ตอนที่ 26
ตอนที่ 26 เส้นสนกลใน
เมื่อได้ยินพี่ชายแท้ๆ พูดเช่นนั้น เจินเมี่ยวที่เป็นน้องสาวย่อมอารมณ์ไม่ดีเป็นธรรมดา ค่ำนั้นจึงกินข้าวน้อยไปหนึ่งชาม นางโบกมือไล่สาวใช้ออกไปแล้วฝึกฝนร่างกายต่อ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คุณหนู บ่าวเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ”
เจินเมี่ยวกำลังยกเท้าขึ้นยันค้ำกับเสาเตียงเพื่อดัดขา เมื่อได้ยินเสียงเรียกก็แปลกใจอยู่บ้าง
เป็นเสียงของอาหลวน
วันเวลาที่ผ่านมานี้ สาวใช้ทั้งใหม่และเก่าในจวนหลายคนต่างก็พยายามปฏิบัติหน้าที่ต่อหน้านางอย่างเต็มกำลังเพื่อลำดับขั้นของตน ยกเว้นอาหลวนและชิงเกอเท่านั้น
ชิงเกอออกจะทึ่มทื่ออยู่บ้าง ขอเพียงกินอิ่มเป็นพอ มิได้มีจิตใจซับซ้อนอันใด ส่วนอาหลวนนั้นกลับสงบเงียบเรียบร้อยเกินไป
“เข้ามาเถิด” เจินเมี่ยววางเท้าลง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ
อาหลวนก้มหน้าลงเล็กน้อย เดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา
ความงามเฉิดฉายของนางนั้นถูกขับให้โดดเด่นมากขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ภายใต้แสงเทียน
“มีอันใดหรือ” เจินเมี่ยวถาม
อาหยวนกลับมิได้อ้อมค้อม นางน้อมคารวะแล้วเอ่ยว่า “คุณหนู เรื่องของต้าไหน่ไหน่ในวันนี้นั้น บ่าวรู้สึกว่ามันมิธรรมดาสักเท่าใดเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ “เจ้าจะบอกว่า ที่พี่สะใภ้ไม่สบาย มีส่วนเกี่ยวพันกับพวกเราจริงๆ งั้นหรือ”
หลังจากกลับมา ไม่ใช่ว่าเจินเมี่ยวไม่คิด เพียงแต่นางครุ่นคิดถึงเรื่องที่นางอวี๋มาที่สวนเฉินเซียงอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ
“บ่าวเพียงรู้สึกว่า หากต้าไหน่ไหน่มิได้บังเอิญเกิดไม่สบาย แต่มีคนวางแผนกลั่นแกล้ง นั้นย่อมต้องเกี่ยวพันกับคุณหนู หากเกี่ยวข้องกับคุณหนู เช่นนั้นอาจมิได้คิดจะกลั่นแกล้งต้าไหน่ไหน่แต่เป็นคุณหนูเจ้าค่ะ” อาหลวนเอ่ยสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าวาจาที่เอ่ยมากลับทำให้คนหวาดหวั่นยิ่ง
เจินเมี่ยวออกจะตกใจอยู่บ้างที่สาวใช้ซึ่งซื้อตัวมาจากข้างนอกเช่นอาหลวนกลับรอบรู้ช่างสังเกตถึงเพียงนี้ และตกใจยิ่งกว่ากับความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นของนาง
เมื่อเห็นดวงตาของเจินเมี่ยวเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย แต่มิได้กล่าวสิ่งใด อาหลวนจึงเอ่ยว่า “บ่าวปากมากไปแล้ว เพียงแต่...เพียงแต่ภายในจวนใหญ่โตเช่นนี้ การคิดมากสักหน่อยก็ไม่มีอันใดเสียหาย”
นางมิใช่คนปากมาก ครั้นเอ่ยในสิ่งที่ควรพูดแล้วก็ยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้างอย่างสงบเงียบดั่งบงกชขาวที่บานสะพรั่งดอกหนึ่ง
เจินเมี่ยวโบกสะบัดมือ “อืม ข้ารู้แล้ว ให้ข้าไตร่ตรองดูอีกสักหน่อย อาหลวน ขอบใจมากที่มาเตือนข้า เจ้าออกไปเถิด”
“เจ้าค่ะ” อาหลวนค่อยๆ ถอยหลังออกไปแล้วปิดประตูลงอย่างเบามือ
แม้นใจของเจินเมี่ยวจะมีคลื่นซัดสาดขึ้นมาเพราะคำพูดของอาหลวน แต่ยังคงสงบความคิดตนไว้ แล้วฝึกฝนร่างกายตามเวลาที่กำหนดอยู่เช่นเดิม กระทั่งเสร็จจึงหมุนกายไปห้องอาบน้ำ
เมื่อบ้วนปาก อาบน้ำเสร็จแล้วก็ใส่เสื้อผ้าหลวมสบายมานั่งคัดอักษรอยู่ริมหน้าต่าง
เขียนไปสามแผ่นใหญ่เจินเมี่ยวจึงหยุด นางเขียนเหตุการณ์วันนี้เริ่มตั้งแต่ที่นางอวี๋ย่างกรายเข้ามาในสวนเฉินเซียง วาจาทุกประโยค ทุกการกระทำของคนในเรือน ผู้ใดทำอะไร ยืนอยู่ที่ไหน ทุกรายละเอียดน้อยใหญ่ ล้วนบันทึกไปตามเหตุการณ์จริงมิได้นำความคิดตนมาปนเปื้อนแม้แต่น้อย
นางมิใคร่เข้าใจแผนการกลั่นแกล้งเช่นนี้เท่าใดนัก แต่หากเรื่องวันนี้มิใช่ความบังเอิญ เช่นนั้นต่อให้ผู้วางแผนจะฉลาดล้ำเพียงใด ความจริงก็ต้องซ่อนอยู่ในกระดาษสามแผ่นนี้
อย่างอื่นนางอาจจะไม่เก่ง แต่ความจำนั้นไม่เลวเลย มิใช่หรือ
เจินเมี่ยวอ่านข้อความที่ตนเขียนไว้อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ
คนผู้นี้ใช้สมาธิดั่งอ่านบทความอนุมานในคราที่ยังร่ำเรียนอยู่
สุดท้ายเจินเมี่ยวก็หยิบพู่กันขึ้นมาวาดวงกลมสองวงตรงคำว่าผ้าเย็บปักกับลูกท้อ
เรื่องลูกท้อนั้น นางเห็นนางอวี๋เดินเข้าประตูมาจึงให้คนไปเก็บจากต้น แม้นเป็นอย่างเดียวที่นางกิน แต่หากคิดจะลงมือก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เจินเมี่ยววาดรูปมันขึ้นมาแล้วครุ่นคิดอย่างละเอียดอย่างมิยอมให้เกิดข้อผิดพลาดได้
จุดสำคัญที่นางสนใจอยู่ที่ผ้าปักเย็บ
ทว่าหากผ้าปักเย็บนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้นางอวี๋ไม่สบาย เช่นนั้นใช้วิธีใดถึงทำได้เล่า
ควรจะทราบว่าผ้าปักเย็บนี้ นางไม่เคยเอาไว้ห่างมือเลยแม้เพียงสักวัน เจินเมี่ยวหยิบผ้าปักเย็บนั้นขึ้นมา
โลหิตที่ไหลซึมลงบนผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์นั้นเหลือเพียงสีแดงจางๆ วงหนึ่ง มิอาจนำมาเทียบกับกุหลาบสีแดงสดดุจเปลวไฟที่อยู่ตรงมุมผ้าเช็ดหน้าได้แม้แต่น้อย
เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนด้วยโลหิตก็มิอาจใช้ได้แล้ว หากมอบให้เจินเหยียนติดตัวยามออกเรือนจริงคงอัปมงคลยิ่ง
น่าเสียดายด้ายชั้นดีเหล่านี้จริงๆ
สายตาเจินเมี่ยวจดจ้องอยู่ที่ดอกกุหลาบนั้น ครุ่นคิดอยู่นานจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอน
ไม่ทราบว่าเรื่องที่นางอวี๋ไม่สบายนั้นรู้ไปถึงฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไร
เมื่อถึงเวลาน้อมทักทายของวันถัดมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยกำชับเจินเมี่ยวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าสี่เอ๋ย เจ้ายังเล็กนัก ไม่รู้ว่าสตรีมีครรภ์นั้นมีของต้องห้ามที่กินมิได้ วันหลังหากทำอาหารอันใดก็ให้แต่พวกเราเถิด มิต้องเป็นห่วงพี่สะใภ้ของเจ้าแล้ว”
ผู้คนภายในห้องต่างหันมองนางด้วยแววตาที่แตกต่างกันออกไป เจินเมี่ยวรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าตน แต่ก็ทำได้เพียงย่อเข่าเอ่ยปากรับคำเท่านั้น
เมื่อน้อมทักทายเสร็จแล้ว เจินเหยียนและเจินเมี่ยวก็เดินตามหลังนางเวินออกไป
เวลาเพียงไม่นาน นางเวินกลับซูบผอมลงไปมาก รูปร่างมีส่วนเว้าส่วนโค้งประหนึ่งเด็กสาวแรกรุ่น
“เมี่ยวเอ๋อร์ ที่ฮูหยินผู้เฒ่าพูดในวันนี้หมายความเช่นใด เมื่อวานพี่สะใภ้เจ้าไม่สบายจนต้องเชิญท่านหมอมาตรวจ เหตุใดข้าจึงไม่รู้เล่า”
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามของนางเวิน เจินเมี่ยวก็รู้สึกลำบากใจยิ่ง
นางคงมิอาจพูดว่าพี่ชายสงสัยในตัวนาง จึงได้นำเรื่องบอกกล่าวไปยังฮูหยินผู้เฒ่า
เพราะเรื่องของบิดาก็ทำให้มารดาทุกข์ใจมากพอแล้ว หากได้ยินว่าบุตรชายบุตรสาวมิปรองดองกัน น่ากลัวว่าจะเป็นการเพิ่มเกล็ดน้ำค้างลงบนหิมะ1เท่านั้น
นางจึงได้แต่พูดให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กว่า “พี่สะใภ้ไปหาข้าและนั่งอยู่นั่นสักพัก กินลูกท้อไปคำหนึ่งทำให้รู้สึกไม่สบายท้องเล็กน้อย”
นางเวินอุปนิสัยตรงไปตรงมา เมื่อได้ยินเจินเมี่ยวพูดเช่นนี้ก็ไม่คิดอันใดมาก พยักหน้าเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เชื่อฟังท่านย่าเจ้าเถิด พี่สะใภ้เจ้าก็กินอาหารได้แล้ว มิจำเป็นต้องกินสิ่งใดเป็นพิเศษ”
“อืม ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อทราบว่านางเวินอารมณ์ไม่สู้ดีนัก สองพี่น้องจึงอยู่เป็นเพื่อนนางที่สวนเหอเฟิงสักพักค่อยจูงมือกันจากไป
“น้องสี่ เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” นางหยุดยืนถามบนทางคดเคี้ยวเล็กๆ สายหนึ่ง เจินเหยียนจ้องตาเจินเมี่ยวเขม็ง
เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมา “พี่รอง ไม่สู้ไปนั่งที่เรือนข้าสักพักเถิด”
“อืม”
“พี่รอง ผ้ามงคล2ของท่าน ปักเสร็จแล้วหรือ”
“ปักเสร็จเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง มีอันใดหรือ”
[1เพิ่มเกล็ดน้ำค้างลงบนหิมะ เป็นคำเปรียบเปรยว่า ต้องพบกับความทุกข์ ความลำบาก ติดต่อกัน และหนักหนามากขึ้นเรื่อยๆ]
[2ผ้ามงคล หมายถึงผ้าที่ไว้ใช้คลุมหน้าเจ้าสาวในพิธีแต่งงานในยุคโบราณ]
เจินเมี่ยวยิ้มออกมา “ใช้ด้ายจากร้านเทียนซิ่วกระมัง หากยังเหลือ ขอให้น้องสาวสักหน่อยได้หรือไม่”
ผ้ามงคลเป็นของสำคัญมาก การที่คุณหนูผู้มีบรรดาศักดิ์จะเลือกใช้ด้ายที่ดีที่สุดมาปักผ้ามงคลของตนเองนั้นเป็นเรื่องปกติเหลือเกินแล้ว
เจินเหยียนรู้สึกว่าคำขอของเจินเมี่ยวออกจะแปลกไปบ้าง แต่ก็ทราบว่านางคงมิได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไร้เหตุไร้ผลเป็นแน่ จึงเอ่ยกับเหลียนเยี่ยซึ่งยืนอยู่ด้านหลังตนว่า “กลับไปเอาด้ายที่เหลือจากการปักผ้ามงคลมาที่สวนเฉินเซียง”
“เจ้าค่ะ” เหลียนเยี่ยหมุนกายจากไป
สองพี่น้องเข้าไปในสวนเฉินเซียงเป็นเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา3 เหลียนเยี่ยก็นำถุงหอมสีม่วงอ่อนกลับมาอย่างเร่งรีบ
“นำไปให้คุณหนูสี่” เจินเหยียนเอ่ยบอก
เจินเมี่ยวรับมาอย่างไม่เกรงใจ เปิดถุงหอมดูก็เห็นด้านในมีด้ายถึงเจ็ดสี มากที่สุดคือสีแดง
สายตาของเจินเมี่ยวจ้องมองเส้นด้ายสีแดงนั้นอยู่เป็นนาน
“น้องสี่ ที่แท้มีเรื่องใดกัน”
เจินเมี่ยวหมุนกายหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าที่ปลดจากสะดึงปักผ้าออกมา “พี่รองท่านดู”
เจินเหยียนรับผ้าเช็ดหน้ามา พลันถูกมวลดอกกุหลาบนั้นดึงดูดสายตาไว้ นางเอ่ยปากชมว่า “การเย็บปักของน้องสี่ก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว นอกจากน้องสาม ฝีมือเย็บปักของเจ้าก็ดีที่สุดในบรรดาพวกเราพี่น้อง”
“พี่รอง ท่านไม่รู้สึกว่า ดอกกุหลาบนี้ แดงสวยงามเกินไปหน่อยหรือ”
เจินเหยียนตกตะลึงไป
เจินเมี่ยวมิได้เล่นแง่แต่อย่างใด นางหยิบม้วนด้ายแดงขึ้นมา วางลงบนผ้าเช็ดหน้า แล้วนำกระดาษสามแผ่นใหญ่ที่เขียนไว้เมื่อวานมาวางไว้ตรงหน้าเจินเหยียน
[3เวลาหนึ่งถ้วยชา เท่ากับประมาณสิบนาที]