ตอนที่ 11
ตอนที่ 11 แค่เพียงสินค้า
ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกเจินอานผู้ติดตามนายท่านสามมาสอบถาม เขาทราบเพียงว่าหว่านอี๋เหนียงเป็นผู้ขายศิลปะในหอฉู่เซียว นายท่านสามไปสองสามหนก็ซื้อตัวนางกลับมาเลี้ยงไว้นอกเรือน
เรื่องนี้ความจริงมิใช่เรื่องใหญ่อันใด เป็นเพียงความสำราญส่วนตัวของชนชั้นสูง ราษฎรไม่ร้องทุกข์ ข้าราชการมิสอบสวน1
ทว่าทุกอย่างวุ่นวายขึ้นเพราะฮูหยินสามนำบุตรสาวไปจับชู้รักด้วย เรื่องนายท่านสามเที่ยวหอโคมเขียวจึงแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงดุจลมฝน
ฎีกาเพียงฉบับเดียวของผู้ตรวจการราชสำนักก็ทำให้ตำแหน่งอันไร้แก่นสารที่ใหญ่เท่าเม็ดงานั้นถูกปลดทันที
นายท่านสามกลายเป็นสามัญชน ฮูหยินสามก็มิอาจเรียกฮูหยินสาม
เห็นคนคุกเข่าเต็มพื้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็โกรธจนมือสั่น “ใครก็ได้ ลากตัวนางแพศยานี้ไปตีให้ตายจะได้สิ้นเรื่อง! ”
“ท่านพี่...” ใบหน้าน้อยๆ ของหว่านอี๋เหนียงซีดเผือด ตะโกนเรียกนายท่านสามด้วยความหวาดกลัว
แววตาของนายท่านสามปรากฏแววเจ็บปวด คิดไม่ถึงว่าจะขจัดความอ่อนแอในวันวาน รวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “ท่านแม่ โปรดเห็นแก่หลานชายที่ยังไม่ลืมตาดูโลก ไว้ชีวิตหว่านเหนียงเถิด”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงลอดไรฟันว่า “เจ้าเดรัจฉาน เจ้ายังกล้าพูดอีกหรือ! ”
ทว่าที่สุดแล้วก็มิได้บอกให้บ่าวลากตัวคนออกไปอีก
สาวใช้ร่างใหญ่สองคนที่จับตัวหว่านอี๋เหนียงไว้ต่างมิได้ขยับเคลื่อนไหว
หว่านอี๋เหนียงพลันร้อง ‘อือ’ แล้วประคองท้องตนคุกเข่าลง
“หว่านเหนียง! ” นายท่านสามตกใจอย่างยิ่ง รีบวิ่งเข้าไปหานาง
[1ราษฎรไม่ร้องทุกข์ ข้าราชการมิสอบสวน เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่าแม้นจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแต่เจ้าตัวยังมิเดือดร้อน ไม่ไปร้องเรียนกับหน่วยงานราชการ หน่วยงานราชการก็มิควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว]
ฮูหยินสามผู้แต่ไหนแต่ไรมักไม่ยอมคน วันนี้กลับเงียบกว่าปกติ นางเพียงยิ้มเย็นชามองดูท่าทางนั้นของนายท่านสาม
เจินเหยียนที่หน้าซีดขาวมาตลอดนั้นนั่งคุกเข่าอยู่ข้างฮูหยินสามด้วยกันกับเจินเมี่ยว
“ช่างเถิด พานางไปให้ท่านหมอดูอาการเถิด ก่อนจะคลอด อย่าได้ให้นางออกมาเพ่นพ่านนอกเรือนเด็ดขาด” ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ
เมื่อเห็นว่าหว่านอี๋เหนียงจะถูกนำตัวไปแล้ว เจินเหยียนจึงยืดตัวขึ้นตรงแล้วโขกศีรษะลงบนพื้นหนักๆ คราหนึ่ง “ท่านย่า โปรดอนุญาตให้หลานเอ่ยวาจาสักประโยคเถิด”
ฮูหยินผู้เฒ่ามองนางคราหนึ่ง “เจ้ารอง เจ้าคงทราบดีว่าตนทำเรื่องผิดใหญ่เพียงใด”
เจินเหยียนเงยหน้าขึ้น เสียงกังวานใสดุจน้ำค้างแข็ง “เหยียนเอ๋อร์ทราบดี เหยียนเอ๋อร์เลอะเลือนไปชั่วขณะ ทำร้ายท่านพ่อและท่านแม่ รวมถึงน้องสาวด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคือการสร้างความอับอายให้แก่จวนเจี้ยนอานปั๋ว ดังนั้นท่านย่าจะลงโทษเช่นไร เหยียนเอ๋อร์ล้วนน้อมรับด้วยความเต็มใจ เพียงแต่มีคำหนึ่งที่เหยียนเอ๋อร์มิพูดไม่ได้”
“วาจาใด”
เจินเหยียนเม้มริมฝีปาก เอ่ยออกมาทีละคำ “มิอาจเก็บหว่านอี๋เหนียงไว้! ”
“อันใดนะ! ตัวอัปรีย์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดสิ่งใดออกมา! ” นายท่านสามโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง จนแทบจะกระโดดผลุงขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่าหยิบจานที่วางอยู่บนโต๊ะขว้างลงพื้น
จานแตกกระจายเต็มพื้น แตงโมที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นั้นกระเด็นเต็มหน้านายท่านสาม
“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้! ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยน้ำเสียงดุดัน
สำหรับวาจาของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว นายท่านสามไม่กล้าไม่เชื่อฟัง ดวงตาสองข้างกลับจ้องมองเจินเหยียนอย่างเอาเป็นเอาตาย
เจินเหยียนคล้ายมิได้รู้สึกถึงสายตาของนายท่านสาม ยังเอ่ยต่อไปว่า “ท่านย่า แรกเริ่มหลานเข้าใจว่าหว่านอี๋เหนียงเป็นบุตรสาวที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของบ้านใดบ้านหนึ่งจึงได้นำกลับมาที่จวน ใครจะคาดคิดว่านางจะมี มี...ฐานะเช่นนั้น นางเข้ามาอยู่ในจวนของเรา ทั้งยังจะให้กำเนิดบุตรอีก อยากจะให้คนทั้งเมืองหลวงหัวเราะเยาะหรือไร”
กล่าวถึงตรงนี้ก็กวาดตามองไปที่หว่านอี๋เหนียงด้วยสายตาดูแคลน “ยิ่งไปกว่านั้น ฐานะเช่นนั้นของนาง บุตรเป็นของท่านพ่อจริงหรือไม่ก็มิอาจทราบได้...”
“ฮูหยินผู้เฒ่า ตอนที่ข้าติดตามนายท่านไปนั้นยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่แท้ๆ คุณหนูใส่ร้ายข้าเช่นนี้ ข้ายินยอมตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์! ” หว่านอี๋เหนียงพูดพลางสะบัดจากการจับกุมของสาวใช้ ตั้งท่าจะวิ่งเข้าชนกำแพง
สาวใช้ทั้งสองย่อมมิกล้าให้นางวิ่งชนกำแพง จึงรีบขัดขวางทันที
เจินเหยียนแค่นยิ้มเย็น “ท่านย่า ไม่ว่าอย่างไร หลานก็มิต้องการน้องชายน้องสาวที่ปีนป่ายออกมาจากท้องของสตรีหอโคมเขียว หากเป็นเช่นนั้น หลานคงไม่มีหน้าแต่งเข้าจวนเสนาบดี ยินยอมจุดตะเกียงน้ำมันเขียวอุทิศตนให้พุทธศาสนาตลอดชีวิต!”
“เจ้า! ” นายท่านสามแค้นเคืองจนแทบจะอุดปากบุตรสาวเอาไว้ ท่าทางดั่งต้องการฆ่าคนกระนั้น
ในความทรงจำของเจินเมี่ยว นายท่านสามค่อนข้างจะอ่อนแอ จึงถูกฮูหยินสามผู้เก่งกาจควบคุมไปเสียทุกอย่าง ท่าทางโกรธเกรี้ยวบึ้งตึงเช่นนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
นางเหลือบมองหว่านอี๋เหนียงที่ร่ำไห้ดุจดอกหลีพร่างพรมด้วยหยาดฝน คงคิดไปเองว่าทุกกลีบบุปผาที่ร่วงหล่นลงมาจะมีวีรบุรุษผู้กล้ามาคอยคุ้มครองตนกระมัง
“ท่านแม่...เป็นสะใภ้ที่โง่เขลา สะใภ้จะหย่าออกไปเอง แต่ขอให้ท่านโปรดช่วยดูแลบุตรชายบุตรสาวทั้งสามของสะใภ้ด้วย อย่าได้เอาคำพูดเหลวไหลของเจ้ารองมาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ” แววตาของฮูหยินสามช่างมืดมนนัก นางโขกศีรษะลงพื้นแรงๆ คราหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน “เหลวไหล พวกเจ้าแต่ละคน รังเกียจว่าเรื่องยังวุ่นวายไม่พอใช่หรือไม่! ”
เจินเมี่ยวมองทางนี้ที มองทางนั้นที
อ้อ เรื่องออกจะซับซ้อนอยู่บ้าง นางจำต้องไกล่เกลี่ยเสียหน่อย
คนผู้นี้หากใคร่ครวญสิ่งใด โรคเก่าก็จะกำเริบทันที นางกำหมัดแล้วแหย่ใส่ปาก ขบกัดดุจเป็นขาหมู
ฮูหยินผู้เฒ่าผู้มีสายตาคมกริบกวาดมองไปทั่ว เห็นเจินเมี่ยวทำท่าเช่นนั้น อกก็กระเพื่อมไหวทันที จึงเอ่ยตำหนิว่า “เจ้าสี่! ”
เจินเมี่ยวโบกมือไปข้างหน้าทันที “ท่านย่า หลานมีเรื่องไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง”
“หืม” ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกคิ้วขึ้น
“ท่านย่า หากหลานทำแจกันดอกไม้ที่ท่านชอบที่สุดแตกหรือนำไปทิ้ง ท่านโกรธมาก แต่จะโกรธกระทั่งตีหลานจนตายหรือไล่หลานออกจากจวนหรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธแต่กลับยิ้มออกมา “แน่นอนว่าไม่ เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดจึงถามเยี่ยงนี้ แค่แจกันดอกไม้เท่านั้น ต่อให้ย่าจะเสียดายเพียงใดแต่มันก็เป็นแค่สิ่งของ จะลงโทษเพียงนั้นเพราะมันได้อย่างไร หากทำอย่างนั้น ย่าจะเป็นคนเช่นใดกันเล่า ไม่เพียงทำให้ผู้อื่นนินทาว่าร้ายลับหลัง แม้แต่บรรพบุรุษที่ถูกฝังกลบก็คงต้องตำหนิว่าย่าใจแคบ! ”
เจินเมี่ยวมองไปที่นายท่านสามคราหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “ดังนั้นหลานจึงกลัดกลุ้มยิ่ง อนุภรรยาเป็นดั่งสินค้าซื้อขายกันได้ แต่เพราะนาง พี่สาวต้องไปอยู่อารามชี ท่านแม่ต้องหย่าร้าง คนที่ทำให้เรื่องยุ่งยากปานนี้ เหตุใดจึงมิขายออกไปเล่า หรือบุตรในท้องของนาง สำคัญกว่าพี่ใหญ่ พี่รองกระนั้นหรือ”
นางเอ่ยเรื่องราวออกมาอย่างเชื่องช้า แต่กลับมีเหตุผลจนทำให้คนพูดไม่ออก
ฮูหยินผู้เฒ่าหวั่นไหวในใจ ทันใดนั้นก็คิดตกเสียที
ไม่ผิด แม้นจวนเจี้ยนอานปั๋วจะมีบุรุษน้อยแสนน้อย ยังมิต้องกล่าวถึงบุตรในครรภ์ของหว่านอี๋เหนียงจะเป็นหญิงหรือชาย ต่อให้เป็นชายแล้วอย่างไร บุตรที่สตรีผู้นี้ให้กำเนิดล้วนจะทำให้หลานชายหลานสาวคนอื่นๆ ต้องพลอยลำบากไปด้วย
ผู้คนชอบบุตรชายหลานชายก็เพราะต้องการให้ประคับประคองตระกูลให้เจริญรุ่งเรือง ทว่าการกำเนิดของเด็กคนนี้มีแต่จะนำความอับอายและการต่อสู้แย่งชิงภายในเท่านั้น เป็นบ่อเกิดแห่งความวุ่นวายทั้งปวง!
“นำตัวออกไป” ฮูหยินผู้เฒ่าคิดถึงแต่การแผ่กิ่งก้านสาขาของตระกูลจนสติปัญญาถูกกดทับไว้ นางมองแม่นมหวังคราหนึ่ง
แม่นมหวังเข้าใจทันที “เจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ ไม่ได้นะ บุตรในท้องของหว่านเหนียงเป็นเลือดเนื้อของลูก หลานของท่าน! ” นายท่านสามกอดหว่านอี๋เหนียงไว้แน่น
ฮูหยินผู้เฒ่ามิสะทกสะท้านใดๆ “เฮ่าเกอ เหยียนเอ๋อร์กับเมี่ยวเอ๋อร์จึงจะเป็นเลือดเนื้อของเจ้า”
“ท่านพี่ ท่านพี่ช่วยข้าด้วย...” ต่อให้หว่านอี๋เหนียงร่ำไห้อย่างน่าเวทนากว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ นางถูกลากตัวออกไป
นายท่านสามเจ็บปวดหัวใจจนหน้าเขียวคล้ำไปหมด แต่ก็ยังมิกล้าคัดค้านความต้องการของฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าใช้กฎบ้าน ลงโทษกักบริเวณนายท่านสาม ฮูหยินสามก็ถูกกักบริเวณเช่นกัน ส่วนเจินเหยียนเจินเมี่ยวถูกลงโทษให้ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพบุรุษ
ยามค่ำศาลบรรพบุรุษอากาศหนาวเย็น สองพี่น้องต่างขยับเข้าหากันให้ใกล้ที่สุด
“เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของข้า” เจินเหยียนที่คุกเข่าอยู่เงียบๆ ตลอดมาพลันเอ่ยขึ้น
เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ
เจินเหยียนคล้ายอยากจะหาหนทางระบาย นางพร่ำบ่นกับตนเองต่อไป “เพราะข้า เพราะข้าปากมากไปเอ่ยเตือนท่านแม่ ท่านแม่ถึงได้คอยจับตาดูท่านพ่อ ข้ายังติดตามท่านแม่ไปอีกเพราะคิดว่าตนฉลาด ทั้งนำเจ้าไปด้วย สุดท้ายเรื่องราวจึงยากจะจัดการ ทำให้เจ้าต้องพลอยเสียชื่อเสียง หึๆ ข้าคิดเพียงว่าท่านแม่นั้นอาจจะวู่วาม แต่กลับมองตนสูงส่งเกินไป คิดว่าตนจะสามารถจัดการทุกอย่างได้...”
เมื่อเห็นหน้าผากของเจินเหยียนผุดเหงื่อเท่าเมล็ดถั่ว คนก็ดูเหม่อลอยดุจถูกปีศาจสิงร่าง เจินเมี่ยวจึงรีบคว้ามือนางมากุมไว้ “พี่รอง ท่านอายุมากกว่าข้าแค่สองปี นี่ก็นับว่าเก่งกาจมากแล้ว มีเจตนาแต่ทำเหมือนไม่มีเจตนา ทวนในที่แจ้งนั้นหลบง่ายธนูในที่ลับยากจะป้องกัน”
เจินเหยียนได้สติคืนมาทันที ในดวงตาปรากฏแววเยียบเย็นพาดผ่านไป เอ่ยพึมพำ “ไม่ผิด เจ้าว่าผู้ใดคิดกลั่นแกล้งตระกูลปั๋วของเราหรือ”