ตอนที่ 28
ตอนที่ 28 หลานอี๋เหนียง
สวนหมิงหวาซึ่งเป็นที่พำนักของซื่อจื่อจวนเจี้ยนอานปั๋วนั้นกว้างใหญ่สะอาดตายิ่ง ภายในมีเรือนเล็กแยกออกมาหลังหนึ่ง ซึ่งหลานอี๋เหนียงมารดาของคุณหนูสามอาศัยอยู่ที่นี่
หลานอี๋เหนียงเดิมนางเป็นสาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่า และเป็นสตรีที่ฮูหยินผู้เฒ่าผลักไสให้กับซื่อจื่อหลังจากที่ฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยงคลอดบุตรสาวคนโตแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์อีก
แม้นางจะสวย ทว่าซื่อจื่อกลับมิได้แสดงออกว่าสนใจในตัวนางมากมายเท่าใด นางอาศัยอยู่ในเรือนเล็กอย่างสงบเสงี่ยมตลอดมา ทำให้คนรู้สึกว่านางรู้จักประมาณตนและเรียบง่าย
ทว่าวันนี้กลับแปลกไป นางบุกมาถึงหน้าเรือนหลักของสวนหมิงหวา นั่งคุกเข่าอยู่บนบันไดหินภายใต้แสงแดดอันร้อนแรง
เตียวหลานสาวใช้ใหญ่แหวกม่านเดินออกมา “หลานอี๋เหนียง เชิญกลับไปเถิด ฮูหยินยังสะสางงานอยู่”
หลังของหลานอี๋เหนียงตั้งตรงดุจพู่กัน เอ่ยโดยไม่ขยับตัวแม้เพียงนิด “ขอแม่นางเตียวหลานช่วยเรียนฮูหยินหน่อยเถิด ว่าข้าจะรออยู่ที่นี่”
“หลานอี๋เหนียงท่านทำให้บ่าวต้องลำบากใจแล้ว ฮูหยินกำลังสะสางงาน แต่ไหนแต่ไรมิชอบให้คนไปรบกวน”
สาวใช้สวมเสื้อสีเหลืองผลซิ่งเดินออกมา ทำปากขมุบขมิบพูดกับเตียวหลานว่า “พี่เตียวหลาน มีสาวใช้ผู้หนึ่งมาเอาของ บอกว่ามาหาท่าน” นางกล่าวพลางเดินลงไปยังชั้นบันไดแล้วลากเตียวหลานขึ้นมา หางตาชำเลืองมองหลานอี๋เหนียงครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงกดต่ำพลางร้อง “ฮึ” เบาๆ “ช่างมิรู้จักประมาณตนเสียเลย แค่สาวใช้ที่ได้เป็นอนุภรรยา ไม่มีอันใดก็วิ่งมาให้ฮูหยินต้องระคายเคืองสายตา! ”
สาวใช้สองคนเดินคล้องแขนกันเข้าไปด้านใน เหลือเพียงหลานอี๋เหนียงที่คุกเข่าอยู่ใต้แสงอาทิตย์ สายตาลึกลับจ้องมองม่านลูกปัดที่ขยับไหวไปมานั้นนิ่ง
ทว่าเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูป เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “หลานเหนียง เหตุใดจึงมาคุกเข่าอยู่ที่นี่”
ซื่อจื่อจวนเจี้ยนอานปั๋วไม่ทราบปรากฏตัวขึ้นในเรือนได้อย่างไร เขามองสตรีร่างแบบบางผู้มีผมเงางามดำขลับ ปอยผมที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อลู่ติดไปกับหน้าผาก ในแววตาส่วนลึกปรากฏแววรักใคร่ทะนุถนอมพาดผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง
เตียวหลานรีบวิ่งออกมา “ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้ว”
“ฮูหยินเล่า” เจินเจี้ยนเหวินซื่อจื่อแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋วเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีความยินดีหรือความโกรธใดๆ
เตียวหลานลอบมองหลานอี๋เหนียงที่นั่งคุกเข่าหลังตรงยิ่งกว่าเดิมผู้นั้นคราหนึ่ง พลางด่าทอในใจว่า ช่างประจวบเหมาะเสียนี่กระไร ซื่อจื่อถึงได้กลับมาเวลานี้พอดี
หลานอี๋เหนียงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเพราะถูกแดดเผา ท่าทางอ่อนแอของนางกลับทำให้เกิดความรู้สึกงดงามซึ่งขัดแย้งกันขึ้น “ซื่อจื่อ อย่า...อย่าได้ตำหนิฮูหยินเลย ทั้งหมดเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง...”
มิรอให้เจินเจี้ยนเหวินเอ่ยปาก เตียวหลานก็น้อมคารวะคราหนึ่งแล้วพูดตัดบทออกไปว่า “เรียนซื่อจื่อ เป็นความผิดของบ่าวเองเจ้าค่ะ เมื่อครู่หลานอี๋เหนียงมาถึงก็คุกเข่าลงบนพื้น บอกว่าต้องการพบฮูหยิน ท่านย่อมทราบดีว่านี่เป็นเวลาสะสางงานของฮูหยิน และฮูหยินก็มิชอบให้คนไปรบกวน บ่าวจึงตัดสินใจไม่ไปเรียนเรื่องหลานอี๋เหนียงเจ้าค่ะ หากท่านจะลงโทษ ก็ลงโทษบ่าวเถิด...”
ม่านลูกปัดถูกแหวกออก นางเจี่ยงเดินออกมาคล้ายเพิ่งพบว่ามีเหตุอันใดเกิดขึ้นในเรือนกระนั้น นางขมวดคิ้วถามว่า “มีเรื่องอันใดกันหรือ ซื่อจื่อ เหตุใดท่านจึงกลับมาในเวลานี้เล่า”
“อืม ข้ากลับมาเอาของ” เจินเจี้ยนเหวินคล้ายไม่คิดพูดอันใดมากกับปัญหานี้ เขาไม่แม้แต่จะมองหลานอี๋เหนียงด้วยซ้ำ “เจ้ามีเรื่องใดก็ไปจัดการก่อนเถิด ข้าจะไปห้องตำรา”
เมื่อเห็นเงาด้านหลังของเจินเจี้ยนเหวินเดินจากไปอย่างรวดเร็ว นางเจี่ยงก็ยกมุมปากขึ้น แล้วเอ่ยอย่างไม่เร่งร้อนว่า “หลานอี๋เหนียงฝ่าแสงแดดอันร้อนแรงนี้มาหาข้าด้วยเรื่องใดหรือ”
หลานอี๋เหนียงมิได้แสดงสีหน้าเศร้าสลดเพราะการจากไปของซื่อจื่อ นางยังคงพูดด้วยท่าทางนอบน้อมว่า “ฮูหยิน ข้าได้ยินว่าคุณหนูสามไม่อาจเข้าร่วมงานเทศกาลชีซีในวันพรุ่งนี้ได้ เป็นเพราะเหตุใดหรือ”
ฮูหยินใหญ่ระบายยิ้ม “เจ้าสามถูกไอเย็นจนเป็นไข้หวัด การดูแลสุขภาพย่อมเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
“ทว่า...”
“พอเถิด เรื่องนี้ข้าเรียนฮูหยินผู้เฒ่าไปแล้ว หลานอี๋เหนียง เจ้าเป็นมารดาแท้ๆ ของเจ้าสาม หากเป็นห่วงนางก็ไปเยี่ยมนางสักหน่อยเถิด อาการป่วยของนางมิสามารถหายได้ในทันที เจ้ามาขอร้องข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
หลานอี๋เหนียงก้มหน้าต่ำ มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อนั้นกำแน่น “เจ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว”
ภายในเรือนเซี่ยเยียนนั้นเงียบสงบนัก หลานอี๋เหนียงเดินเข้าไปก็เห็นเจินจิ้งนั่งอยู่บนเตียง ท่าทีเหม่อลอย ครั้นเห็นนางเข้าไปก็ไม่พูดจา
“พวกเจ้าออกไปก่อน” หลานอี๋เหนียงโบกมือให้สาวใช้ภายในห้องออกไปแล้วสาวเท้ายาวเดินเข้าไปกอดเจินจิ้งไว้ “จิ้งเอ๋อร์ แม่ขอโทษ! ”
เทศกาลชีซีในยุคราชวงศ์ต้าโจวนั้นได้ถูกยกให้เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดวันหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะหญิงสาวที่กำลังจะออกเรือน เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่พวกนางจะได้ไปร่วมในเทศกาลนี้ จึงมีค่าหาใดเปรียบ
ขนตาของเจินจิ้งเป็นแพยาวคล้ายพัดขนไก่ที่กำลังพัดโบกก็มิปาน นางมองหลานอี๋เหนียงแล้วระบายยิ้มออกมา “ท่านแม่ ท่านพูดคำนี้แล้วมีความหมายใดหรือ” กล่าวจบก็เบี่ยงศีรษะไปอีกทาง
หลานอี๋เหนียงที่แม้อยู่ใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรงยังมิเปลี่ยนสีหน้านั้นกลับหน้าขาวซีดขึ้นมาทันที “จิ้งเอ๋อร์ เจ้า เจ้ากำลังตำหนิแม่หรือ”
เจินจิ้งเบี่ยงกายหลบไปอีกทาง เอาแต่นิ่งเงียบ
หลานอี๋เหนียงบีบมือเจิ้นจิ้ง เอ่ยเสียงเครือว่า “จิ้งเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ดีว่าแม่เจ็บปวดแค่ไหนที่เจ้าต้องหลั่งน้ำตาทุกวันเพราะถูกยกเลิกการหมั้นหมาย เจ้าฉีกกระชากผ้าเช็ดหน้าขาดไปกี่ครั้งแล้ว แต่กลับทำอันใดเจ้าคนสมควรตายของบ้านเล็กไม่ได้เลย เจ้าคิดว่าแม่ไม่เห็นหรือ แม่รู้ดีว่าเจ้าแค้นนาง! ”
ในที่สุดเจินจิ้งก็หมุนตัวกลับมา มองหลานอี๋เหนียงที่ขอบตาแดงก่ำแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ท่านจึงเปลี่ยนเส้นด้ายที่ย้อมด้วยน้ำบุบผาแดงโลหิตสดหรือ ท่านไม่รู้ว่ามันอาจเป็นอันตรายต่อต้าไหน่ไหน่และเป็นภัยต่อพี่รองด้วย”
“จิ้งเอ๋อร์! เจ้าพูดอันใด พวกมันเป็นคนของบ้านเล็กและเป็นญาติสนิทกับเจ้าคนสมควรตายนั้น ยามนี้ผู้หนึ่งกำลังจะคลอดบุตรคนโต ผู้หนึ่งกำลังจะแต่งเข้าจวนเสนาบดี แต่เจ้าเล่า เจ้ากลับต้องแต่งให้บุรุษที่บ้านแสนยากจน! ”
“แต่พวกเขาไม่เกี่ยวอันใดด้วย”
“ไม่เกี่ยวอันใดด้วยแล้วเจ้าเล่า จิ้งเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงถูกถอนหมั้น หรือเจ้าลืมแล้ว ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องจริงๆ ก็คือเจ้า! ” ใบหน้าหลานอี๋เหนียงถึงกับบิดเบี้ยวไปแล้วเล็กน้อย
“ท่านแม่...” เจินจิ้งมองอย่างตะลึงงัน ในความทรงจำของนาง มารดาเป็นคนที่อ่อนโยนและแสนดีเสมอมา น้อยนักที่จะเห็นสีหน้าท่าทางเช่นนี้
นางเองก็คิดไม่ถึงว่ามารดาจะทำเรื่องเช่นได้ เมื่อเห็นว่าฮูหยินใหญ่กำลังจะสืบถึงตัวมารดานางแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่มารต้องเผชิญคือภัยพิบัติครั้งใหญ่ แต่นางเป็นคุณหนูที่กำลังจะออกเรือน ต่อให้ลงโทษอย่างไรก็ทำได้แค่กักบริเวณเท่านั้น
หลานอี๋เหนียงเองก็เสียใจเช่นกันที่ในอดีตเอาแต่แสร้งทำเป็นกุลสตรีอ่อนโยน ทำให้บุตรสาวกลายเป็นคนเช่นนี้ นางกัดฟันพูดว่า “จิ้งเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กโง่แท้ๆ เหตุใดต้องรับผิดเรื่องนี้แทนแม่ด้วยเล่า ต่อให้ฮูหยินสืบมาถึงแม่ แม่ปฏิเสธไม่รับเสียอย่าง นางไม่มีหลักฐานก็ไม่มีทางเอาผิดแม่ได้”
“ทว่าฮูหยินจะต้องหาพยานบุคคล...”
หลานอี๋เหนียงแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “เด็กโง่ พยานบุคคลนับเป็นอันใดได้ ถึงตอนนั้นก็ต้องดูว่านายท่านจะเชื่อหรือไม่”
“ฮูหยินต้องเชื่อแน่”
มุมปากหลานอี๋เหนียงโค้งขึ้นในมุมที่แปลกประหลาดยิ่ง นางเอ่ยเน้นทีละคำ “ทว่าบิดาเจ้า ไม่มีทางเชื่อ...”
หลานอี๋เหนียงนั่งลงบนขอบเตียง เล่าถึงประสบการณ์มากมายให้เจินจิ้งฟัง เจินจิ้งหน้าเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ไม่หยุด
กระทั่งสาวใช้เข้ามาบอกว่าซื่อจื่อไปที่เรือนหลังเล็กและสั่งให้หลานอี๋เหนียงไปปรนนิบัติ หลานอี๋เหนียงจึงตบไหล่เจินจิ้งคราหนึ่ง แล้วเดินนวยนาดจากไป
เจินจิ้งนั่งอยู่บนเตียงเพียงลำพังอยู่ค่อนคืน นางเฝ้าคิดถึงแต่วาจาของหลานอี๋เหนียง วันถัดมากลับได้รับแจ้งว่า นางสามารถออกไปข้างนอกเพื่อร่วมงานเทศกาลชีซีได้ครึ่งวัน