ตอนที่ 22
ตอนที่ 22 ฆ่า
เจินเมี่ยวไม่คิดอันใด นางผลักอีกครา หน้าต่างก็เปิดออกแล้ว
ลมอุ่นๆ พัดโชยเข้ามาภายใน อาภรณ์และเส้นผมล้วนปลิวพลิ้วไปตามแรงลมทำให้คนรู้สึกคันหน้าผากยิ่ง
ท้องฟ้ายามคิมหันต์ดูสูงส่งและไกลห่างจากนางอย่างยิ่ง ม่านราตรีดั่งผ้าขนหงส์สีน้ำเงินเข้มชั้นดี ค่อยๆ คลุมห่มผืนฟ้ากว้างทีละเล็กทีละน้อย ดวงดารานับไม่ถ้วนส่องแสงวาววับอยู่บนนั้น
แม้อากาศจะร้อนมิใคร่เป็นที่ชอบใจของผู้คน ทว่าเจินเมี่ยวกลับถอนหายใจออกมาเสียงหนึ่ง แล้วหมอบอยู่ข้างหน้าต่างเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยใจเหม่อลอย
แสงดาราอันริบหรี่นั้นส่องสะท้อนให้ใบหน้านางดูโปร่งแสง แวววาวดุจหยกงามชั้นดี
ผู้ที่ซ่อนอยู่ในความมืดเม้มริมฝีปากคราหนึ่ง จ้องมองเงาร่างอันนิ่งสงบที่เด่นชัดกว่าผู้ใดนั้น นัยน์ตามีคลื่นทะมึนซัดสาดอยู่ภายใน รุนแรงบ้าง บางเบาบ้าง
ผ่านไปนานแสนนาน นานเสียจนคนที่อยู่มุมมืดเข้าใจว่าเงาร่างนั้นหลับไปแล้ว พลันได้ยินเสียงนางหยัดกายลุกขึ้น หมุนตัวกลับไปแต่มิได้ปิดหน้าต่าง
หลัวเทียนเฉิงผ่อนลมหายใจออกมา เก็บความรู้สึกหงุดหงิดไว้ แล้วเดินเข้าไปอย่างเบามือเบาเท้า
ครั้นถึงริมหน้าต่างกำลังคิดจะยื่นศีรษะเข้าไป พลันเห็นสตรีนางนั้นย้อนกลับมา ในมือยังมีกรงนกเพิ่มมาด้วย
หลัวเทียนเฉิงรีบเบี่ยงตัวหลบยืนแนบอยู่กับกำแพงทันที
คนทั้งสอง ผู้หนึ่งอยู่ในห้อง ผู้หนึ่งอยู่นอกห้อง มีระยะแค่กำแพงกั้นไว้ เขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงสูดลมหายใจอันแผ่วเบาของอีกฝ่าย
“สวัสดี” เสียงหวานใสลอยออกมา หลัวเทียนเฉิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เข้าใจว่าตนถูกพบเข้าแล้ว
“สวัสดี”
เสียงนั้นดังขึ้นอีก หลัวเทียนเฉิงสงบใจไว้แล้วลอบแอบดูอีกครา จึงพบว่าเจินเมี่ยวกำลังพูดกับนกเอี้ยงก้นลายที่อยู่ในกรงนั้นเอง
“จิ่นเหยียน ที่แท้เจ้าก็พูดไม่ได้” น้ำเสียงของเจินเมี่ยวกลับมิได้ฟังดูผิดหวังมากมายอันใด นางยื่นมือเอากรงนกไปแขวนไว้ที่ริมหน้าต่าง
ทันใดนั้นดวงตาเล็กๆ ของนกเอี้ยงก้นลายก็สบเข้ากับหลัวเทียนเฉิง
หนึ่งคนหนึ่งวิหคพบสบตา มุมปากหลัวเทียนเฉิงกระตุกยกขึ้น
นี่มันเรื่องราวใดกัน สตรีสมควรตายผู้นั้นรู้จักชมจันทร์พิศดาราอย่างสตรีอ่อนโยนทั่วไปก็มิว่า แต่ชมจันทร์อยู่ดีๆ เหตุใดจึงถือกรงนกมาด้วยเล่า!
เคราะห์ดีที่นกเอี้ยงก้นลายตัวนั้นพูดไม่ได้
ความคิดนี้เพิ่งจะผ่านเข้ามาในหัวของหลัวเทียนเฉิง เขาก็เห็นจะงอยปากสีขาวของนกเอี้ยงขยับ มันอ้าปากขึ้น ตะโกนเสียงแหลมว่า “ช่วยด้วย...”
บัดซบ!
หลัวเทียนเฉิงหน้าเขียวคล้ำไปหมด อดเอ่ยคำสบถที่เรียนมาจากกองทัพเมื่อชาติก่อนขึ้นมาในใจมิได้
เขายกปลายเท้ากระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ข้างหน้าต่างอย่างคล่องแคล่ว
เจินเมี่ยวก็ตกใจเช่นกัน แต่เมื่อทราบว่าเป็นเสียงของนกเอี้ยงก้นลาย นางก็โล่งอก เอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “จิ่นเหยียน ที่แท้เจ้าก็พูดได้ ลองพูดอีกครั้งให้ข้าฟังหน่อย”
เสียงฝีเท้าเล็กๆ ดังขึ้น จื่อซูคลุมผ้าเดินเข้ามา “คุณหนู เป็นอันใดหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอันใด แค่นกเอี้ยงร้องพูดเท่านั้น” เจินเมี่ยวเอ่ยกลั้วหัวเราะ
จื่อซูสีหน้าบึ้งตึง “คุณหนู ดึกดื่นปานนี้ร้องว่าช่วยด้วย อยากจะให้คนตกใจตายหรือไร! ”
เจินเมี่ยวยิ้มเขินอาย “ข้าสอนมันให้พูด ‘สวัสดี’ ผู้ใดจะรู้ว่ามันจะพูดเช่นนี้ อาจเป็นคำที่เคยเรียนมาก่อนหน้ากระมัง เอาเถิด จื่อซู เจ้าไปนอนเถอะ วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน รอสักประเดี๋ยวข้าค่อยนอน”
“เช่นนั้นข้าจะเอานกเอี้ยงไปเก็บให้เองเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าเอาไปเก็บเอง” เจินเมี่ยวโบกมือไปมา
ครั้นจื่อซูเดินออกไปแล้ว จึงกลับมาสนใจพูดคุยหยอกล้อกับนกเอี้ยงต่อ นกเอี้ยงร้องเช่นเดิมอยู่สามครา
เจินเมี่ยวค่อยๆ หมดความสนใจ จึงหมอบลงตรงริมหน้าต่าง เอ่ยปากพูดไปโดยไม่มีผู้ใดตอบ “จิ่นเหยียน เจ้าดูท้องฟ้านั้น เจ้าว่ามันกว้างมาก กว้างมากๆ ใช่หรือไม่”
นกเอี้ยงไม่มองเจินเมี่ยวสักนิด นัยน์ตาเล็กๆ นั้นสอดส่ายไปนอกหน้าต่าง
หลัวเทียนเฉิงลอบเคืองอยู่ในใจ เจ้านกชั่วช้า เจ้าหาข้างั้นหรือ
“ท่านแม่ไม่เบิกบานสักนิด ท่านย่าก็ไม่เบิกบาน ข้าก็ไม่เบิกบานเช่นกัน สตรีในจวนใหญ่แห่งนี้ มีผู้ใดเบิกบานบ้าง...” เจินเมี่ยวพูดงึมงำออกมา
ตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็ตกอยู่ในฐานะที่คนรังเกียจ สุนัขเดียดฉันท์ตลอดมา ไม่เหมือนกับชีวิตที่เรียบง่าย อิสรเสรีของนางในอดีตแม้เพียงนิด ทว่าความกลัดกลุ้มเช่นนี้กลับมิอาจพูดกับใครได้ ทำได้เพียงเก็บกดไว้ในใจ วันเวลาผ่านไปจึงหนักอึ้งเกินทน
มีเพียงยามพบหน้ากับนกที่พูดภาษาคนมิได้ นางจึงกล้าเปิดเผยขึ้นมาสักหน่อย
เจินเมี่ยวเท้าคางอยู่ริมหน้าต่าง บนหน้าและดวงตามีความเปล่าเปลี่ยวอันยากจะบรรยายชนิดหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงที่ซ่อนอยู่บนต้นไม้เห็นท่าทางของนางอย่างชัดเจน จึงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
เจินเมี่ยวในยามนี้ กลับมีโฉมหน้าอย่างที่คนทั่วไปไม่ทราบ ที่แท้แล้วเป็นเพราะเขาไม่เคยเข้าใจนาง หรือเพราะนางก็เป็นเช่นเขา เคยผ่านการมีชีวิตมามากกว่าหนึ่งชาติ
หลัวเทียนเฉิงมีความกระหายรู้ชนิดหนึ่ง และวันนี้เขาก็ตั้งใจมาเพื่อทำสิ่งนั้น ทว่าเจ้านกนั่นกลับขวางอยู่ตรงหน้าต่างพอดี!
“ข้าก็เหมือนกับเจ้า เป็นนกในกรง...”
เจินเมี่ยวเอ่ยพึมพำ แต่ก็มิได้รับคำตอบกลับ
ลมอุ่นในคืนคิมหันต์ช่างมอมเมาคนยิ่ง นางค่อยๆ ก้มหน้าลง แล้วเผลอหลับไป
หลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนั้นก็ค่อยๆ ลงมาจากต้นไม้ เดินย่องเบาไปที่ริมหน้าต่าง ครั้นคิดจะกระโดดเข้าไปทางหน้าต่างโดยไม่สนใจเจ้านกนั้น ก็ได้ยินเสียงร้องช่วยด้วยอันแหลมสูงดังขึ้น
เฉินเมี่ยวจึงสะดุ้งตื่น แล้วตบที่กรงนกเบาๆ “จิ่นเหยียน เจ้าอย่าขู่ขวัญคนได้หรือไม่”
ความจริงหากเจ้านกเอี้ยงนี้แสดงท่าทางดั่งกำลังตกใจสักนิด ไม่แน่ว่าเจินเมี่ยวอาจคิดได้ว่าข้างนอกนั้นมีบางอย่างเกิดขึ้น ทว่าเจ้านกนี้กลับแปลกประหลาดยิ่ง มันร้องติดต่อกันสองครั้งก็เงียบเสียงไม่มีปฏิกิริยาใดเช่นที่เคยเป็น ทำให้คนอดคิดไม่ได้ว่าที่มันร้อง ‘ช่วยด้วย’ กับ ‘สวัสดี’ มีความหมายเดียวกัน
แม้จะเป็นเช่นนั้น เจินเมี่ยวก็ยังยื่นหน้าออกไปสอดส่องทั่วทิศอยู่ดี
หลัวเทียนเฉิงที่ยืนแนบติดผนังอยู่นั้นกำลังคิดว่าจะใช้ฝ่ามือทำให้คนสลบดีหรือไม่
เคราะห์ดีที่เจินเมี่ยวมิได้พบสิ่งใด จึงหดกายกลับเข้ามาพร้อมปิดหน้าต่าง เดินถือกรงนกเข้าไปด้านในแล้วแขวนไว้บนคานห้องโถง
ผ่านไปนาน หลัวเทียนเฉิงมั่นใจแล้วว่าสตรีผู้นั้นหลับแล้วจริงๆ จึงลอบเข้ามาทางหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเหยียบถึงพื้น สายตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างทันที
อักษรบนนั้นดูอ่อนช้อยกว่าที่เขาคุ้นเคยเล็กน้อย แต่กลับขาดความหลักแหลมไปหน่อย และมีความพลิ้วไหวตามอารมณ์เพิ่มขึ้นมาอีกนิด
ต่างกล่าวกันว่าอักษรเกิดจากใจ หากเจินเมี่ยวก็ฟื้นคืนชีพกลับมาเช่นเขา อักษรของนางไม่ควรมีเสน่ห์เช่นนี้
บางทีเขาอาจจะคิดมากเกินไป
ใช่แล้ว หากสตรีผู้นี้ฟื้นคืนกลับมาเช่นเดียวกับเขา เขาคิดว่าคงมิอาจปล่อยให้นางมีชีวิตกระทั่งแต่งเข้าจวนเขาโดยเด็ดขาด
ให้นางตายอย่างสงบก่อนมีพิธีวิวาห์คงมิน่าสงสัยเท่ากับแต่งเข้าจวนกั๋วกงแล้วค่อยตาย เขาเองก็จะตีตัวออกหากจากเรื่องนี้ได้ง่ายยิ่งกว่า
เรื่องเลวร้ายในอดีตมีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ก็พอแล้ว!
ในค่ำคืนที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงหายใจอันแจ่มชัดของเจินเมี่ยวที่ดังแว่วมา
นางซุกตัวอยู่ในผ้าห่มจนมิด มีเพียงใบหน้าอันขาวผ่องและลำคอระหงที่โผล่พ้นออกมา
ลำคอนั้น แค่เพียงบิดเบาๆ ก็คงหักแล้ว
หลัวเทียนเฉิงยื่นสองมืออกไปอย่างมิอาจข่มกลั้น มือประกบวางลงบนคองามระหงที่ให้ความรู้สึกดั่งโครงกระดูกก็มิปาน
กระดูกแหลมนั้นยื่นออกมาทิ่มมือของเขา
นางผอมกว่าที่เขาคิดไว้มาก
พลันนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของนางขึ้นมาอย่างประหลาด
“ท่านแม่ไม่เบิกบานสักนิด ท่านย่าก็ไม่เบิกบาน ข้าก็ไม่เบิกบาน สตรีในจวนใหญ่แห่งนี้ มีผู้ใดเบิกบานบ้าง...”
“ข้าก็เหมือนกับเจ้า เป็นนกในกรง...”
สตรีลื่นไหลดั่งน้ำ พัดปลิวดุจบุปผา ละโมบโลภมากในชื่อเสียงเกียรติยศผู้นั้นก็รู้จักว่าสิ่งใดเรียกว่าไม่เบิกบานงั้นหรือ
หลัวเทียนเฉิงบอกไม่ถูกว่าตนรู้สึกเช่นไร ทว่ามือกลับเผลอกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
แพขนตาหนาดุจพัดขนไก่กระพือขึ้น ตาคู่นั้นมองเขาอยู่เงียบๆ
แววตานั้นยังคงงัวเงีย แต่กลับสว่างวับวาวอย่างยิ่งท่ามกลางหมู่ดวงดารา
หลัวเทียนเฉิงมัวแต่ตะลึงงันในสถานการณ์อันเหนือความคาดหมายนี้ ชั่วขณะหนึ่งก็ลืมว่าควรทำเช่นใด จึงทำเพียงสบตากับดวงตาวับวาวดุจดารานั้น