ตอนที่ 31
ตอนที่ 31 เติงถูจื่อ
แค่มองปราดเดียว นางก็เห็นเงาร่างสีน้ำเงินอันคุ้นเคยที่ซ่อนอยู่ในฝูงชนนับพันนับร้อยนั้นแล้ว
เจินเมี่ยวพลันรู้สึกเย็นเยียบไปทั่วร่าง ความรู้สึกของนางนั้นดั่งตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งก็มาปาน
ยังดีที่ข้างกายคนผู้นั้นมีคุณหนูอายุประมาณสิบปียืนอยู่
คิดไม่ถึงว่าคนที่แสนเย็นชาในความทรงจำของนางผู้นั้นจะก้มหน้าพูดคุยสิ่งใดบางอย่างกับคุณหนูน้อยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เจินเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึก ฝืนเรียกสติปัญญาของตนกลับคืนมา
นางกลับไปทางนั้นไม่ได้แล้ว
“เอ้อสี่ เจ้าพาคุณชายรองกลับไปหาคุณชายใหญ่เถิด ข้าจะพาอาหลวนเดินไปดูทางนั้นอีกสักครู่” เจินเมี่ยวพยายามหมุนกายกลับหลังอย่างเป็นธรรมชาติแล้วเดินไปข้างหน้าช้าๆ เมื่อมั่นใจว่าตนถูกฝูงชนบดบังไว้แล้วค่อยเดินต่อไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่
หลัวเทียนเฉิงเหลือบมองสถานที่ที่เจินเมี่ยวหายลับไปแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
นางกลัวเขางั้นหรือ ทั้งยังคิดว่าเขามองไม่เห็น?
เขาก็บอกไม่ถูกว่าตนคิดอันใดถึงได้ก้าวเท้าเดินไปทิศทางนั้นเช่นกัน
คุณหนูน้อยเงยหน้าขึ้น “พี่เทียนเฉิง ท่านจะไปที่ใด”
หลัวเทียนเฉิงหยุดฝีเท้าตน ย่อกายลงเกือบครึ่ง “องค์หญิงห้า หม่อมฉันมีธุระเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงห้าผู้มีพระชนมายุสิบพรรษาแล้วนั้นยื่นปากออกมาทันที “พี่เทียนเฉิง วันนี้ท่านต้องคอยคุ้มครองข้า ข้าไม่อนุญาตให้ไป อีกอย่างข้าบอกแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่าองค์หญิงห้า เรียกว่าฟางโหรวก็พอแล้ว”
หลัวเทียนเฉิงไม่รู้จะทำฉันใด คนตรงหน้าคือองค์หญิงที่เขาช่วยไว้ตอนนั้นนั่นเอง ทว่าไม่ทราบด้วยเหตุใดหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นก็มักมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอยู่เสมอ และด้วยเหตุผลที่ว่าพระมารดาขององค์หญิงเป็นญาติห่างๆ กับจวนเจิ้นกั๋งกงซึ่งห่างเสียจนแทบไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว องค์หญิงจึงเรียกเขาว่าพี่
แม้วันนี้จะมิได้เป็นเวรของหลัวเทียนเฉิง แต่องค์หญิงฟางโหรวกลับระบุให้เขามาช่วยคุ้มครอง
“องค์หญิงห้า หม่อมฉันมีเรื่องด่วนจริงๆ ไปเพียงครู่ก็กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงฟางโหรวเจริญวัยจนเกือบจะเป็นหญิงสาวแล้ว นางกวาดสายตามองผู้คนโดยรอบพลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ที่แห่งนี้จะมีเรื่องด่วนอันใดให้ท่านทำได้ หรือว่า...หรือว่าท่านคิดจะหานางในดวงใจ”
“หม่อมฉันมีคู่หมั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลัวเทียนเฉิงหุบยิ้ม เอ่ยเสียงราบเรียบ
เมื่อเขากล่าวตามเหตุผลออกมาเช่นนี้ องค์หญิงฟางโหรวที่มักเอาแต่ใจตนกลับมิได้แสดงท่าทีแง่งอนแต่กลับขบกัดริมฝีปากตนแล้วเอ่ยว่า “ได้ ท่านต้องรีบไปรีบกลับ และต้องนำของขวัญมาให้ข้าด้วย”
คู่หมั้นอันใดกัน นางได้ยินคนเล่าลือมานานแล้วว่าเป็นเพียงแค่สตรีที่มิอยู่ในขนบธรรมเนียมเท่านั้น มิได้เหมาะสมกับพี่เทียนเฉิงแม้แต่น้อย
“พ่ะย่ะค่ะ” หลัวเทียนเฉิงรับคำ กำชับให้คนอื่นๆ คุ้มครององค์หญิงให้ดี แล้วหายเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว
เจินเมี่ยวเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับหยุดฝีเท้าลงโดยพลัน
กินมากเกินไป ทั้งยังเดินเร็วเกินไปอีก นางหายใจหอบแรง รู้สึกเจ็บเสียดที่ช่องท้อง
อาหลวนที่เร่งเดินตามอยู่ด้านหลังเกือบจะชนนางเข้า จึงเอ่ยถามโดยเร็วว่า “คุณหนูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ”
“ข้ารู้สึกเจ็บที่ตรงนี้เล็กน้อย”
อาหลวนมองไปโดยรอบ เอ่ยว่า “เช่นนั้นให้บ่าวประคองท่านไปนั่งพักตรงโน้นสักครู่เถิด”
คนทั้งสองนั่งพักเท้าอยู่ในศาลารับลมแห่งหนึ่ง แม้จะห่างจากริมน้ำอยู่สักหน่อยจึงไม่มีคนเดินผ่านมา แต่ก็ไม่นับว่าเปลี่ยวร้างอันใด
อย่างไรก็เป็นเวลากลางวันท้องฟ้าสว่างสดใส ผู้คนที่เดินไปมาก็สามารถมองเห็นได้
เจินเมี่ยวนั่งพักไปเพียงชั่วครู่ก็มีบุรุษสองคนเดินเข้ามา
บุรุษตรงหน้าผู้หนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีขาวนวล ท่าทางหล่อเหลาสง่างามอยู่หลายส่วน ผู้ที่เดินตามหลังนั้นแต่งกายอย่างบ่าวรับใช้ ร่างกายบึกบึน
อย่างที่กล่าวไว้นานแล้ว คุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋วนั้นต่างงดงามทั้งสิ้น แต่เจินเมี่ยวเป็นผู้เฉิดฉายโดดเด่นที่สุด รูปโฉมนั้นมิต้องกล่าวถึง แม้แต่อาหลวนที่ยืนอยู่ข้างกายนางก็เป็นสาวงามสดสวยผู้หนึ่ง
ครั้นผู้มาใหม่ได้เห็น ดวงตาจึงเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นทันที แต่ก็เก็บท่าทีนั้นไว้โดยเร็ว เขายกมือประสานกันแล้วเอ่ยว่า “น้อมทักทายแม่นาง”
เจินเมี่ยวลอบบิดเบ้ปากตน แม้ยังคงเจ็บช่องท้อง แต่ก็ต้องยืนขึ้นแสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเช่นกัน “น้อมทักทายคุณชาย”
กล่าวจบก็เกาะแขนอาหลวนเดินออกไปข้างนอก
บ่าวรับใช้ผู้นั้นกลับติดตามไป เขาทราบดีว่าคุณชายตนคิดทำสิ่งใด ร่างอันกำยำบึกบึนจึงยืนขวางทางเจินเมี่ยวไว้อย่างคล้ายเจตนาและคล้ายไม่เจตนา
เจินเมี่ยวขมวดคิ้วขึ้น
“แม่นาง ได้พบกันในคืนเทศกาลชีซีนับเป็นวาสนา เหตุใดจึงรีบจากไปเล่า” ผู้มาใหม่คลี่พัดขึ้นโบกสะบัด แสดงท่าทางที่ตนคิดว่างามสง่าที่สุดออกมา
เจินเมี่ยวได้แต่อึ้งงัน นางหันหน้าไปถามอาหลวน “เขากำลังร้องรำบทละครหรือ”
บุรุษผู้นั้นหน้าชาไปในทันใด
อาหลวนครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วตอบว่า “น่าจะไม่ใช่เจ้าค่ะ”
บุรุษหนุ่มยิ่งหน้าชามากขึ้นไปอีก
เจินเมี่ยวพลันหัวเราะออกมา “ขออภัยด้วย ข้ามักจะเห็นการกระทำเช่นนี้บนเวทีละครเสมอ บทพูดก็คล้ายกับที่ท่านกล่าวมายิ่ง ข้าจึงคิดว่าท่านกำลังร้องรำบทละคร”
น่าตายนัก เหตุใดจึงยังเจ็บอยู่อีก!
เมื่อเห็นท่าทางไร้เดียงสาไม่มีพิษสงทั้งยังดูอ่อนแอขี้โรคของเจินเมี่ยว บุรุษหนุ่มก็ลอบยินดีอยู่ในใจ ดูท่าคงเป็นคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในห้องหับจึงไม่รู้ประสาใด
ยามนั้นจึงเผยรอยยิ้มอันงามสง่า “คุณหนูกล่าววาจาขบขันแล้ว ข้าจะร้องรำบทละครได้อย่างไร เมื่อครู่ที่ข้าได้พบแม่นาง วาจาที่กล่าวล้วนมาจากใจทั้งสิ้น”
เจินเมี่ยวเบิกตากว้างขึ้นอีกเล็กน้อย “เช่นนั้น สิ่งที่ท่านพูดล้วนเป็นความจริง”
เมื่อถูกดวงตาสว่างใสดุจคลื่นน้ำนั้นจ้องมอง บุรุษหนุ่มก็พยักหน้าอย่างคนเลอะเลือน
หลัวเทียนเฉิงที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับนั้นกำหมัดแน่น
นางกำลังทำอันใด กล่าวเกี้ยวพากับบุรุษงั้นหรือ อุปนิสัยเดิมนั้นยากจะเปลี่ยนจริงๆ !
ความคิดที่จะยื่นมือเข้าช่วยจึงค่อยๆ หมดลง เพียงจ้องมองด้วยแววตาเย็นชา ดูว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป
เสียงแผ่วเบานั้นลอยแว่วมา “เอ๊ะ เช่นนั้น ท่าน ท่านก็เป็นเติงถูจื่อ! ”
บุรุษหนุ่มงุนงงยิ่ง “แม่นางเอ่ยภาษาใดหรือ”
“เพราะคนที่พูดวาจาเช่นนี้ในบทละครล้วนเป็นเติงถูจื่อที่คิดลวนลามสตรี! ” เจินเมี่ยวพูดด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจและเปี่ยมล้นไปด้วยเหตุผล
“แม่นางเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงคิดว่ายากนักที่จะมีวาสนาได้พบกัน จึงอยากสนทนากับแม่นางสักประโยค มิได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงแม้แต่น้อย” บุรุษหนุ่มยังคงพยายามเต็มที่ที่จะรักษาท่าทางสง่างามนั้นไว้
เจินเมี่ยวลอบเยาะหยันอยู่ในใจ
การพบปะพูดคุยกับบุรุษหรือสตรีที่พึงใจสักประโยคในวันเทศกาลเช่นนี้นั้นไม่นับเป็นอันใดได้ ทว่าต้องอยู่บนพื้นฐานที่ต่างฝ่ายต่างยินยอมจึงจะถูก แต่ตัวนางแสดงออกชัดเจนว่าต้องการจากไป ทว่าบ่าวรับใช้ผู้นั้นกลับมาขวางทางไว้ นี่คือท่าทีของคนที่คิดจะสนทนาพูดคุยกันงั้นหรือ
“เช่นนั้นข้าคงเข้าใจผิด ขออภัยด้วย แต่ข้าต้องไปแล้วจริงๆ พี่น้องของข้าคงรอจนร้อนใจแล้ว” เจินเมี่ยวส่งสายตาให้อาหลวนคราหนึ่ง
วาจาที่นางเอ่ยนั้นชัดเจนมากพอแล้ว นอกจากคนผู้นี้ยอมรับว่าตนเป็นเติงถูจื่อถึงจะกล้าเข้ามาขวางนางไว้อีก
ความจริงแผนการของเจินเมี่ยวนั้นไม่เลวเลย หากเป็นสตรีอื่น บุรุษผู้นี้คงมิกล้ากระทำการรุนแรงตั้งท่าขวางไว้ไม่ยอมให้คนไปเป็นแน่ เพราะแตงที่ถูกเด็ดทั้งที่ยังไม่สุกนั้นย่อมไร้รสหวาน
ทว่ายามนางอยู่คู่กับอาหลวนแล้วช่างโดดเด่นงดงามยิ่งนัก ทั้งท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสานั้นอีก มันทำให้บุรุษรู้สึกคับยุบยิบในหัวใจจนมิอาจตัดใจปล่อยนางไปได้
เขาคิดว่านางเป็นสตรีที่มิรู้เดียงสาใด หากกล่าวคำลวงหรือขู่ขวัญสักหน่อย ไม่แน่ว่าทุกอย่างอาจสำเร็จได้โดยง่าย บุรุษหนุ่มจึงทำหน้านิ่งขรึม “ในเมื่อแม่นางดูละครอยู่บ่อยครั้ง ย่อมเข้าใจดีว่าหากถูกบุรุษแปลกหน้าจับมือ จะต้องตกเป็นภรรยาของคนผู้นั้น หากสตรีมิยินยอมแต่งก็จำต้องไปบวชเป็นชี”
เจินเมี่ยวสะดุ้งตกใจ “เจ้า เจ้าคิดจะจับมือข้า”
หลัวเทียนเฉิงที่แอบฟังอยู่นั้นโมโหแทบตายแล้ว
สตรีโง่งม เจ้ากำลังเชิญชวนมันหรือไร!
บุรุษหนุ่มกลับผลิยิ้มดุจสายลมยามวสันต์ “ย่อมมิใช่แน่ ข้าเพียงอยากจะสนทนากับแม่นางสักครู่เท่านั้น แต่หากแม่นางไม่รับปาก นั้นก็มิแน่แล้ว”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่างตำหนิว่านางไม่เกรงใจเลย
“ไม่ทราบคุณชายเป็นผู้ใด”
“ตัวข้านามจูหมิงชิ่ง บิดาดำรงตำแหน่งขุนนางฝ่ายบุ๋นแห่งจวนจิ่งเทียน”
เจินเมี่ยวพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็วางใจแล้ว”
“แม่นางพูดอันใด...”
มิรอให้บุรุษผู้นั้นเอ่ยถามจบ เจินเมี่ยวซึ่งส่งพลังไปรอที่เท้าอยู่นานแล้วนั้นจึงเตะปลายเท้าไปที่ข้อพับขาด้านหลังของเขาโดยแรง