ตอนที่ 13
ตอนที่ 13 สร้างมิตร
“คารวะแม่นมหยาง” เจินเมี่ยวย่อตัวลงเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนโยน แล้วมองตอบกลับไปอย่างสง่าผ่าเผย
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอยู่เงียบๆ เจ้าสี่กลับมิได้สูญเสียความสง่าของตนไป จะอย่างไร นางก็เป็นนาย ผู้มาเป็นบ่าว การก้มหัวเชื่อฟังนั้นคงยากจะมิทำให้คนหัวเราะเยาะ
แม่นมหยางเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง นางสัมผัสได้ถึงแววตาใสบริสุทธิ์ดุจน้ำของเจินเมี่ยว จึงรู้สึกตกใจเล็กน้อย
คำเล่าลือถึงคุณหนูสี่สกุลเจินนั้นมีมากมาย นางจึงมีภาพของคุณหนูสี่ผู้นี้อยู่ในใจแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะไม่เหมือนกับที่นางวาดภาพไว้แม้แต่น้อย
เมื่อคิดเช่นนี้ พลันรู้สึกแปลกใจขึ้นมาหลายส่วน
“คุณหนูสี่ บ่าวได้รับมอบหมายจากฮูหยินเจิ้นกั๋วกงให้มาปรนนิบัติคุณหนูเจ้าค่ะ หวังว่าคุณหนูสี่จะไม่รังเกียจว่าบ่าวเงอะงะซุ่มซ่าม”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หากยอมรับก็ต้องอับอายขายหน้าอย่างมิต้องสงสัย ครั้นเปิดปากปฏิเสธ ฝ่ายตรงข้ามกลับเป็นคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าของเจิ้นกั๋วกงส่งมาก็ออกจะไม่เหมาะสม
เจินเมี่ยวรู้สึกว่าครั้งนี้ไม่มีเวลาให้นางได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนสักนิด ในใจพลันนึกถึงวาจาประโยคหนึ่ง ‘หากมีคำถามที่เจ้าไม่อยากตอบหรือตอบไม่ได้ เช่นนั้นก็รักษารอยยิ้มเอาไว้แล้วให้คนที่ตอบได้ตอบเสีย’
ดังนั้นนางจึงเผยยิ้มอ่อน “แม่นมหยางเกรงใจเกินไปแล้ว เรื่องของผู้ใหญ่ ข้าต้องเชื่อฟังท่านย่าอยู่แล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าแปลกใจอย่างยิ่งพลางเอ่ยในใจว่า ‘ผู้ใดบอกว่าหลังจากตกน้ำ เจ้าสี่ก็มิเฉลียวฉลาดเช่นการก่อนแล้ว เห็นชัดว่ามีตาไร้แววโดยแท้!’
ไม่มีคำตอบใดจะเหมาะสมกว่านี้อีกแล้ว
แม่นมหยางมองเจินเมี่ยวอย่างล้ำลึกอีกครา
เจินเมี่ยวยิ้มได้สุขุมยิ่ง แต่คนต่ำช้าในใจนางกลับทุบพื้นกล่าวว่า ‘อย่าได้มองข้า พวกท่านควรทำสิ่งใดก็ทำไปเถิด ยิ้มเช่นนี้...มารดามันเถอะ เหนื่อยเหลือเกินรู้หรือไม่’
ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นว่า “แม่นมหยางถ่อมตนเกินไปแล้ว ในเมืองหลวงนี้ ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าท่านเคยปรนนิบัติรับใช้ไท่โฮ่ว1 อย่าได้พูดว่ามาปรนนิบัติเจ้าสี่เลย จะทำให้นางเหลิงเปล่าๆ”
“คุณหนูสี่ไปที่ใดล้วนเป็นเจ้านาย บ่าวอยู่ที่ใดก็ยังเป็นบ่าว ฮูหยินผู้เฒ่าพูดเช่นนี้กลับเป็นบ่าวต่างหากที่จะเหลิง”
คนทั้งสองนั้น ผู้หนึ่งพูดผู้หนึ่งเอ่ย โต้ตอบไปมาหลายสิบหน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงค่อยๆ หมดแรงในที่สุด
แม่นมชราผู้นี้ไม่เสียทีที่อยู่ในวังมาหลายปี กล่าวสิ่งใดล้วนไร้รอยรั่ว ไม่ลดราวาศอกแม้แต่น้อย
ภายใต้การกดดันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่ลอบถอนหายใจออกมา กำลังจะพยักหน้ารับปากอย่างไม่ยินยอมก็เห็นเจินเหยียนย่อกายอย่าง,uพิธีรีตองให้แก่แม่นมหยาง “แม่นมหยาง ขออภัยที่ข้าเสียมารยาท ท่านแม่ข้ามีเรื่องด่วนจะรายงานต่อท่านย่า ให้น้องสี่นั่งเป็นเพื่อนท่านสักครู่ก่อนเถิด”
กล่าวจบก็ยื่นมือออกมาให้ฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยื่นมือส่งให้เจินเหยียน เอ่ยวาจาว่า “เสียมารยาทแล้ว” พลางปล่อยให้เจินเหยียนพยุงเดินเข้าไปในห้องด้านใน
เมื่อนั่งลงดีแล้วก็แทบจะถอนหายใจออกมา ดั่งได้ปลดภาระอันหนักอึ้งก็มิปาน จึงเอ่ยพลางยิ้มว่า “เจ้ารอง เจ้านี่ฉลาดจริงๆ ”
สีหน้าของเจินเหยียนกลับเคร่งขรึมหาใดเปรียบ “ท่านย่า หลานมีเรื่องสำคัญจริงๆ เจ้าค่ะ” พูดพลางส่งจดหมายให้ไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเปิดออกอย่างเบื่อหน่าย พลางมองอักษรบิดเบี้ยวเหล่านั้นซึ่งล้วนเป็นชื่อบุคคลและแผนภาพความสัมพันธ์
“นี่มัน? ”
“ท่านพ่อ หว่านอี๋เหนียง หอฉู่เซียว สหายร่วมงานที่เชิญไปดื่มสุรา อนุภรรยา สาวใช้จวนเจิ้นกั๋วกง ท่านย่า หลานรู้สึกว่านี่เป็นเบาะแสหนึ่ง เมื่อนำมาประกอบกันแล้วผลคือ ท่านพ่อสูญเสียตำแหน่งขุนนาง ชื่อเสียงของจวนปั๋วต้องเสื่อมเสีย” เจินเหยียนยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเย็นเยียบขึ้น “ครั้งนี้หากมิใช่ท่านย่าลงดาบจัดการหว่านอี๋เหนียงอย่างเด็ดขาด ตัดความวุ่นวายได้ทันการณ์ ภายหน้าก็มิทราบจะสร้างเรื่องราวอีกมากเท่าใด จวนเจิ้นกั๋วกงมิใช่ส่งแม่นมผู้อบรมมาหรอกหรือ คงจะถอนหมั้นเพราะชื่อเสียงที่เสื่อมเสียไปเป็นแน่! ”
[1ไท่โฮ่ว หรือไท่เฮา คือพระมารดาขององค์จักรพรรดิ]
ฝ่ายตรงข้ามได้คาดการณ์ทุกอย่างมาหมดแล้ว เพราะทราบว่าจวนเจี้ยนอานปั๋วมีหลานชายอยู่น้อยนิด จึงรอให้หว่านอี๋เหนียงตั้งครรภ์ครบสามเดือนค่อยเปิดเผยเรื่องราว เพราะคาดว่าท่านย่าจะมิอาจตัดใจจากบุตรในครรภ์ของหว่านอี๋เหนียงได้
เพียงแต่วาจาของน้องสี่ได้เปลี่ยนความคิดของท่านย่าไป เพราะสวรรค์มิอาจตัดทางรอดของผู้คนนั้นเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าหุบยิ้ม “เรื่องนี้ เจ้ามีหลักฐานหรือไม่”
เจินเหยียนส่ายหน้า “หลานไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ทราบดีว่า ลำดับขั้นตอนของเรื่องราวต่างๆ นั้นมิสำคัญ ผลลัพธ์ต่างหากที่จะอธิบายปัญหาทุกอย่าง”
นางจึงบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้นางบังเอิญไปได้ยินสาวใช้ตัดแต่งกิ่งดอกไม้พูดคุยกันถึงความผิดปกติของบิดาตน และเรื่องที่เจินเมี่ยวบังเอิญเห็นซื่อจื่อในวันเกิดเหตุนั้นด้วย นางบอกกล่าวเรื่องทั้งหมดออกมาอย่างละเอียด
“เวรกรรม เวรกรรมแท้ๆ ซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกงรังเกียจเจ้าสี่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจติดกันหลายครา
นางห่วงที่สุดคือฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงและสตรีแพศยาเหล่านั้นจะหาความเจ้าสี่เพราะเรื่องนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกงจะเกลียดชังเจ้าสี่ถึงเพียงนี้
ก่อนหน้านี้ที่บีบคอเจ้าสี่ในน้ำนั้นยังอาจกล่าวได้ว่าเพราะความโมโหชั่วขณะ ทว่าการวางแผนจะถอนหมั้นเช่นนี้ ช่างทำให้คนรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก
ซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกงจิตใจโหดร้ายปานนั้นคล้ายสุภาพบุรุษหนุ่มที่ใดกัน ทั้งที่เจ้าสี่รูปโฉมงดงามถึงเพียงนี้...
“ท่านย่า! ” เจินเหยียนคุกเข่าลงพื้นเสียงดัง “การหมั้นหมายครั้งนี้ยกเลิกไปเถิดเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าสลดไปทันใด “บนโลกนี้ เป็นคนช่างยาก เป็นสตรียากยิ่งกว่า น้องสี่ของเจ้าหลีกเลี่ยงวิบากครานี้มิได้ จวนเจี้ยนอานปั๋วของเราก็หลีกเลี่ยงมิได้เช่นกัน นางต้องแต่งงานเท่านั้น”
กล่าวถึงตรงนี้ก็เม้มริมฝีปากทันใด “จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเขารังแกคนเกินไปแล้ว ขุดหลุมให้เรากระโดดลงไปเช่นนี้ คงต้องทำให้พวกเขารู้ว่าเรานั้นมิใช่คนเลอะเลือน”
“เจ้ารอง ประคองย่าออกไป”
ย่าหลานสองคนเดินกลับมา พบว่าเจินเมี่ยวกำลังอธิบายวิธีการทำซัวอีหวงกวาต่อแม่นมหยางอย่างออกรสออกชาติ แม่นมหยางถึงกับชิมไปคำหนึ่ง ที่นางกินกลับมิใช่จานที่เจินเมี่ยวส่งมาเมื่อเช้า
นี่มันเรื่องราวใดกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าจำต้องอดกลั้นอารมณ์โกรธนั้นไว้ในลำคอ
ลองคิดอีกอย่างดู ไม่ว่าอย่างไรเจ้าสี่ก็ต้องแต่งออกไป หากสามารถสร้างมิตรไว้ย่อมเป็นเรื่องดี จึงกดเก็บความโมโหตนไว้ ทำเพียงกระแอมไอคราหนึ่ง
“ท่านย่า ท่านมาแล้ว” เจินเมี่ยวได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงหันสายตาไปส่งยิ้มให้ แล้วรีบลุกเดินไปหาอย่างเป็นธรรมชาติ นางประคองแขนอีกข้างของฮูหยินผู้เฒ่าเดินไปนั่งที่ตำแหน่งเดิม
แม่นมหยางมองท่าทางเช่นนั้นของเจินเมี่ยวแล้วพยักหน้าอยู่เงียบๆ
ใจกว้างและมีมารยาทแต่ไม่สูญเสียความไร้เดียงสา ความเคารพที่มีต่อผู้ใหญ่ก็เผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เด็กสาวเช่นนี้ อย่างไรก็มิเหมือนคนที่จะทำเรื่องเช่นนั้นออกมาได้
นางมาจากจวนเจิ้นกั๋วกง ย่อมรู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องตกน้ำนั้นชัดเจนกว่าผู้ใด แม่นมหยางคิด หรือคุณหนูสี่ท่านนี้จะตกหลุมรักซื่อจื่ออย่างลึกซึ้ง จึงกระทำการเช่นนั้นอย่างมิอาจห้ามใจได้?
นางอยู่ในวังมาหลายปี เรื่องการมองคนนั้นแม่นยำนัก ดูอย่างไรก็รู้สึกว่าเจินเมี่ยวมิใช่คนที่จะทำเรื่องสกปรกเพื่อให้ตนได้ปีนป่ายขึ้นที่สูงอย่างคำเล่าลือนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งเชื่อมั่นในการคาดเดาของตน แววตาที่มองเจินเมี่ยวจึงแฝงไว้ด้วยความสงสารสายหนึ่ง
สตรีที่ทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจและตำแหน่งนางเห็นมานักต่อนักแล้ว แต่ที่ทำเพราะความรักแม้นจะมิถูกต้องเท่าใดนั้น...แม่นมหยางที่คลุกคลีอยู่ในวังมาหลายปีกลับรู้สึกเข้าใจนางอยู่หลายส่วนอย่างไม่น่าเชื่อ
“แม่นมหยาง ข้ามีจดหมายฝากไปให้ฮูหยินเจิ้นกั๋วกง สาวใช้ที่ทำอะไรเลินเล่อพวกนั้นข้ามิวางใจ คงต้องรบกวนให้ท่านนำกลับไปแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าล้วงจดหมายสีทองออกมาจากแขนเสื้อตน
ลางสังหรณ์แสนแม่นยำของแม่นมหยางบอกว่าในจดหมายนี้ต้องมีความลับอันใดแน่นอน จึงได้รับมา
รอจนแม่นมหยางจากไป เจินเมี่ยวจึงเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัดขบริมฝีปากตน “ท่านย่า เรื่องของท่านพ่อ เกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นกั๋วกงใช่หรือไม่”
“เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดจึงได้พูดจาเหลวไหล มีเรื่องเช่นนั้นที่ใดกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ย
นางและเจินเหยียนตัดสินใจไม่เปิดเผยเรื่องราวนี้ เจินเมี่ยวทราบน้อยเท่าใด อนาคตเมื่อแต่งเข้าไปก็อาจจะดีต่อนางมากขึ้นเท่านั้น
เจินเมี่ยวเอ่ยตามเหตุผลว่า “เพราะจวนเจิ้นกั๋วกงอยากจะถอนหมั้นเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้แม้คิดก็มิต้องคิด สองครั้งที่นางพบกับซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกง แววตานั้นของเขามากพอที่จะอธิบายทุกสิ่งแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับรู้สึกว่าเด็กคนนี้ฉลาดเกินไปเสียด้วยซ้ำ นางถอนหายใจแล้วบอกเล่าเรื่องราวให้เจินเมี่ยวฟังโดยละเอียด
เจินเมี่ยวยิ่งฟังดวงตายิ่งขยายใหญ่ขึ้น ลอบกล่าวในใจว่า ‘โอ้โห ที่แท้เรื่องซับซ้อนถึงเพียงนี้ ไม่ได้แล้ว นางคงต้องยื่นมือเข้าไปจัดการ และถือโอกาสจุดเทียนสักเล่ม2ให้เจ้าคนสารเลวนั้นด้วย! ’
[2ถือโอกาสจุดเทียนสักเล่มให้ มีนัยยะว่า ไว้อาลัยให้แก่คน หรือสิ่งนั้นๆ เพราะการไว้อาลัยโดยทั่วไปจะจุดเทียน ยืนก้มหน้าสงบนิ่งครู่หนึ่งด้วย]