ตอนที่ 29
ตอนที่ 29 ออกนอกจวน
เมื่อทราบความเช่นนั้น มุมปากเจินจิ้งก็หยักโค้งขึ้นเป็นแววยิ้มเยาะคราหนึ่ง
ท่านแม่ใหญ่ผู้มีอำนาจที่สุดในเรือนหลัง ผู้ซึ่งสามารถยกมือปิดแผ่นฟ้าได้นั้นถึงกับเปลี่ยนความคิดแล้ว
แม้ยกเลิกการกักบริเวณเพียงหนึ่งวัน ทว่าความรู้สึกกลับต่างออกไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว บางทีท่านแม่อาจจะพูดถูก ความรักของบุรุษต่างหากจึงจะเป็นพื้นให้ยืนได้อย่างมั่นคง...
มิเอ่ยถึงความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของคุณหนูสามแล้ว
อีกด้านหนึ่ง เจินเมี่ยวก็กำลังจัดเตรียมสิ่งของด้วยความเบิกบานใจเพื่อเทศกาลชีซีนี้โดยเฉพาะ
นอกจากครั้งที่เจินเมี่ยวได้ติดตามนางเวินไปร้านเป่าหวาแล้ว หลังจากนั้นก็มิได้ออกนอกจวนอีกเลย หากบอกว่านางมิเฝ้าคอยงานเทศกาลในครั้งนี้คงเป็นคำโกหกแน่
ความจริงในหัวของนางนั้นยังมีภาพเหตุการณ์ที่ได้ไปร่วมงานเทศกาลชีซีเมื่อปีที่แล้วอยู่
เจินเมี่ยวในตอนนั้นมุ่งมั่นที่จะแสดงฝีมือให้ผู้อื่นได้ประจักษ์แก่สายตาอย่างยิ่ง นางจึงเข้าร่วมแข่งดีดพิณ เดินหมากรุก วาดภาพ ประลองฝีมือการสนเข็มและอีกมากมายกับคุณหนูตระกูลอื่น
แม้นนางจะเก่งกาจในทุกสิ่ง แต่กลับไม่มีอันใดที่ได้อันดับหนึ่งเลย มีเพียงการขับร้องบทเพลงเท่านั้นที่สามารถช่วงชิงจนได้รับอันดับหนึ่งมา แต่เพราะคิดแต่จะเอาชนะทำให้นางได้สร้างความแค้นขึ้นกับจวิ้นจู่1 น้อย ชูสยาจวิ้นจู่แห่งจวนหย่งอ๋อง
แม้จะบอกว่าสร้างความแค้นระหว่างกัน แต่ต่อให้ตอนนั้นเจินเมี่ยวอยากเอาชนะมากเพียงใดก็ไม่มีความกล้ามากพอจะไปแก่งแย่งกับจวิ้นจู่ได้ ทว่าชูสยาจวิ้นจู่มิชอบนาง จึงได้พูดประชดประชันใส่นางอยู่หลายประโยค ด้วยเหตุนี้เอง แม้นนางจะได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันขับร้องบทเพลง แต่กลับไม่มีมีการประกาศชื่ออันใด
เจินเมี่ยวจึงตัดสินใจแล้วว่า การออกจากจวนครั้งนี้ นางจะไปเพื่อกิน เที่ยว ดื่ม เล่น ส่วนการแข่งขันฝีมืออันใดนั้นก็ให้บรรดาน้องสาวที่มีอนาคตแสนสดใสกระทำเถิด
เพื่อให้การออกนอกจวนครั้งนี้สามารถกินดื่มได้อย่างสำราญ เจินเมี่ยวจึงต้องนั่งคำนวณเบี้ยหวัดส่วนตัวอันน่าสงสารของตน เสี่ยวฉานพลันกระโดดโลดเต้นเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณหนู ฮูหยินให้สาวใช้นำถุงเงินมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
ซูจื่อที่กำลังรับใช้ปรนนิบัติอยู่ในห้องนั้นถลึงตาใส่เสี่ยวฉานโดยมิส่งเสียงคราหนึ่ง เสี่ยวฉานพลัน สงบเสงี่ยมลงทันที
วันเวลาเหล่านี้ สาวใช้หลายคนก็ถูกกำหนดระดับขั้นแล้ว
จื่อซูยังคงมีฐานะตำแหน่งเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่ง เบี้ยหวัดนั้นรับจากฮูหยินผู้เฒ่า สาวใช้ขั้นสองคือ อาหลวนและไป่หลิง เชวี่ยเอ๋อ ชิงเกอ เยี่ยอิงและเสี่ยวฉานเป็นสาวใช้ขั้นสาม
จื่อซูมีฐานะเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า ย่อมต้องมีฝีมือสักหลายส่วน ก่อนการกำหนดระดับขั้นนั้น นางก็ทำเพียงลืมตาข้างหลับตาข้างต่อความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ของสาวใช้ทั้งหลาย ทว่ากลับลอบสังเกตอุปนิสัยแต่ละคนอยู่เงียบๆ
เมื่อระดับขั้นถูกกำหนดแน่ชัดแล้ว นางก็เริ่มเคร่งครัดในกฎระเบียบต่อเหล่าสาวใช้น้อยทั้งหลายขึ้นมาทันที ทว่าเสี่ยวฉานเป็นคนร่าเริงสดใสมาแต่กำเนิด นางจึงมิอาจกดข่มอุปนิสัยที่ติดตัวมาได้ทั้งหมด
จื่อซูจำคำสอนของท่านย่าเมื่อครั้งนางถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งได้ดี ไม่มีสาวใช้ที่อุปนิสัยไม่ดี แต่ต้องดูว่าเจ้านายหรือผู้ดูแลมองเห็นข้อดีของสาวใช้หรือไม่เท่านั้น
อย่างน้อยเสี่ยวฉานก็สนิทสนมคุ้นเคยกับสาวใช้ในแต่ละเรือนเป็นอย่างดี การให้นางไปสอบถามข่าวคราวใดนั้นย่อมเหมาะสมมากที่สุด
จื่อซูกำลังครุ่นคิดอยู่ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกของนางกำลังเล่าเรื่อง “คุณหนู ท่านทราบหรือไม่เจ้าคะ อาการป่วยของคุณหนูสามหายดีแล้ว วันนี้ก็จะออกนอกจวนไปด้วยกันกับท่านเจ้าค่ะ ”
เจินเมี่ยวอึ้งงันไป ยังมิทันได้ซึมซับกับข่าวนี้ดี เสี่ยวฉานก็เอ่ยต่อว่า “โอ๊ย ได้ยินว่าหลานอี๋เหนียงแห่งสวนหมิงหวานั่งคุกเข่าอยู่หน้าเรือนหลังภายใต้แสงแดดอันแรงกล้าอยู่ถึงครึ่งชั่วยาม คุณหนู ท่านทราบหรือไม่ว่าหลานอี๋เหลียงนั้นเป็นสตรีที่งดงามยิ่ง...”
นางพูดออกนอกเรื่องไปเรื่อยแล้ว แต่สิ่งที่เจินเมี่ยวควรเตรียมก็เตรียมเรียบร้อยแล้ว ยังมีเวลาเหลืออีกมาก เช่นนั้นก็ถือว่าฟังสาวใช้พูดพล่ามแก้เบื่อไปแล้วกัน
นางนั่งลูบคลำถุงเงินที่นางเวินส่งมาให้ แล้วนับเงินเบี้ยที่อยู่ในถุงนั้นพลางฟังสาวใช้พูดพล่ามไปด้วยรอยยิ้ม
คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่นางใช้เวลาไปถึงหนึ่งเค่อในการบรรยายเสื้อที่หลานอี๋เหนียงสวมใส่ สุดท้ายกลับวกเข้ามาที่หัวข้อเดิม “โอ๊ย น่าเสียดายที่แม้หลานอี๋เหนียงจะเป็นสตรีที่งดงาม แต่ซื่อจื่อที่กลับมาพอดีกลับมิมองนางแม้เพียงสักนิด! ”
จื่อซูขมวดคิ้ว คิดจะเอ่ยปากแต่ก็เงียบไว้ เมื่อเห็นว่าเจินเมี่ยวที่กำลังหยิบเงินเบี้ยขึ้นมานับเล่นอยู่นั้นก็กำลังอดกลั้นไม่ต่างกับนาง
ยามมีเจ้านายอยู่ด้วย นางที่เป็นสาวใช้คนสนิทผู้เพียบพร้อมจะเอ่ยตามใจปากสำแดงอำนาจตนได้อย่างไรเล่า
ทว่าจื่อซูก็ต้องเสียใจในทันทีที่ไม่เอ่ยปากหยุดยั้งนาง
เสี่ยวฉานเล่าต่อประหนึ่งประทัดที่ถูกจุด “คุณหนู ข้ายังได้ยินมาว่าเมื่อวานซื่อจื่อพักผ่อนอยู่กับ ฮูหยินใหญ่ ทั้งยังใช้น้ำไปถึงสามครา! ”
สาวใช้น้อยแสดงสีหน้าอิจฉาอย่างที่สุด “คุณหนู ที่แท้เรื่องที่แม่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง ยิ่งเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่งยิ่งพิถีพิถัน เมื่อมีฐานะเป็นถึงซื่อจื่อ วันหนึ่งจึงต้องอาบน้ำถึงสามครั้ง! โอ้ย ท่านคงไม่ทราบว่ามีคนมากมายที่ครึ่งปีก็ยังไม่อาบน้ำ มันเปลืองฟืน...”
เจินเมี่ยวมองจื่อซูด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
นางต้องกล่าวขออภัยต่อประชาชนและพรรคคอมมิวนิสต์อย่างสุดซึ้ง แม้ในโลกเดิมนั้นนางจะเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง แต่เพราะอ่านนวนิยายมากเกินไปทำให้นางเข้าใจนัยยะที่ซ่อนอยู่ของคำว่า ‘ใช้น้ำ’ ได้อย่างถ่องแท้
นางแค่สงสัยว่า เมื่อใดกันที่แม้แต่สาวใช้ขั้นสามข้างกายนางยังทราบเรื่องส่วนตัวของซื่อจื่อแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋วได้?
ครั้นซูจื่อได้ฟังวาจาของเสี่ยวฉานก็มิได้แสดงอารมณ์ใดๆ อยู่เป็นนานประหนึ่งถูกฟ้าผ่าเข้าใส่ก็มิปาน กระทั่งหันไปเห็นความสงสัยบนหน้าเจินเมี่ยว จึงค่อยๆ มีสติคืนมา นางเอ่ยเสียงเคร่งขรึมว่า “เสี่ยวฉาน ผู้ใดให้เจ้าทำตัวไร้กฎระเบียบเช่นนี้ เจ้าพูดเรื่องเหลวไหลต่อหน้าคุณหนูได้อย่างไร ยังไม่รีบออกไปอีก!”
กล่าวจบก็มิสนใจเสี่ยวฉานที่ตกใจจนนิ่งไปอีก นางรีบเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “คุณหนู ท่านอย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของม้าดีดกะโหลกนี้เลย รังแต่จะทำให้ระคายเคืองหูท่านเปล่าๆ เจ้าค่ะ” แล้วมองเจินเมี่ยวด้วยสายตาเป็นกังวล
เจินเมี่ยวรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย เหตุใดนางต้องเผชิญหน้ากับความลำบากเช่นนี้เสมอ มันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะกับอายุและความรู้ของนางในตอนนี้เลย นางไม่ควรเข้าใจจริงๆ
สตรีทั่วไปคงถามว่าต้องใช้น้ำหลายคราถึงเพียงนั้นเพราะเหตุใดแน่ มิเช่นนั้นคงถูกสงสัยในสติปัญญา แต่นางกลับเข้าใจ จึงมิอาจเอ่ยคำถามนี้ออกไปได้
หากนางไม่ถามเลย จื่อซูก็อาจเข้าใจว่านางรู้ เช่นนั้นคงมิถูกดูแคลนแค่เพียงเรื่องสติปัญญาเท่านั้น
ภายใต้ความร้อนใจนี้ เจินเมี่ยวจึงตอบไปพร้อมรอยยิ้มโง่งม “สามครั้ง...สามครั้งก็ออกจะมากเกินไปอยู่...”
ใช่ มันออกจะมากเกินไปสักหน่อย...
“แค่กๆ ” จื่อซูที่มีสีหน้าเป็นกังวลพลันสำลักขึ้นมา
เจินเมี่ยวกลับมานิ่งสงบเช่นเดิมแล้ว “เอาล่ะ เสี่ยวฉาน ต่อไปวาจาพวกนี้มิอาจกล่าวส่งเดช จื่อซูมิได้บอกเจ้าหรือ บ่าวที่วิจารณ์เจ้านายตามใจชอบจะถูกขายออกไป”
เสี่ยวฉานตกใจจนหน้าซีด คุกเข่าลงพื้นเสียงดังพลั่ก “คุณหนู ขอท่านอย่าได้ขายบ่าวเลยนะเจ้าคะ! ”
“เอาเถิด วันนี้เป็นเทศกาลของสตรี เจ้าอย่าได้ร้องห่มร้องไห้เลย” เจินเมี่ยวโบกสะบัดมือคราหนึ่งเป็นสัญญาณให้เสี่ยวฉานลุกขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะลงโทษให้เจ้าเฝ้าเรือน และให้อาหารจิ่นเหยียนแทนข้า”
วันเทศกาลชีซีนั้นเหล่าสาวใช้ก็ได้หยุดเช่นเดียวกัน หากมีบิดามารดาอาจลากลับไปเยี่ยมได้ หรือไม่ก็นัดกับพี่สาวน้องสาวที่สนิทมาร่วมฉลองด้วยกัน แต่ไม่สามารถออกไปนอกจวนได้
เจินเมี่ยวนั้นคุ้นเคยกับนกเอี้ยงที่เจี้ยนอานปั๋วมอบให้เป็นอย่างดีแล้ว นางหยอกล้อมันอยู่ครู่หนึ่งอย่างทุกครั้ง แต่จิ่นเหยียนก็ไม่ยอมพูดจาดุจน้ำเต้าไร้ปากกระนั้น ทว่าเจินเมี่ยวกลับรู้สึกสงบใจอย่างประหลาด นางดีดหัวนักเอี้ยงเบาๆ คราหนึ่ง แล้วนำขนมเฉียวกั่วและแตงสลักที่เตรียมไว้ไปหาเจินเหยียน
สิ่งที่นางไม่คาดคิดคือผู้ที่ออกไปกับพวกนางในปีนี้นั้น นอกจากเจินฮ่วนและหันเกอของบ้านใหญ่แล้วยังมีเจี่ยงเฉินเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
เมื่อถึงเวลา คนกลุ่มหนึ่งก็ค่อยๆ ทยอยเดินออกประตูไป
[1] จวิ้นจู่ เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิง อาจเป็นองค์หญิงหรือท่านหญิงก็ได้ขึ้นอยู่กับการสืบสายเลือดทางบิดากับจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ซึ่งตำแหน่งนี้มีลำดับชั้นและความสำคัญแตกต่างกันไปตามแต่ยุคสมัย ในที่นี้คือบุตรสาวของอ๋อง