ตอนที่ 15
ตอนที่ 15 ความแตกต่าง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงสวมชุดกระโปรงปักลายเมฆาสีม่วงเหลือบแดงเข้ม ผมทุกเส้นถูกหวีเป็นระเบียบ มองดูแล้วเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
หลัวเทียนเฉิงเดินเข้ามา ใบหน้ามีรอยยิ้มจางๆ แต่งแต้มอยู่ “ท่านย่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องมองหลัวเทียนเฉิงอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หมิงเกอมานั่งนี่”
หลัวเทียนเฉิงนั่งลงอย่างเชื่อฟัง
“หมิงเกอ หลายเดือนมานี้ เจ้ามิค่อยจะอยู่จวน ไปทำอันใดหรือ”
“ท่านย่า ระยะนี้หน่วยองครักษ์รักษาพระองค์มีเรื่องมากมาย ข้าจึงยุ่งอยู่กับการฝึกซ้อม”
ราชวงศ์ต้าโจวมิได้ให้ความสำคัญบุ๋นละเลยบู๊เช่นรัชสมัยก่อน ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งราชวงศ์เป็นต้นมาตำแหน่งทางการทหารนั้นถูกยกระดับให้สูงขึ้นไปมาก จวนเจิ้นกั๋วกงเองก็รุ่งเรืองมาได้เพราะมีความดีความชอบจากการทหารเช่นกัน
หน่วยองครักษ์รักษาพระองค์มิได้เป็นเช่นกาลก่อนแล้ว ธรรมเนียมสืบทอดที่องครักษ์ล้วนคัดเลือกจากบรรดาคุณชายสูงศักดิ์ได้เปลี่ยนแปลง บัดนี้แบ่งออกเป็นสองกองพลคือกองพลมังกรและกองพลพยัคฆ์
กองพลมังกรเป็นกลุ่มที่คัดเลือกทหารจากบรรดาคุณชายสูงศักดิ์ ทว่ากองพลพยัคฆ์นั้นคัดเลือกจากฝีมือการต่อสู้หรือผู้เก่งกาจโดดเด่นของแต่ละกองทัพ
กองพลมังกรของหน่วยองครักษ์รักษาพระองค์นั้นมีหน้าที่หลักคือ เป็นกองเกียรติยศคอยต้อนรับแขกต่างเมือง หากกล่าวถึงการฝึกซ้อมนั้น สิบวันเกรงว่าจะมีถึงเจ็ดวันที่ว่างเว้น
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรู้สึกว่าวาจาของหลัวเทียนเฉิงนั้นออกจะไม่จริงอยู่บ้าง เพราะเลี้ยงเขามาตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบใหญ่จึงมิพูดอ้อมค้อม นางยื่นจดหมายที่ฮูหยินจวนเจี้ยนอานปั๋วส่งมาให้เขาทันที
หลัวเทียนเฉิงเปิดอ่านดู สีหน้าเย็นชาขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งแต่ในขณะเดียวกันก็แปลกใจอยู่บ้าง
เขาออกจากจวนไปสามวันทีห้าวันทีอยู่บ่อยครั้งเพราะไปฝึกฝนร่างกายจริงๆ โดยใช้เคล็ดลับที่เมื่อชาติก่อนเขาได้มาอย่างไม่ตั้งใจหลังจากเข้าไปอยู่ในกองทัพ เรื่องที่เขียนในจดหมายนี้ทั้งหมดเขาเพิ่งจะทราบวันนี้เอง
ทว่าเรื่องนี้กลับมิได้เป็นเช่นเมื่อชาติก่อนของเขาเลย
ความจริงความคิดนี้มันแวบเข้ามาในหัวนานมากแล้ว
ชาติก่อนนั้น คุณหนูสี่สกุลเจินต้องถูกกักบริเวณเพราะทำให้จวนเจี้ยนอานปั๋วเสื่อมเสียเกียรติกระทั่งแต่งงานออกไป เรื่องนี้เป็นที่ทราบกันทั่วเมืองหลวง วันแต่งงานของเขายังมีคนนำเรื่องนี้ไปล้อเล่นขบขันด้วยซ้ำ
ทว่าในชาตินี้กลับมีข่าวลือว่าคุณหนูสี่สกุลเจินวิ่งชนเสา ส่วนเรื่องกักบริเวณกลับมิได้ยินคนเล่าลือถึง
ดังนั้นวันที่เหลือบไปเห็นสตรีที่แม้นกลายเป็นเถ้าถ่านเขาก็ยังจำได้บนถนนเส้นนั้น เขาจึงมองนางอยู่นาน
เขาจำได้ว่าช่วงเวลานี้เอง จวนเจี้ยนอานปั๋วก็ได้ก่อเรื่องชวนขันขึ้นอีก
ฮูหยินสามของตระกูลเจี้ยนอานปั๋วไปจับชู้รัก ทั้งวิวาทกันกับนายท่านสามกลางถนน แต่เพราะชู้รักตั้งครรภ์จึงได้เข้าจวน ผ่านไปไม่นานก็มีข่าวลือแพร่ออกมาว่าบุตรในครรภ์ของชู้รักถูกฮูหยินสามทำให้แท้ง เพราะฮูหยินสามเป็นผู้ลงมือรุนแรงก่อน เมื่อคนทั้งเมืองหลวงสนทนาเรื่องนี้กันส่วนมากจึงมักจะเอ่ยตำหนินางสักหลายประโยค
ฮูหยินสามผู้นี้เป็นผู้ใจเด็ดยิ่ง หลังจากถูกนายท่านสามตบและถูกฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วทำโทษ นางจึงแขวนคอตาย
คุณหนูสี่สกุลเจินไว้ทุกข์ให้มารดาสามปี พิธีแต่งงานของพวกเขาจึงถูกเลื่อนออกไป
ชาตินี้มีสิ่งใดที่เปลี่ยนไปกันแน่ ฮูหยินสามไปจับชู้รักแต่กลับนำบุตรสาวสองคนไปด้วย ชู้รักผู้นั้นก็มิได้อยู่ในจวนแต่ถูกขายออกไป
ที่ทำให้เขาโมโหมากคือคุณหนูสี่สกุลเจินติดตามมารดาไปจับชู้รักจนกลายเป็นที่ขบขันของคนทั่วเมืองหลวงขึ้นมาอีก
ที่ทำให้เขาโกธรแค้นมากเพราะเรื่องนี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านอารองผู้แสนดีของเขา!
มีชีวิตมาสองชาติ เขากลับไม่รู้เลยว่าอารองได้เริ่มวางแผนทำลายเขาตั้งแต่เวลานี้แล้ว
โบราณสอนว่า สตรีที่ไร้มารดาไม่ควรแต่ง
ต้องแต่งภรรยาที่มีชื่อเสียงเสื่อมเสียและไร้มารดา ทั้งยังเป็นตระกูลที่นับวันยิ่งตกต่ำ อารองคงคาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาคงไม่ชอบนาง และคงมิได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลภรรยาซึ่งเป็นเหตุชักนำให้เกิดเรื่องต่างๆ มากมายหลังจากนี้
หลัวเทียนเฉิงยิ่งคิดก็ยิ่งมีโทสะ เขากำหมัดแน่น
“หมิงเกอ หมิงเกอ” ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว จึงร้องเรียกอยู่หลายครั้ง
หลัวเทียนเฉิงมีสติคืนมา ครั้นเอ่ยปากพูด เสียงจึงออกจะติดแหบพร่าอยู่บ้าง “ท่านย่า ท่านเรียกหลานมาเพราะ...”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “หมิงเกอ เจ้าอย่าได้ปิดปังย่าเลย ย่ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจในตัวคุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋ว เรื่องนี้เจ้าทำใช่หรือไม่ เป็นเพราะยังคิดเรื่องจะถอนหมั้นงั้นหรือ”
หลัวเทียนเฉิงหายใจเข้าลึก การกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะควบคุมโทสะของตนเอง
“ท่านย่า หลานไม่พอใจในตัวคุณหนูสี่สกุลเจินจริงๆ แม้อยากจะถอนหมั้นก็ไม่อาจวางแผนกระทำการเช่นนั้นได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าชี้ไปที่จดหมาย “หมิงเกอ จวนเจี้ยนอานปั๋วได้ตรวจสอบดูแล้ว แม้ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ แต่เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเราอย่างมิอาจปฏิเสธ”
หลัวเทียนเฉิงเผยยิ้มราบเรียบ “ท่านย่า หลานเป็นลูกผู้ชาย จิตใจจดจ่อกับโลหิตที่สาดกระจายทั่ว ผืนทรายเพื่อสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์เท่านั้น ไหนเลยจะมีแก่ใจขบคิดแผนการที่สตรีเรือนหลังมักใช้กันเช่นนี้ ในจดหมายพูดถึงสาวใช้ที่จวนเราปล่อยออกไป หลานจะทราบว่าเป็นผู้ใดได้อย่างไร ใช่แล้ว อาสะใภ้รองมิใช่หรือที่ดูแลเรื่องในจวน ท่านย่ามิสู้ไปถามความกับอาสะใภ้เถิด”
ฮูหยินผู้เฒ่าตะลึงงันไป
เมื่อยามวัยสาวนั้นฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงนับได้ว่าเป็นสตรีที่แข็งกร้าวดุจบุรุษ การจัดการดูแลภายในจวนแม้มิอาจกล่าวว่าเป็นฮูหยินที่หลักแหลมล้ำเลิศ ทว่าก็มิได้เลอะเลือน
เมื่อได้ฟังวาจาของหลัวเทียนเฉิงจึงพลันคิดขึ้นมาได้ว่า หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับบ้านบุตรชายคนรอง
เพียงแต่ผู้เป็นมารดาไหนเลยจะสงสัยในบุตรตนเองได้ง่ายปานนั้น อีกทั้งหลายปีนี้บ้านของบุตรคนรองก็ดีต่อหมิงเกอมาตลอด
แม้แต่ซิ่วเกอบุตรชายเยาว์วัยอายุห้าปีของพวกเขายังพูดบ่อยๆ ว่าบิดามารดาลำเอียงรักชอบแต่เพียงพี่ใหญ่เท่านั้น ส่วนที่โตแล้วสองคนแม้จะไม่พูด แต่ก็มิได้สนิทสนมกับหมิงเกอเท่าใดนัก เกรงว่าอาจเกิดจากสาเหตุที่รู้สึกว่าบิดามารดาลำเอียงเช่นกัน
“อืม ประเดี๋ยวย่าจะลองถามอาสะใภ้รองของเจ้าดู อาจเพราะนางงานยุ่งจึงละเลยไปก็เป็นได้”
หลัวเทียนเฉิงก้มหน้าลงยิ้ม เอ่ยเสียงต่ำเล็กน้อย “ท่านย่าพูดถูก หลายปีมานี้อาสะใภ้รองต้องคอยดูแลเรื่องในจวนทั้งหมด คงยุ่งมากจริงๆ ”
เขาไม่รีบ เมล็ดแห่งความแคลงใจนั้น หากมันได้เพาะพันธุ์ลงแล้ว...ขอเพียงพวกเขายังคงลงมือต่อไปทีละขั้นๆ เช่นในชาติก่อน เขาก็ไม่กลัวว่าท่านย่าจะมองโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาไม่ออก
อีกอย่างเขาก็ยังมีวิธีโจมตีกลับคืนมิใช่หรือ
เมื่อจากเรือนอี๋อานมาแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังเรือนชิงเฟิง ในใจกลับมิได้นิ่งสงบดุจใบหน้าที่แสดงออก
แผนการเอาคืนเหล่านั้นเขาอาจปล่อยวางไม่คิดได้ ทว่าที่ทำให้เขาอยากรู้มากที่สุดคือ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นที่ใดในชาตินี้หรือ จึงมีเหตุการณ์ที่ต่างกันเกิดขึ้นหลายอย่างถึงเพียงนี้
ใคร่ครวญให้ละเอียดแล้ว เรื่องผิดแปลกเหล่านี้คล้ายเกี่ยวข้องกับคุณหนูสี่สกุลเจิน
อย่างน้อยเขาก็ทราบว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้ องค์หญิงน้อยพระธิดาของเจี่ยงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังจะแอบนางกำนัลออกไปปีนต้นไม้ล้วงเอาไข่นก จึงตกลงมาตายเพราะความซุกซน
เจี่ยงกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิอย่างยิ่ง ทรงมีพระธิดาพระชนมายุสิบพรรษาเพียงพระองค์เดียว และทรงเป็นองค์หญิงที่องค์จักรพรรดิทรงรักใคร่เอ็นดูมากที่สุด
ที่เขาจำเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำเพราะหลังจากที่องค์หญิงน้อยสิ้นพระชนม์ไปนั้น องค์จักรพรรดิทรงกริ้วดุจอัสนีฟาดผ่า ไม่เพียงแต่สั่งโบยนางกำนัลขันทีรับใช้ขององค์หญิงน้อยจนตาย ยังโบยองครักษ์รักษาพระองค์ทุกคนที่เข้าเวรในเวลานั้นถึงสิบไม้ เขาก็เป็นหนึ่งในองครักษ์ที่เข้าเวรตอนนั้นด้วย
ตามเหตุผลแล้วองครักษ์นั้นมิได้อยู่ในวัง ย่อมไม่มีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับพวกเขา ทว่าองค์หญิงน้อยกลับตกจากต้นไม้ร่วงลงไปที่นอกกำแพง ด้วยเหตุนี้พวกเขาที่มิน่าจะเกี่ยวข้องอันใดกลับต้องมาเกี่ยวข้องด้วย
ครั้งนี้เขาจึงตั้งใจไปเฝ้าเวรที่บริเวณนั้นและสามารถรับองค์หญิงน้อยที่ตกลงมาได้ดั่งคาด
มิต้องเอ่ยถึงคำขอบคุณจากเจี่ยงกุ้ยเฟย แม้แต่องค์จักรพรรดิยังเบิกบานพระทัยยิ่ง ยามนั้นจึงรับสั่งให้เขาขึ้นเป็นหัวหน้าองครักษ์ แต่ถูกเขาปฏิเสธไปโดยอ้างว่าตนมิได้ทำความดีอันใดเลย
อย่างไรองค์หญิงน้อยก็ทรงมีพระชนมายุสิบพรรษาแล้ว แต่ยังทรงทำเรื่องนอกลู่นอกทาง เสียกิริยาเช่นนี้ออกมาได้ จึงจำต้องปิดให้มิด
เมื่อองค์จักรพรรดิทรงคิดว่านั้นก็มีเหตุผลอยู่ จึงมิได้ตำหนิเขา ทั้งยังตรัสถามว่าเขาอยากจะได้รางวัลใดหรือไม่
เขาจึงบอกว่าอยากจะได้สถานที่ฝึกยุทธ์ที่เงียบสงบสักแห่ง เมื่อฝึกยุทธ์ให้เก่งขึ้นได้ย่อมสามารถตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทได้เต็มความสามารถ และมิเอ่ยถึงสิ่งใดอีก
องค์จักรพรรดิทรงพระราชทานอนุญาต เรื่องช่วยองค์หญิงน้อยจึงมิได้แพร่กระจายออกไป แต่เขาทราบดีว่าตนได้มีที่พึ่งพิงที่แข็งแกร่งที่สุดเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว
หลัวเทียนเฉิงเก็บงำอารมณ์ตนไว้แล้วกลับไปยังเรือนชิงเฟิง แต่ลอบตัดสินใจอยู่เงียบๆ ว่าเขาต้องไปสืบข่าวจวนเจี้ยนอานปั๋วสักหน่อย ดูสิว่าคุณหนูสี่สกุลเจินมีสิ่งใดที่ไม่เหมือนเดิมกันแน่