื่อชาติที่แล้ว แต่ก็มองไม่เห็นร่องรอยของฟื้นคืนมาเช่นเดียวกับตนเลยสักนิด
ความโกรธแค้นชิงชังอย่างที่สุดที่เขามีต่อวาสนาในครานี้จึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ
[1] กระต่ายหยกตำยา เป็นหนึ่งในตำนานของจีน ตามตำนานเล่าว่ามีกระต่ายที่ขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกกำลังตำยาอยู่บนดวงจันทร์ และยาที่ตำนั้นเมื่อผู้ใดได้กินจะทำให้มีอายุยืนยาวและกลายเป็นเซียน บางตำนานว่ากระต่ายขาวนั้นก็คือฉางเอ๋อ
[2] ดอกหมู่ตาน เป็นพืชในสกุลโบตั๋นซึ่งเป็นพืชพื้นเมืองในจีน ชื่อสามัญในภาษาอังกฤษคือ tree peony พืชชนิดนี้ในจีนเรียกหมู่ตาน และมีความสำคัญในวัฒนธรรมจีน ดอกของสปีชีส์นี้ใหญ่กว่าสปีชีส์อื่น