ตอนที่ 25
ตอนที่ 25 ผิดพลาด
ตอนที่เจินเมี่ยวได้รับข่าวนั้น นางกำลังก้มหน้าปักหยดน้ำค้างที่จับอยู่บนกลีบกุหลาบด้วยความตั้งอกตั้งใจ ปลายเข็มแหลมปักจึงเข้าที่นิ้วมือ โลหิตพลันซึมไหลร่วงหล่นใส่ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาด กระจายกลายเป็นสีแดงอ่อนๆ หนึ่งดวง
นางตกใจอยู่ครู่หนึ่งจึงรีบวางผ้าปักเย็บนั้นไว้ด้านข้าง แล้วนำอาหลวนและเสี่ยวฉานไปที่เรือนนางอวี๋ทันที
ตอนที่เดินเข้าไปนั้น เจินฮ่วนกำลังป้อนยาให้นางอวี๋อยู่ข้างเตียงพอดี กระแสแห่งความรักและมิตรภาพปรากฏขึ้นระหว่างสามีภรรยาอย่างเห็นได้ชัด
ครั้นเห็นเจินเมี่ยวเดินเข้ามา นางอวี๋ก็หน้าแดงขึ้นทันที นางแสดงท่าทีบอกเจินฮ่วนว่าไม่ต้องป้อนแล้ว ทว่าเจินฮ่วนกลับไม่ใคร่ใส่ใจ กระทั่งยาเหลือเพียงก้นถ้วยแล้วจึงหันกายมาเอ่ยเสียงเรียบว่า “น้องสี่มาแล้ว”
เจินเมี่ยวย่อเข่าคารวะ เอ่ยถามไถ่นางอวี๋ “พี่สะใภ้ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
นางอวี๋ยังคงมีสีหน้าสดใส นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นอันใด อาจเพราะเมื่อวานเปิดหน้าต่างรับลมมากไป ทำให้กระเพาะได้รับความเย็น พี่ชายเจ้าต่างหากที่แตกตื่นเกินเหตุ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจโล่งอก
พี่สะใภ้และน้องสามีสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง เจินเมี่ยวเกรงจะรบกวนการพักผ่อนของนางอวี๋จึงลุกขึ้นขอตัวกลับ
เจินฮ่วนลุกขึ้นยืนพลางกล่าวว่า “น้องสี่ ข้าไปส่งเจ้าแล้วกัน”
“ขอบคุณพี่ใหญ่” เจินเมี่ยวเผยยิ้มเจิดจ้า
ท่าทางเจินฮ่วนนั้นดูแปลกๆ เขาเม้มริมฝีปากแล้วเดินนำไปก่อน
ตลอดทางสองพี่น้องล้วนเงียบงันไร้วาจา เดินไปสักพัก เจินฮ่วนพลันหยุดฝีเท้าลง แล้วมองหน้าเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวจึงงุนงงอยู่บ้าง “พี่ใหญ่มีวาจาใดจะเอ่ยหรือไม่”
เจินฮ่วนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “น้องสี่ พี่สะใภ้ของเจ้ากำลังตั้งครรภ์ ต่อไปเรื่องชี้แนะในการฝึกยุทธ์นั้นให้หยุดไปก่อนเถิด”
“อ้อ เจ้าค่ะ” แม้นเจินเมี่ยวไม่คิดว่าการตั้งครรภ์ของนางอวี๋กับการชี้แนะเรื่องฝึกยุทธ์นั้นมีอันใดขัดแย้งกัน แต่ในเมื่อสามีของผู้อื่นพูดถึงเพียงนี้แล้ว นางจึงพยักหน้ารับ
เห็นนางรับปากอย่างเบิกบาน เจินฮ่วนก็อึ้งงันไปเล็กน้อย
เจินเมี่ยวยิ้มบางเบาพลางกล่าวว่า “พี่ใหญ่ หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน”
ครั้นเห็นนางย่อเข่าน้อมคารวะแล้วหมุนกายเดินจากไป เจินฮ่วนจึงตัดสินใจเอ่ยออกมาว่า “น้องสี่ ต่อไปเจ้าไม่ต้องทำอาหารมาให้พี่สะใภ้เจ้าแล้ว”
เจินเมี่ยวหมุนกายกลับมาทันที สีหน้าแปลกไปเล็กน้อย
ที่แท้...ที่แท้พี่ชายของนางต้องการเช่นนี้นี่เอง เป็นนางที่ความรู้สึกช้าไป...หรืออาจกล่าวได้ว่า ความคิดที่เจินฮ่วนมีต่อนางนั้นฝังรากหยั่งลึก มิอาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว แต่ที่เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกมิได้ผุดโผล่ออกมาให้เห็นก็เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของพี่น้องที่รักใคร่ปรองดองนั้นเอาไว้
ภายใต้สายตาที่จ้องมองอย่างเงียบสงบของเจินเมี่ยวนั้น เจินฮ่วนเบี่ยงศีรษะไปอีกด้านเล็กน้อยด้วยอาการหน้าเสีย “น้องสี่ ข้าจะพูดแค่นี้เท่านั้น เจ้าเดินระวังด้วย”
ครั้นเห็นเจินฮ่วนรีบร้อนหมุนกายจากไป เจินเมี่ยวจึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่ โปรดหยุดก่อน น้องสาวก็มีเรื่องจะพูดกับท่านเช่นกัน”
เจินเมี่ยวรีบวิ่งเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าเจินฮ่วน แต่มิได้พูดสิ่งใด นางยื่นหน้าเข้าไปใกล้เจินฮ่วนโดยพลัน
เจินฮ่วนตกใจถอยหลังไปสองก้าวแล้วเอ่ยว่า “น้องสี่ เจ้ามีจุดประสงค์ใด”
เจินเมี่ยวเม้มปากยิ้มออกมา “พี่ใหญ่ ข้าเห็นว่าในตาท่านมีบางอย่างอยู่ข้างใน”
“มีอันใดหรือ” เจินฮ่วนเอ่ยถามออกไปตามสัญชาตญาณ
นัยน์ตาโตดำขลับของเจินเมี่ยวส่องประกายเจิดจ้า นางเอ่ยตอบอย่างอ่อนโยนคล้ายความแคลงใจและการดูแคลนเมื่อครู่ของอีกฝ่ายมิเคยมีอยู่จริง “ในดวงตาของพี่ใหญ่ มีอคติอย่างไรเล่า! ”
กล่าวจบก็หมุนกายนำสาวใช้สองคนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เจินฮ่วนที่ยังอยู่ตรงนั้นได้แต่ยืนจ้องเงาด้านหลังที่ค่อยๆ หายลับไปของเจินเมี่ยว ผ่านไปนานจึงมีสติคืนมา
เจี่ยงเฉินที่เดิมมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยือนนั้นซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ดอก ทำให้ได้ยินการสนทนาทั้งหมดของสองพี่น้อง เขาย่อมมิคิดแสดงตัวออกมาแน่ จึงค่อยๆ จากไปอย่างเงียบๆ
ทิศที่เขาและเจินเมี่ยวจากไปนั้นเป็นทางเดียวกัน แค่มีพุ่มไม้ดอกอันหนาแน่นกั้นขวางไว้เท่านั้น เขาจึงเดินไปด้วยฝีเท้าแสนเบา
รอยยิ้มเบาบางที่เจินเมี่ยวแสดงต่อหน้าเจินฮ่วนนั้น ความจริงในใจทั้งโกธรทั้งเคือง นางมิใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมล้ำลึกอันใด มีอะไรล้วนแสดงออกทางสีหน้า
เสี่ยวฉานจึงรีบเอ่ยวาจาตามความรู้สึกของนางทันที “คุณชายใหญ่เกินไปจริงๆ เจ้าค่ะ ต้าไหน่ไหน่ไม่สบาย เกี่ยวอันใดกับคุณหนู! ”
เจินเมี่ยวเงียบ ทว่ากลับเดินเร็วยิ่งขึ้นไปอีก
เสี่ยวฉานจึงเอ่ยต่อว่า “คุณหนูเป็นน้องสาวแท้ๆ ของคุณชายนะเจ้าคะ”
เจินเมี่ยวยังคงเงียบ
เสี่ยวฉานจึงพูดเติมน้ำมันเติมน้ำส้มลงไปอีกประโยคว่า “มีที่ไหน สงสัยน้องสาวแท้ๆ ของตนเอง คุณหนูมิใช่บุตรของอนุเสียหน่อย”
เฉินเมี่ยวยังคงเงียบแต่กลับเดินเร็วขึ้นดุจบินได้ก็มิปาน
พี่ชายอันใดกัน น่ารังเกียจที่สุดเลย!
นางเตะก้อนหินที่อยู่ริมทางโดยแรงคราหนึ่งคล้ายระบายโทสะ รองเท้าสีเขียวอ่อนปักลายนกขมิ้นข้างนั้นก็ลอยละลิ่ววาดลวดลายสวยงามอยู่กลางอากาศ แล้วตกลงไปในพุ่มดอกไม้หนา
เจินเมี่ยวยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้นทันที
วาจาที่เสี่ยวฉานคิดจะพูดออกมานั้นติดอยู่ในคอหอย
ใบหน้าอันสุขุมของอาหลวนที่นิ่งเงียบมาตลอดนั้นได้ปรากฏรอยแตกร้าวขึ้นมาแล้ว
อีกด้านของพุ่มไม้นั้น เจี่ยงเฉินยกมือรับรองเท้าปักลายที่เกือบจะร่วงใส่ศีรษะเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
ใบหน้าที่เผยรอยยิ้มเบาบางอยู่เสมอนั้นค่อยๆ แต้มด้วยสีแดงจัด
เสียงร้องตกใจของสาวใช้ดังโหวกเหวกลอยมาจากอีกฝั่งไม่หยุด “เอ๊ะ คุณหนู บ่าวจะไปเก็บรองเท้ากลับมาให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ! ”
“หุบปาก เจ้าร้องเสียงดังออกปานนั้น เพราะอยากจะประกาศให้ใต้หล้ารู้หรืออย่างไร” เจินเมี่ยวเอ่ยออกมาอย่างเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เช่นนั้น เช่นนั้น...”
“เช่นนั้นอันใด รีบไปเก็บเร็วเข้า...” น้ำเสียงที่เอ่ยอย่างจนใจทั้งอ่อนโหยและจนหนทางของเจินเมี่ยวดังทะลุแมกไม้ใบหญ้าออกมา แต่เมื่อแว่วมากระทบหูของเจี่ยงเฉินแล้วกลับคล้ายขนนกก้านหนึ่งที่คอยแหย่ให้รู้สึกคันยุบยิบข้างใบหูก็มิปาน
เขาจ้องมองรองเท้าปักลายที่อยู่ในมืออย่างโง่งม พลันรู้สึกว่านกขมิ้นที่เกาะกิ่งไม้บนรองเท้าคู่นั้น น่ารักมีชีวิตชีวาอย่างไรบอกไม่ถูก
เสียงแหวกต้นไม้ใบหญ้าดังสวบสาบดังแว่วมา
เจี่ยงเฉินพลันมีสติคืนมา เขารีบโยนรองเท้าปักลายทิ้งราวเผือกร้อนลวกมือก็มิปาน แล้วหลบซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าที่ลึกเข้าไปอีก
ไม่นานเขาก็เห็นสาวใช้สวมชุดสีเขียวมุดออกมาอย่างทุลักทุเล นางใช้สายตาสอดส่ายไปทั่วทิศ
แต่รองเท้าปักลายสีเขียวอ่อนนั้นหล่นอยู่ในพงหญ้า สาวใช้จึงมองไม่เห็น นางจำต้องก้มโค้งมองหาอย่างอดทน
ครั้นเห็นสาวใช้เดินใกล้ตนเข้ามาทุกที เหงื่อเย็นของเจี่ยงเฉินผุดขึ้นมาจนแทบจะหยดร่วงลงพื้นแล้ว
เขาสาบานได้ว่าชีวิตมิเคยต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนเช่นนี้มาก่อน!
เมื่อเห็นสาวใช้ที่อยู่ห่างจากตนแค่เพียงคืบนั้น เจี่ยงเฉินก็อยากจะร้องไห้ออกมาแต่กลับไร้น้ำตา
เหตุใดเขาต้องมุดเข้ามาในพงหญ้าด้วยเล่า หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่คงยื่นส่งให้นางอย่างสง่าผ่าเผยแล้ว ดั่งคำกล่าวที่ว่าเสียสละชีพสหายดีกว่าต้องตายเสียเอง ให้อีกฝ่ายรู้สึกอับอายย่อมดีกว่าตนเองต้องกระอักกระอ่วนเช่นนี้ยิ่งนัก
ถึงอย่างไร...ถึงอย่างไรเรื่องที่น่าอับอายยิ่งกว่านี้ของเด็กสาวผู้นั้น ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นเสียเมื่อใด...
หนุ่มน้อย เจ้าคิดเช่นนี้มันดีแล้วจริงๆ หรือ...
แม้แต่หนุ่มน้อยที่อ่อนโยนดุจหยกอยู่เสมอในสายตาผู้คนก็ยังค่อยๆ บิดเบี้ยวไปทีละน้อยเมื่อได้พบเจอเรื่องของเจินเมี่ยว
“อ๊ะ ในที่สุดก็พบแล้ว” นัยน์ตาของเสี่ยวฉานสว่างวาบขึ้น นางก้มลงเก็บรองเท้าทันที ชายกระโปรงนั้นวาดทับลงบนพุ่มดอกไม้อย่างรวดเร็ว
เสียงแห่งความยินดีที่ตั้งใจกดให้ต่ำลงนั้นลอยแว่วมา “คุณหนู หาเจอแล้วเจ้าค่ะ ท่านอาจไม่ทราบ รองเท้านี้ลอยมาไกลมาก มันมีปีกงอกออกมาหรืออย่างไร”
“เสี่ยวฉาน...”
“เจ้าค่ะ มีอันหรือเจ้าคะคุณหนู”
เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยความลนลานว่า “เจ้ารู้หรือไม่ เสียงเจ้ามันยังคงดังมากอยู่เช่นเดิม! ”
ที่แท้แล้วนางเผชิญเคราะห์ร้ายอันใดอยู่กันแน่ ถึงได้เลือกสาวใช้ที่ทั้งโหวกเหวกและเสียงดังเช่นนี้มา!
ยังดีที่บริเวณนี้ปลอดผู้คน
เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจโล่งอก นางคงไม่กล้าระบายอารมณ์ตามใจชอบเช่นนี้อีกแล้ว เมื่อใส่รองเท้าเรียบร้อยแล้วก็พาสาวใช้ทั้งสองจากไปอย่างรวดเร็วดุจบินได้
ผ่านไปนาน เจี่ยงเฉินที่ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าจึงกล้าหัวเราะออกมา
เขามุดออกมา ปัดป่ายหญ้าบนตัวและบนศีรษะ รอยยิ้มบางเบานั้นค่อยๆ กลับคืนมาเช่นเดิม แล้วเดินจากไปเงียบๆ