icon member

วาสนาบันดาลรัก

ตอนที่ 3

ตอนที่ 3 บีบให้แต่งงาน

เมื่อมองเห็นความวุ่นวายภายในห้อง ฮูหยินผู้เฒ่าก็กุมหน้าผากทันที “ไปเชิญท่านหมอหวังมาตรวจดูคุณหนูสี่ พวกเจ้าก็ออกไปให้หมด” 

รอจนทุกคนออกไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงกำชับแม่นมหวังว่า “ไปเชิญเหล่าปั๋วเหยีย[1] มาพูดคุยหน่อยเถิด” 

แม่นมหวังมีสีหน้าลำบากใจ

ฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าขรึมลงไปอีก “มีอันใด” 

แม่นมหวังเป็นคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อเห็นนางเอ่ยถามจึงมิกล้าปิดบังรีบรายงานทันที “ฮูหยินผู้เฒ่า วันนี้นายท่านผู้เฒ่าออกไปเล่นชนนกตั้งแต่เช้าแล้ว เวลานี้ยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ” 

ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่กลั้นหายใจอย่างเหลือทน สุดท้ายจึงเอ่ยออกมาว่า “ซื่อจื่อ ใกล้จะกลับจากศาลาว่าการแล้วใช่หรือไม่ หากเขากลับมาแล้วให้มาพบข้าทันที” 

ซื่อจื่อของจวนเจี้ยนอานปั๋วรับราชการเป็นหลางจง[2] ในกรมพระคลัง เมื่อเทียบกับเหล่าผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายก็นับว่าไม่เลวทีเดียว

“เจ้าค่ะ” แม่นมหวังรับคำ คิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงต่ำเบาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อครู่ที่บ่าวไปเชิญคุณหนูสี่มา พบว่า...” 

“พบอันใด ซู่เย่ว์ เวลานี้แล้ว ยังมีอันใดให้อึกอักอีก” 

เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในจวน จึงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่เยือกเย็นมาตลอดรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างจริงๆ 

ต่อให้คุณหนูสี่จะไม่ดีอย่างไรก็เป็นหลานแท้ๆ ของนาง เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแม้มิจำเป็นต้องลงโทษตายเพื่อรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล แต่ก็ยากจะจัดการ

หากฝ่ายชายยอมรับก็จัดการหมั้นหมาย มิเช่นนั้นก็ส่งออกไปให้ไกลจากที่นี่ ไม่ก็แต่งออกไปที่อื่น หรือรอให้เรื่องสงบลงค่อยรับกลับมาเงียบๆ 

บางตระกูลที่เคร่งครัดในกฎของบรรพบุรุษนั้นถึงกับสั่งให้บุตรสาวโกนผมบวชเป็นภิกษุณีเลยทีเดียว

จวนเจิ้นกั๋วกงมิได้เข้าไปได้ง่ายดายปานนั้น นายท่านผู้เฒ่ามิสนใจสิ่งใด ยามนี้ก็ได้แต่รอซื่อจื่อกลับมา ค่อยหารือว่าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร

“ฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวพบว่า บนลำคอของคุณหนูสี่มี...รอยช้ำเจ้าค่ะ” แม่นมหวังกลั้นใจพูดออกไป

“จริงหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกคิ้วยาวเรียวขึ้น

เมื่อฮูหยินซื่อจื่อนำคุณหนูทั้งหลายกลับมาจากวังจั่งกงจู่ก็มาหานางเพื่อรับโทษทันที คุณหนูสี่ที่เปียกโชกไปทั้งร่างถูกส่งกลับมาโดยมีผ้าห่มห่อหุ้มร่างไว้ หญิงรับใช้ข้างกายก็ถูกกักตัวไว้ตั้งแต่แรก นางจึงเพิ่งทราบเรื่องที่สำคัญถึงเพียงนี้

แม่นมหวังลนลานตอบ “เรื่องนี้แม้นตีบ่าวให้ตายก็มิกล้าพูดปดเจ้าค่ะ” 

ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวออกมา เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ไท่ซือ[3] “ไปดูว่าซื่อจื่อกลับมาแล้วหรือยัง” 

“ท่านแม่ ลูกกลับมาแล้ว” หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าดื่มชาไปหนึ่งถ้วย หญิงรับใช้ที่อยู่หน้าประตูก็แหวกม่านมุกขึ้น บุรุษอายุประมาณสี่สิบปีเดินเข้ามา ท่าทางสง่างาม มีหนวดเคราหรอมแหรม

ผู้นี้คือซื่อจื่อของเจี้ยนอานปั๋ว นามว่า เจินเจี้ยนเหวิน

“ต้าหลาง[4] เรื่องวันนี้ เจ้าทราบข่าวแล้วใช่หรือไม่” 

เจินเจี้ยนเหวินพยักหน้า

“แล้วเจ้าเห็นควรเช่นไร” 

เจินเจี้ยนเหวินมองใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า

ม่านตาของฮูหยินผู้เฒ่าหลุบต่ำ มองไม่เห็นแววยินหรือโทสะ

เจินเจี้ยนเหวินสีหน้าสงบนิ่งดุจผืนน้ำ “เจ้าสี่อายุสิบสี่แล้ว หากส่งตัวไปไกลเพื่อกลบข่าวก็เกรงจะทำให้พลาดโอกาสแต่งงาน แต่หากแต่งอย่างฉุกละหุก ก็คงไม่เหมาะสมนัก อีกอย่างจวนเจิ้นกั๋วกงก็มิใช่จะเข้าไปอยู่ได้ง่ายๆ ...” 

ในใจลอบตำหนิว่าหลานตนเลอะเลือนแล้ว

ในบรรดาคุณหนูทั้งหกในจวนตระกูลเจิน เจินเมี่ยวรูปโฉมงามเฉิดฉายที่สุด บุตรสาวคนโตของเขาก็แต่งให้วังจั่งกงจู่แล้ว หากเป็นไปตามการคาดคะเน เด็กสาวผู้นี้จะแต่งให้คนดีๆ สักคนก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งยังสามารถเป็นขุมกำลังของตระกูลได้อีกแรง

คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้ ปกติดูฉลาดหลักแหลม ความจริงกลับโง่เขลา หรือคิดว่าทำเช่นนี้แล้วถึงจะได้เป็นฮูหยินของซื่อจื่อ! 

“เช่นนั้นก็บังคับให้พวกเขาแต่ง” ฮูหยินผู้เฒ่าลืมตาขึ้น ประกายแสงปรากฏวาบในดวงตา

เจินเจี้ยนเหวินตกตะลึงไป

เขาเห็นฮูหยินผู้เฒ่าหรี่ตาแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าสี่อับอายจนวิ่งชนเสา บนลำคอของนางก็มีรอยช้ำ” 

เจินเจี้ยนเหวินตกตะลึงอีกครั้ง ภายหลังจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ยื่นมือออกไปประสานกันทำความเคารพ “ลูกทราบแล้วขอรับ” 

ไม่ถึงวันพรุ่ง ข่าวเรื่องที่คุณหนูสี่แห่งจวนเจี้ยนอานปั๋วพุ่งเข้าชนเสาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์หลังฟื้นจากตกน้ำก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง

ถึงกับพุ่งชนเสาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ คนทั่วเมืองหลวงล้วนมีความรู้สึกที่ดีต่อเจินเมี่ยวขึ้นมามากทีเดียว

เพียงแต่เด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่ปี มิอาจพูดได้ว่าเพราะห่วงแต่สนุกจนทำให้เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ได้จริงๆ 

“อุบัติเหตุหรือ หากเป็นอุบัติเหตุ ข้าคงจะเขียนชื่อสกุลตนกลับหัวแล้ว! คิดจะแต่งเข้ามาก็ได้ เช่นนั้นก็แต่งเข้ามาเป็นอนุภรรยาแล้วกัน” ภายในเรือนอี๋อานจวนเจิ้นกั๋วกง บุรุษหนุ่มอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าแค่นยิ้มกล่าวเสียงเย็นด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว

ฮูหยินผู้เฒ่าโต้วซื่อของเจิ้นกั๋วกงถอยหลังจ้องมองหลานชายที่กำลังโทสะพุ่งสูง นางถอนหายใจแล้วกวักมือเรียกให้เขาเข้ามาหา

หลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกงลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เดินเข้าไปนั่งด้านล่างใกล้กับฮูหยินผู้เฒ่า

ฮูหยินผู้เฒ่ามองหลานชายด้วยความรักใคร่ “หมิงเกอ[5] กล่าวเช่นนี้ได้เสียที่ไหนกัน หลานสาวของจวนเจี้ยนอานปั๋วจะเป็นอนุภรรยาได้อย่างไร” 

บุรุษหนุ่มที่นั่งอย่างองอาจนั้นมีคิ้วดุจคมดาบ ดวงตาดั่งดวงดารา ทว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกมากลับเย็นเยียบยิ่ง “เช่นนั้นก็ตามแต่นางจะกระทำ อย่างไรหลานก็ไม่มีทางแต่งภรรยาเช่นนี้” 

ใช่ เขาไม่ยอมเด็ดขาด ไม่มีทางแต่งกับสตรีที่ทำตัวเป็นดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง[6] ทั้งยังทำให้เขาต้องพบจุดจบอย่างอเนจอนาถในชาติก่อนนี้เป็นแน่! 

ชีวิตในชาติก่อนนั้นเขาก็ตกน้ำเช่นนี้ อารองกับอาสะใภ้ของเขาต่างหว่านล้อมสารพัด ตักเตือนให้เขาแต่งงานไปเสีย

แต่ยามนี้ เป็นตายเขาก็มิยอม ถึงได้มีการพูดคุยระหว่างท่านย่าและหลานชายเกิดขึ้นเช่นนี้

ฮูหยินผู้เฒ่าแสดงสีหน้าเป็นงานเป็นการ “หมิงเกอในเมื่อตอนนั้นเจ้าก็ตกน้ำลงไปกับคุณหนูสี่สกุลเจิน เหตุใดต้องเอาชีวิตผู้อื่นด้วยเล่า” 

เมื่อเอ่ยถามถึงตรงนี้ โต้วซื่อก็เจ็บแปลบหัวใจขึ้นมา

บุตรชายคนโตและภรรยาจากไปนานแล้ว หลานชายคนนี้นางเลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ แม้จะรักใคร่จนนิสัยเสียไปบ้าง แต่ก็มีจิตใจดีงาม คิดไม่ถึงว่าจะกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้

“หมิงเกอ การแต่งงานสองครั้งของเจ้าก่อนหน้านี้ล้วนล้มเหลว หากเรื่องนี้แพร่ออกไปอีก จะทำเช่นไรดีเล่า” 

เมื่อตกน้ำลงไปด้วยกัน ผู้ที่เสื่อมเสียชื่อเสียงคือฝ่ายหญิง แต่หากมีข่าวลือแพร่ออกไปว่าซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกงเป็นคนโหดร้ายบีบคอสตรีหวังให้ตายอยู่ในน้ำ ต่อให้ตำแหน่งซื่อจื่อนี้จะมั่นคงเพียงใด ภายหน้าหากคิดแต่งสตรีดีงามสักคนก็คงเป็นเรื่องยากแล้ว

หลัวเทียนเฉิงกำหมัดแน่น เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด

แค้นเคืองที่เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นสตรีที่เกลียดชังมานานปีผู้นั้น ฉับพลันจึงคิดฆ่านางด้วยมิอาจยั้งมือเอาไว้ได้

หาก...หากเขาฟื้นเร็วกว่านั้นอีกสักหนึ่งเค่อ[7] คงไม่มีทางพาตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับสตรีผู้นั้นเด็ดขาด

ท่านย่าพูดถูก ชื่อเสียงของเขามิอาจมัวหมอง เขายังต้องรักษาตำแหน่งซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกงนี้ไว้ให้มั่น และค่อยทวงกำไรจากคนที่ติดค้างหนี้ชีวิตของเขาในชาติก่อนไปทีละคน! 

ใบหน้าดุจเทพดุจหยกของบุรุษหนุ่มปกคลุมไปด้วยหมอกเย็นชั้นหนึ่ง ค่อยๆ คุกเข่าลง เอ่ยทีละคำว่า “หลานยินดีแต่งขอรับ” 

...

หญิงรับใช้ที่มักมาปรนนิบัติดูแลที่สวนเฉินเซียง[8] ต่างไม่เห็นแม้เงา ส่วนที่มาใหม่ก็ล้วนย่างเท้าอย่างแผ่วเบาทั้งสิ้น

ทั่วทั้งสวนเฉินเซียงล้วนเงียบสงบ เหลือเพียงต้นดอกท้อเก่าแก่ที่กำลังเบ่งบานสวยสดอยู่ต้นหนึ่ง

เจินเมี่ยวอิงแอบอยู่บนหมอนสีเหลืองเข้ม ใบหน้าน้อยๆ ขาวซีด บนหน้าผากยังพันไว้ด้วยผ้าพันแผล

“จื่อซู ช่วยข้าหยิบตำราสักเล่มเถิด” 

จื่อซูผู้สวมเสื้อกั๊กยาวปี๋จย่าสีม่วงอ่อนเป็นหญิงรับใช้อาวุโสที่อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า เป็นคนที่สุขุมที่สุดจึงถูกส่งมาดูแลสวนเฉินเซียงชั่วคราว

แม้นกล่าวว่าชั่วคราว ความจริงก็คือการยกนางให้เป็นบ่าวผู้ติดตามคุณหนูสี่นั้นเอง

ไม่ว่าในใจจะคิดเช่นไร หญิงรับใช้ผู้นี้ก็มิได้แสดงอาการไม่ยินยอมออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินเจินเมี่ยวกำชับเช่นนั้นก็หมุนตัวไปที่ห้องตำราเล็กทางตะวันตกของเรือน แล้วหอบตำราเล่มหนึ่งกลับมาส่งให้

เจินเมี่ยวยื่นมือเข้าไปรับก็ต้องทำหน้าเหยเก 

เพียงเห็นอักษรตัวใหญ่สองตัวเขียนบนตำราว่า ‘สอนหญิง’ 

เหลือบตามองคราหนึ่ง แล้วเหลือบมองอีกคราหนึ่ง

จื่อซูหญิงรับใช้อาวุโสยังคงยืนตัวตรง ก้มศีรษะลงเล็กน้อย ใบหน้าแสดงความนอบน้อม

เจินเมี่ยวถอนหายใจเฮือก รับตำราสอนหญิงมาอย่างว่าง่าย นางเองก็อยู่ในระยะตัดสินโทษประหาร ‘สอนหญิง’ ก็สอนหญิงเถิด

ครั้นกำลังพลิกตำราเปิดอ่านก็มีสาวใช้มารายงานว่า “คุณหนู...คุณหนูรอง คุณหนูห้า คุณหนูหกมาเจ้าค่ะ” 

------

[1] เหล่าปั๋วเหยีย เป็นคำเรียกนายท่านที่มีบรรดาศักดิ์ปั๋ว เหล่า หมายถึง ผู้เฒ่าหรือผู้ที่มีอายุมาก ปั๋วคือชื่อบรรดาศักดิ์ เหยีย หมายถึง นายท่าน อาจแปลเป็นไทยได้ว่านายท่านผู้เฒ่าบรรดาศักดิ์ปั๋ว

[2] หลางจง เป็นชื่อยศของขุนนางในสมัยโบราณ ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ เป็นผู้ติดตาม เสนอแนะในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการเดินทางขององค์จักรพรรดิในทุกครั้งที่จะประพาสไปยังที่ต่างๆ และเป็นผู้ถืออาวุธประจำตัวขององค์จักรพรรดิ 

[3] เก้าอี้ไท่ซือ เป็นเครื่องใช้ในเรือนแบบโบราณ เป็นเก้าอี้ที่ทำจากไม้ ตัวเก้าอี้ไม่สูงนัก ที่นั่งกว้าง มีพนักวางแขนและพนักพิงหลัง

[4] ต้าหลาง เป็นคำเรียกที่บิดามารดาใช้เรียกลูกคนแรก

[5] เกอ คำเรียกขานบุรุษทั่วไป หรือลูกหลานที่เป็นผู้ชาย 

[6] ดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง หมายถึง สตรีที่แต่งงานแล้ว ลักลอบมีชู้

[7] เค่อ หน่วยวัดเวลาของจีน ประมาณสิบห้านาที

[8] สวนเฉินเซียง เฉินเซียงแปลว่าต้นกฤษณาหรือไม้หอม แม้จะบอกว่าเป็นสวนแต่ใน ณ ที่นี้คืออาณาเขตของเรือนพักที่แยกให้คุณหนูแต่ละคนพักอาศัย 

วาสนาบันดาลรัก

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด