ตอนที่ 34
ตอนที่ 34 รางวัล
“กล่าวเช่นนี้ ท่านคิดจะแข่งกับพี่รองของข้างั้นหรือ” เจินเมี่ยวมองจ้าวเฟยชุ่ย
จ้าวเฟยชุ่ยที่ภาคภูมิเหลือเกินนั้นพลันชะงักไป
ผู้ใดล้วนดูออกว่าฝีมือการสลักปั้นของเจินเหยียนนั้นไม่ธรรมดา หากลงแข่งขันกับนางมิใช่เป็นการหาเรื่องให้ตนเองต้องอับอายหรอหรือ
เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงสูงขึ้นเล็กน้อยด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย “คุณหนูจ้าวช่างแปลกเสียจริง พูดอยู่แท้ๆ ว่าพี่สาวข้าแสร้งว่าทำเป็น แต่ครั้นจะให้ท่านแข่งกับนาง กลับไม่กล้าตอบรับด้วยความเบิกบาน มีเหตุผลกลใดกันหรือ ”
เสียงที่เอ่ยออกมานี้ของเจินเมี่ยวนั้นค่อนข้างดัง แม้แต่เจินฮ่วนและบ่าวรับใช้ทั้งหลายที่อยู่ห่างจากริมฝั่งน้ำยังได้ยิน
เจินฮ่วนหน้าดำทะมึนขึ้นเล็กน้อย ในใจคิดว่าน้องสี่คงมิได้ก่อเรื่องอีกแล้วกระมัง
เมื่อคิดเช่นนี้ จึงอดก้าวเท้าเข้าไปใกล้ริมน้ำอีกสักหน่อยมิได้
องค์หญิงฟังโหรวที่อยู่อีกฝั่งก็ดึงเสื้อหลัวเทียนเฉิงไปดูด้วยความตื่นเต้น “พี่เทียนเฉิง ตรงนั้นมิใช่วิวาทกันแล้วหรือ เร็วเข้า เร็วเข้า ข้าอยากไปดู”
หลัวเทียนเฉิงฟังรู้ว่าเป็นเสียงเจินเมี่ยวตั้งนานแล้ว จึงเดินตามแรงที่องค์หญิงฟังโหรวดึงไป
จ้าวเฟยชุ่ยรู้สึกได้ถึงสายตาที่แปลกไปของคนทั้งหลายขึ้นมาทันที กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาของบุรุษ ใบหน้าพลันแดงก่ำขึ้นมา “เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล! ”
“ข้ามิได้พูดอันใดทั้งนั้น เพียงถามท่านว่ากล้าแข่งกับพี่รองของข้าหรือไม่” เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ นางรู้สึกว่าคุณหนูผู้นี้ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี
เมื่อถูกเจินเมี่ยวมองด้วยสายตาดั่งกำลังตำหนิว่า ‘เจ้าช่างไม่รู้ความและไร้ซึ่งเหตุผลสิ้นดี’ จ้าวเฟยชุ่ยก็โมโหจนแทบระเบิดออกมา จึงเอ่ยด้วยเสียงโกรธแค้นว่า “เจ้าภูมิใจอันใด มีความสามารถก็มาแข่งกับข้าเถิด จะไปดึงพี่สาวเจ้ามาเกี่ยวข้องด้วยเหตุใด! ”
นางจำได้แม่นว่า เทศกาลชีซีเมื่อปีก่อนเจินเมี่ยวเข้าร่วมแข่งขันหลายรายการ มีเพียงการแข่งทำขนมเฉียวกั่วเท่านั้นที่นางมิได้แข่ง
คิดไม่ถึงว่า เจินเมี่ยวกลับยิ้มสดใสแล้วตอบว่า “ได้”
เจินเมี่ยวตอบรับอย่างเบิกบาน จ้าวเฟยชุ่ยจึงอึ้งงันไป
เจินจิ้งที่จมหายอยู่ในฝูงชน ขยำชายเสื้อตน
น้องสี่ผู้นี้ของนาง โง่หรือฉลาดกันแน่
บางทีอาจเพราะมีความแค้นในใจต่อเจินเมี่ยวก็เป็นได้ เจินจิ้งจึงสามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปในระยะหลังมานี้ของเจินเมี่ยว
นางคิดว่าในเมื่อเจินเมี่ยวเอ่ยถึงเรื่องการแข่งขันนี้ขึ้นก่อน ไม่ว่าอีกประเดี๋ยวจะใช้วิธีใด นางย่อมต้องชนะ
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดต้องรับปากอย่างเบิกบานใจถึงเพียงนั้น ยิ่งจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความกังวล หากเป็นนาง จะต้องแสดงออกว่าตนอ่อนแอ ทำให้อีกฝ่ายเหิมเกริมและยิ่งอวดโอ้ตน
เช่นนั้นเมื่อถึงคราชนะก็มิใช่เหมือนได้ตบหน้าอีกฝ่ายโดยแรงสักฉาดหรอกหรือ
นอกจากความคิดอันละเอียดรอบคอบของเจินจิ้งแล้ว ยังมีความเป็นห่วงเจินเมี่ยวขึ้นมาจับใจของเจินเหยียนอีก
“น้องสี่ ให้ข้าแข่งเถิด” เจินเหยียนตบมือเจินเมี่ยวเบาๆ
นางรู้จักเจินเมี่ยวดี แม้อยากจะเป็นที่หนึ่งในทุกสิ่ง ฝีมือด้านศิลปะการครัวก็ไม่เลวเลย ทว่ากลับไร้ความอดทน จิตใจไม่นิ่งพอ ซึ่งการทำขนมเฉียวกั่วและแตงสลัก มิอาจขาดความสงบนิ่งชนิดนี้ไปได้ ต่อให้คนผู้นั้นมีความคิดจะอัศจรรย์เพียงใดก็มิอาจทำสำเร็จแน่
เมื่อเห็นเจินเหยียนหยุดยั้งเจินเมี่ยว ความอันกังวลน้อยนิดเมื่อครู่ของจ้าวเฟยชุ่ยก็มลายหายไปทันที นางคว้าเอามือเจินเมี่ยวไว้แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ไปที่ลานแข่งขันกันเถิด”
เจินเมี่ยวตีมือจ้าวเฟยชุ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ท่านบีบจนมือข้าเจ็บไปหมดแล้ว”
อุ๊บ...เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระลอกคลื่น
วาจานี้ของนาง เป็นการประกาศให้คนทั้งหลายได้เห็นถึงความหยาบกระด้างของจ้าวเฟยชุ่ย
จ้าวเฟยชุ่ยโมโหจนหัวใจเจ็บร้าวไปหมด
เหตุใดนางถึงจะไม่รู้ว่าคุณหนูสี่สกุลเจินเจ้าเล่ห์เพียงใด!
ในอดีตทุกคราที่พบและได้พูดคุยกับนาง คุณหนูสกุลสี่จะต้องตอบโต้นางอย่างมิอาจอดรนทนได้ ความอยากเอาชนะคะคานนั้นช่างเด่นชัดนัก ไม่เหมือนยามนี้แม้แต่น้อย ทั้งที่มิได้พูดอันใดแม้เพียงคำแต่กลับทำให้นางกลายเป็นคนป่าเถื่อนไปเสียแล้ว!
นางโมโหแทบตายแล้ว!
เมื่อกวาดตามองไปทั่วร่างของเจินเมี่ยว ในดวงตาของจ้าวเฟยชุ่ยกลับฉายแววภาคภูมิใจ “คุณหนูสี่สกุลเจิน การแข่งขันเช่นนั้นช่างไม่สนุกเอาเสียเลย เราควรจะมีรางวัลสำหรับผู้ชนะเสียหน่อยว่าหรือไม่”
“รางวัล ”
ความยินดีพลันประทุขึ้นมาในใจเจินเมี่ยวทันที
สวรรค์ นางกำลังจะได้เงินแล้ว กำลังจะได้เงินแล้ว!
ทั้งที่ในใจกำลังลิงโลดอย่างมากแต่ใบหน้ากลับตามไล่ตามไม่ทันความรู้สึก จึงดูคล้ายคนเหม่อลอย
“ใช่” จ้าวเฟยชุ่ยเห็นท่าทางของเจินเมี่ยวแล้วก็ได้แต่ดีใจอยู่เงียบๆ
ฮึ ดูท่าทางอัตคัดและใจแคบของนางแล้ว คิดว่าแม้แต่ของรางวัลอันเหมาะสมก็คงไม่มีแน่
ยังมิทันได้แข่งขัน นางก็สามารถเหยียบหน้าของคุณหนูตระกูลเจินให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าได้แล้ว!
กล่าวไปแล้วจวนมู่เอินโหวก็มิได้มีอันใด เพียงแต่อาศัยบารมีของหวงโฮ่วจนมีบรรดาศักดิ์ขึ้นมา การแต่งกายของสตรีในจวนจึงมิได้ใส่ใจถึงความเรียบง่ายแต่ดูดีอย่างตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไป
เพียงเห็นการแต่งกายของจ้าวเฟยชุ่ยก็ทราบแล้ว คุณหนูอายุแค่สิบสามปีเท่านั้น แต่บนศีรษะกลับมีมวยผมปลอม ทั้งยังปักปิ่นทองถึงสามคู่
เจินเมี่ยวแอบชำเลืองมองปิ่นทองบนศีรษะของจ้าวเฟยชุ่ยพลางลอบน้ำลายไหลอยู่เงียบๆ จ้าวเฟยชุ่ยมิได้ทำให้คนทั้งหลายต้องผิดหวังเลย นางดึงปิ่นทองสามคู่นั้นออกมา เชิดคางขึ้นเล็กน้อย “อืม นี่คือรางวัลของข้า คุณหนูสี่สกุลเจิน ของเจ้าเล่า ”
วันนี้เจินเมี่ยวสวมเสื้อผ้าแบบสบายเรียบง่าย บนศีรษะนอกจากบุปผามุกอันเล็กน่ารักคู่หนึ่ง ก็มีเพียงดอกพุดซ้อนกิ่งหนึ่งเท่านั้น ทั่วทั้งร่างไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าเป็นเครื่องประดับได้เลยจริงๆ
“อันใดกัน คุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋ว...แม้แต่ของรางวัลที่ควรค่าก็ไม่มีกระนั้นหรือ ”
เจินเหยียนเดินเข้ามา ถอดกำไลริ้วทองคู่หนึ่งวางลงไปในถาด
เจินปิงกับเจินอวี้สบตากัน แล้วถอดสร้อยทองแปดทรัพย์ติดคอแบบวงกลมจากคอตนวางลงรวมกับกำไลริ้วทองของเจินเหยียนโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียง
เจินจิ้งก้มหน้าเดินเข้าไปวางปิ่นทองฝังมุกรูปผีเสื้อลงในถาด
คุณหนูแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋วทุกคนต่างรู้ดี ไม่ว่าจะมีเรื่องอันใด ยามอยู่ข้างนอกพวกนางก็จะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เจินเหยียนพอใจในการกระทำของน้องสาวทุกคนมาก นางมองจ้าวเฟยชุ่ยแล้วยิ้มเย็น “คุณหนูเจ็ดสกุลจ้าวอยากจะแข่งกับน้องสี่ของข้าหรือว่าอวดความร่ำรวยเล่า หากอวดความร่ำรวย จวนเจี้ยนอานปั๋วของพวกเราคงมิกล้าไปเปรียบกับจวนมู่เอินโหวเป็นแน่”
จ้าวเฟยชุยหน้าดำคล้ำขึ้นมาทันที
ไม่ว่าเจินเหยียนจะยื่นของรางวัลออกมากี่ชิ้นนางก็มิได้ใส่ใจ แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าจวนมู่เอินโหวอวดร่ำอวดรวย นี้กลับมิใช่ชื่อเสียงที่ดีนัก
ชูสยาจวิ้นจู่พลันเผยยิ้มเต็มหน้าพลางกล่าวว่า “คุณหนูรองสกุลเจิน วาจานี้กลับไม่ถูกนัก วันนี้เป็นเทศกาลชีซี การแข่งขันเป็นไปเพียงเพื่อความสนุก และเป็นการมอบโอกาสให้เหล่าพี่สาวน้องสาวได้แสดงฝีมือเท่านั้น มีอันใดเรียกว่าอวดร่ำอวดรวยกัน แต่ในเมื่อมีของรางวัลแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ควรเท่าเทียมจึงจะถูก เจ้าว่าสมเหตุสมผลดีหรือไม่” พูดพลางวางกำไลหยกเนื้อใสน้ำงามลงบนถาดที่สาวใช้ถืออยู่
แม้ชูสยาจวิ้นจู่จะหยิ่งยโส ทว่าผู้ที่เข้าออกในวังอยู่บ่อยครั้งเช่นนาง จะไม่มีสติปัญญาสักนิดได้อย่างไร ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเพิ่มรางวัลให้เหมือนกับที่เจินเหยียนและน้องสาวได้กระทำ ซึ่งเจินเมี่ยวก็ต้องนำสิ่งของของตนออกมาด้วยเช่นกัน
มีคุณหนูหลายคนที่มักจะคอยคล้อยตามชูสยาจวิ้นจู่เสมอ เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้จึงวางเครื่องประดับของตนลง แล้วจ้องไปที่เจินเมี่ยว
เจินฮ่วนเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาตลอดเวลา ทว่าการวิวาทระหว่างสตรีนั้นไม่มีเหตุผลใดให้บุรุษจะยื่นมือเข้าไปแทรก จึงได้แต่มองอยู่เงียบๆ เท่านั้น
เจี่ยงเฉินกำหยกขาวที่เอวซึ่งเขาพกติดตัวไว้ตลอดแน่น ระหว่างคิ้วมีรอยแห่งความกังวลที่แม้แต่ตนเองยังมิรู้ตัวด้วยซ้ำ
หลัวเทียนเฉิงกลับกอดอกมองดูเรื่องทั้งหมดอย่างไม่อนาทร
ภายใต้สายตาคนทั้งหลาย เจินเมี่ยวยื่นมือไปหยิบถุงหอมที่เอวออกมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว แล้วล้วงเอาคันฉ่องขนาดเล็กเท่าฝ่ามือออกมา