ตอนที่ 1
ตอนที่ 1 ตกน้ำในสวนดอกหลี
ต้นไม้เรียงรายแน่นขนัด ดอกหลี[1] ชูช่อเบียดเสียดซ้อนทับคล้ายปุยเมฆที่ปูลาดเต็มท้องนภาก็มิปาน แสงแห่งวสันต์อันอบอุ่นลอดทะลุช่องว่างระหว่างใบไม้ลงมา ขับเน้นให้หญ้าสีเขียวขจียิ่งเพิ่มความเขียวสดขึ้นไปอีก ดรุณีบางกลุ่มเดินนวดนายอยู่ บ้างพูดคุยหัวร่อต่อกระซิก บ้างเหม่อมองชมบุปผา บางส่วนนั่งพักเท้ากระจัดกระจายอยู่ใต้ต้นหลี ทั้งหมดล้วนสวมอาภรณ์สีสันงดงาม ทำให้สวนดอกหลีที่ชูช่อปานหิมะหยกแห่งนี้สาดแสงเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น
เพียงแต่วันนี้ ใจของดรุณีน้อยวัยสิบสามสิบสี่จำนวนหนึ่งกลับมิได้จดจ่ออยู่ที่การชมบุปผา สายตาคล้ายสอดส่องคล้ายมิสอดส่องผ่านเลยสวนหลีไป แม้จะมองสิ่งใดไม่ชัดเจน แต่กลับมีเสียงพูดคุยแผ่วเบาของบุรุษลอยมาจากฝั่งตรงข้าม
สวนดอกหลีในจวนของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่[2] เป็นสถานที่อันมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวง ทุกปีที่ดอกหลีบานจะต้องจัดงานชมบุปผา ผู้ที่ได้รับเชิญมาไม่มีผู้ใดมิใช่สตรีบรรดาศักดิ์สูงส่ง
หนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ หานมู่อวี่บุตรชายคนที่สองของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่เข้าร่วมการสอบชุนเหวย[3] คิดไม่ถึงว่ากลับมีชื่อ แม้จะได้ลำดับรองสุดท้ายก็ตาม แต่ด้วยอายุของเขา มิต้องกล่าวถึงในหมู่สหายตระกูลสูงศักดิ์ด้วยกัน แม้ในตระกูลบัณฑิตก็ยังหาได้ยากยิ่ง
คุณชายรองหานจึงฉวยโอกาสในการจัดงานชมบุปผานี้เชิญสหายสนิทอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจำนวนไม่น้อยมาร่วมงานต่อบทกลอนซึ่งห่างจากเหล่าดรุณีน้อยแค่เพียงหนึ่งกำแพงต้นหลีกั้นเท่านั้น
ในยุคราชวงศ์ต้าโจวนี้ประชาชนล้วนเปิดกว้าง กฎเกณฑ์ที่มีต่อหนุ่มสาวแรกรุ่นนั้นก็มิได้มากมายเท่าในอดีต ทั้งยังมีป่าต้นหลีกั้นไว้อีก จึงมินับว่าฝ่าฝืนกฎแต่อย่างใด
บรรดาฮูหยินทั้งหลายกลับตื่นเต้นดีใจยิ่งกว่า ต่างอาศัยงานชมบุปผาและงานต่อบทกลอนนี้สอดส่องดูชนรุ่นหลังของตระกูลต่างๆ ไม่แน่ว่าบุตรสาวของตนอาจได้พบวาสนาที่ร่วงหล่นอยู่ที่นี้ก็เป็นได้
“พี่ชิงเยี่ยน สวนดอกหลีนี้ช่างงดงามเหลือเกินจริงๆ ทั่วเมืองหลวงคงมิอาจหาที่ใดเทียบเคียงได้เพคะ” ดรุณีน้อยสวมอาภรณ์สีชมพูหม่นยิ้มแย้มหวานล้ำ มองฉงสี่เซี่ยนจู่[4] ที่ถูกสตรีแน่งน้อยทั้งหลายล้อมไว้ให้อยู่ตรงกลาง
ฉงสี่เซี่ยนจู่เป็นธิดาเพียงหนึ่งเดียวในเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ พระนามชิงเยี่ยน ทั้งได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิเป็นอย่างยิ่งจึงถูกแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นเซี่ยนจู่อย่างที่มิเคยมีมาก่อน
ดรุณีน้อยอาภรณ์เหลืองผลซิ่ง[5] ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วค่อยๆ รั้งดึงตัวดรุณีน้อยอาภรณ์สีชมพูหม่นไว้ นอกจากสีเสื้อผ้าที่ต่างกันแล้ว หน้าตาของทั้งสองกลับเหมือนกันอย่างยิ่ง
ฉงสี่เซี่ยนจู่กวาดตามองดรุณีน้อยทั้งสองคราหนึ่ง ความรำคาญสายหนึ่งโบยบินจากไปอย่างรวดเร็ว สายตาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของดรุณีน้อยอาภรณ์สีชมพู พลางเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คุณหนูหกสกุลเจินชมเกินไปแล้ว”
กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืนเอ่ยขออภัยเหล่าสาวน้อยทั้งหลายที่รายล้อมรอบกายตนแล้วเดินตรงไปข้างหน้าเพียงลำพัง เหล่าสาวน้อยทั้งหลายก็ได้แต่มองหน้ากันไปมา สายตาที่มองไปยังดรุณีน้อยอาภรณ์ชมพูนั้นแฝงไว้ด้วยความเยาะหยัน
ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าฉงสี่เซี่ยนจู่นั้นอารมณ์ปรวนแปรอย่างยิ่งเพียงใด หากคนผู้นั้นเข้าตานาง ย่อมมีความดีนับพันนับหมื่น หากนางมิอยากพบพาน ต่อให้เป็นองค์หญิงก็คร้านจะพูดด้วยแม้สักประโยค
คุณหนูหกสกุลเจินผู้นี้ช่างน่าขันเสียจริง แค่อาศัยว่าคุณหนูใหญ่สกุลเจินได้เข้าพิธีวิวาห์กับบุตรชายคนโตของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ไปเมื่อปีที่แล้วเท่านั้น ก็คิดจะเรียกขานพี่สาวน้องสาวกับฉงสี่เซี่ยนจู่แล้ว
คุณหนูหกสกุลเจินมาจากจวนเจี้ยนอานปั๋ว มีชื่อเพียงพยางค์เดียวคืออวี้ ส่วนดรุณีน้อยอาภรณ์สีเหลืองผลซิ่งคือพี่สาวฝาแฝดของนางนามว่าเจินปิง
เจินอวี้อายุเพียงสิบสองปีเท่านั้น จิตใจมิได้มีเล่ห์เหลี่ยมอันใดนัก เมื่อรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มเยาะหยันจากดรุณีน้อยทั้งหลาย ขอบตาก็แดงเรื่อขึ้นมาทันที กัดริมฝีปากตนคิดเอ่ยบางอย่างออกมา
เจินปิงบีบมือนางไว้ เอ่ยเสียงต่ำว่า “น้องหก เรามิคุ้นเคยกับฉงสี่เซี่ยนจู่ เจ้าเรียกขานว่าพี่สาวเช่นนั้นออกจะกะทันหันไปแล้ว หากยังจะโต้แย้งกับพวกนางอีกมิยิ่งสร้างจุดอ่อนให้ผู้อื่นโจมตีหรอกหรือ”
“ผู้ใดจะคาดคิดว่านางจะหยิ่งยโสปานนั้น ฮึ มีอันใดดีนักหนาเล่า...”
ในขณะที่สองพี่น้องกำลังก้มหน้ากระซิบกระซาบกันอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นด้านหน้าตนจึงอดเงยหน้าขึ้นมองมิได้
ดรุณีน้อยทั้งหลายต่างตะลึงกันไปหมดแล้ว
“มีเหตุอันใดจึงได้ดูลนลานกันถึงเพียงนี้! ” ฉงสี่เซี่ยนจู่เห็นเหล่าสาวใช้ลนลานวิ่งกันจ้าละหวั่นจึงเอ่ยถามเสียงเย็นเยียบ
ภายใต้ความดุดันนี้ของฉงสี่เซี่ยนจู่ หญิงรับใช้ที่สวมเสื้อกั๊กยาวปี๋จย่า[6] สีเขียวพูดจาตะกุกตะกักออกมาว่า “เซี่ยนจู่ แย่...แย่แล้ว...มีคนตกน้ำที่ทะเลสาบจิ้งหย่วนเจ้าค่ะ! ”
“เป็นผู้ใด”
“บ่าว...บ่าวไม่ทราบ รู้เพียงว่าเป็นคุณหนูและคุณชายคู่หนึ่งตกลงไปในน้ำพร้อมกัน จึงรีบมารายงานต่อเซี่ยนจู่ทันทีเจ้าค่ะ”
ครานี้ ผู้คนทั้งหลายต่างส่งเสียงกระซิบกระซาบ
สีหน้าของฉงสี่เซี่ยนจู่ย่ำแย่ลงไปทันที ไม่ว่าอย่างไรนี้ก็เป็นงานชมบุปผาที่จั่งกงจู่จัดขึ้น ต่อให้ราชวงศ์ต้าโจวจะเปิดกว้างเพียงใด แต่เมื่อเกิดเรื่องบุรุษและสตรีตกน้ำลงไปด้วยกันเช่นนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่อัปยศมากอยู่เช่นเดิม
ยามนี้จึงกำชับสาวใช้ข้างกายว่า “ปี้ชุ่ย เจ้าไปดูที”
หญิงรับใช้ที่สวมเสื้อกั๊กยาวปี๋จย่าสีเขียวตอบรับคำแล้วรีบเร่งฝีเท้าไปยังทะเลสาบจิ้งหย่วน
สุดเขตของป่าต้นหลีก็คือทะเลสาบจิ้งหย่วน ทะเลสาบกว้างใหญ่ ด้านบนมีสะพานข้ามทะเลสาบสายหนึ่งทอดยาวอยู่ หากไปยืนชมวิวทิวทัศน์บนนั้นย่อมงดงามเป็นที่สุด
เพียงแต่วันนี้คุณชายรองหานได้จัดงานต่อบทกวีที่ฟากหนึ่งของป่าต้นหลี หากเดินเลียบไปตามน้ำก็อาจพบเข้ากับบุรุษหนุ่ม สตรีผู้รู้ในมารยาทไม่มีทางเดินไปด้านนั้นเด็ดขาด
ฉงสี่เซี่ยนจู่พิงหลังเข้ากับต้นหลีต้นหนึ่ง ม่านตาหรี่ลงเล็กน้อยเพื่อปกปิดแววเยาะหยัน
มิทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้จะทำให้ผู้ใดสมปรารถนา
เหล่าดรุณีน้อยที่อยู่ตรงนี้แม้อายุมิได้มาก ทว่าได้เห็นได้ฟังในเรือนตนมาตั้งแต่เยาว์วัยจึงพอทราบเรื่องราวอันซับซ้อนเช่นนี้อยู่ไม่น้อย แต่ละคนหากไม่แสดงสีหน้าเย้ยหยันก็พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
“วันนี้มีละครฉากสนุกให้ดูแล้ว ไม่ทราบว่าคุณชายท่านใดตกน้ำ คงมิใช่คุณชายรองหานกระมัง” ผู้ที่เอ่ยวาจาคือจางเฉาหวาหลานสาวของรองเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งกรมขุนนาง
“น้องเฉาหวาเหตุใดจึงคาดเดาว่าเป็นคุณชายรองหานเล่า” คุณหนูรองหยางชิงแห่งจวนหย่งจยาโหวกดเสียงต่ำเอ่ยถาม
จางเฉาหวายิ้มหยันพลางกล่าวว่า “ยังต้องคิดอันใดอีก ในเมื่อใช้แผนการหน้าไม่อายเช่นนี้แล้ว จะไม่เลือกบุคคลที่ดีที่สุดหรอกหรือ”
มีเสียงหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นว่า “หากบอกว่าดีที่สุด ก็คงมิได้มีเพียงคุณชายรองหานหรอกกระมัง ได้ยินว่าซื่อจื่อ[7] ของเจิ้นกั๋วกง[8] ก็อยู่ที่นี่ในวันนี้ด้วย”
เมื่อกล่าวถึงซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกง เหล่าดรุณีน้อยทั้งหลายต่างเงียบกริบ
บรรดาศักดิ์กงเป็นบรรดาศักดิ์ขั้นที่หนึ่ง ยศฐาบารมีนั้นมิต้องกล่าวถึง แค่รูปโฉมและท่าทางของซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงก็เพียงพอให้สาวน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนเผลอใจให้แล้ว
“เพียงแต่...แม้ซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกงจะดีไปหมดเสียทุกอย่าง ทว่าชะตาชีวิตก็มินับว่าดีนัก มิต้องพูดถึงการสูญเสียบิดามารดาตั้งแต่เยาว์วัย การหมั้นหมายติดต่อกันสองครั้งนั้น คู่หมั้นยังมิทันได้ออกเรือนก็สิ้นเสียแล้ว”
เมื่อพบเข้ากับเรื่องราวเช่นนี้ ทั้งยังเป็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งหมด ครั้นได้พูดคุยกันจึงลืมความหวั่นเกรงไปชั่วครู่
เจินอวี้เป็นผู้ปรับตัวเข้าได้กับทุกสถานการณ์จึงเริ่มพูดคุยสนทนากับดรุณีน้อยที่คุ้นเคยกัน
เจินปิงกลับขมวดคิ้วครุ่นคิด สีหน้ายิ่งมายิ่งย่ำแย่ ในที่สุดก็อดที่จะลากเจินอวี้เข้ามากระซิบไม่ได้ว่า “น้องหก เจ้าเห็นพี่สี่หรือไม่”
เจินอวี้ตะลึงงันไป กล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ก่อนหน้านี้มิใช่บอกว่าสวมอาภรณ์มามากไป รู้สึกร้อนอบอ้าวจึงเดินไปรับลมด้านนั้นหรอกหรือ”
พูดพลางคางก็พยักเพยิดชี้ไปด้านหน้า หลังจากนั้นร่างก็พลันแข็งค้างไป
สองพี่น้องต่างมองสบตากัน ทั้งสองล้วนมองเห็นความตระหนกและหวาดหวั่นในดวงตาของอีกฝ่าย
แย่แล้ว คนที่ตกน้ำคงมิใช่...
คนทั้งสองกำลังตกใจและสงสัยไม่แน่ใจ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังใกล้เข้ามา
ปี้ชุ่ยก้าวเท้าน้อยๆ วิ่งเข้ามาข้างกายฉงสี่เซี่ยนจู่ กระซิบข้างหูไม่กี่ประโยค
ฉงสี่เซี่ยนจู่ใช้สายตาดุจคมมีดกวาดมองสองพี่น้องสกุลเจิน แล้วเอ่ยต่อผู้คนทั้งหลายว่า “ทุกท่าน โปรดตามข้าไปนั่งพักที่ศาลารับรองเถิด”
เมื่อเห็นฉงสี่เซี่ยนจู่มิได้พูดสิ่งใด ดรุณีน้อยที่ค่อนข้างใจร้อนจึงสอบถามเอากับสาวใช้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ฉงสี่เซี่ยนจู่เห็นแล้วก็มิได้เอ่ยสิ่งใด เรื่องเช่นนี้ เดิมก็มิอาจปิดบังเอาไว้ได้อยู่แล้ว ไม่เกินพรุ่งนี้ย่อมต้องแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง
ดังคาด ในช่วงเวลาที่ทุกคนออกจากวังของจั่งกงจู่นั้น เหล่าดรุณีน้อยต่างทราบกันทั่วว่าผู้ที่ตกน้ำนั้นคือคุณหนูสี่เจินเมี่ยวแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋วและซื่อจื่อของเจิ้นกั๋วกง
“คนผู้นี้ช่างมิรู้จักละอายใจบ้างเลย ทำให้พวกเราอับอายขายหน้าหมดแล้ว! ” เจินอวี้ใบหน้าซีดขาว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยออกมา
เจินปิงนิ่งเงียบไร้วาจาจะเอ่ย ทว่าสีหน้ากลับย่ำแย่อย่างที่สุดเช่นเดียวกัน
คนของจวนตระกูลเจินนำตัวคุณหนูสี่สกุลเจินที่ยังหมดสติ ใบหน้าดำคล้ำกลับจวนไปแล้ว
------
[1] ดอกหลี คือดอกของต้นสาลี่ เป็นพืชเมืองหนาว ถิ่นกำเนิดในภาคตะวันตกของจีน มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้น ต้นชะลูด ทรงพีระมิด ดอกสีขาว ออกเป็นช่อ ผลมีหลายสี ตั้งแต่เหลือง แดงอมส้ม น้ำตาล เขียว
[2] จั่งกงจู่ เป็นบรรดาศักดิ์ที่องค์จักรพรรดิแต่งตั้งแก่องค์หญิงซึ่งเป็นพระธิดา พระขนิษฐา หรือพระเชษฐภคินี เทียบศักดิ์ได้กับอ๋องครองแคว้น
[3] การสอบชุนเหวย เป็นการสอบคัดเลือกขุนนางในรัชสมัยถัง-ซ่ง เทียบเคียงได้กับการสอบเคอจวี่ของรัชสมัยหมิง-ชิง เพราะการสอบนี้จัดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ จึงเรียกว่า การสอบชุนเหวย
[4] ฉงสี่เซี่ยนจู่ เซี่ยนจู่เป็นตำแหน่งบรรดาศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์หญิงหรือท่านหญิง ซึ่งเป็นพระปนัดดาในองค์จักรพรรดิ พระราชทินนามฉงสี่ แปลว่าความยินดีที่เพิ่มทวีอีกเท่าตัว
[5] ผลซิ่ง คือเอพริคอต
[6] เสื้อกั๊กยาวปี๋จย่า คือเสื้อกั๊กปั้นปี่ในยุคราชวงศ์สุย-ถัง พอถึงสมัยหมิงก็ถูกปรับปรุงให้กลายเป็นเสื้อกั๊กที่ไม่มีแขนและคอเสื้อ สาบเสื้อตรง ยาวถึงเข่า ภายหลังกลายมาเป็นเสื้อนอกที่ใส่ประจำวันของบรรดาสาวรุ่น
[7] ซื่อจื่อ ตำแหน่งผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์จากผู้เป็นบิดา
[8] กง เป็นตำแหน่งบรรดาศักดิ์ของขุนนางในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ที่สูงที่สุด รองลงมาคือโหว ปั๋ว จื่อ หนาน