icon member

อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 9

ตอนที่ 9 ห้าปีต่อมา กลายร่าง

หลังอาหารเย็น

ตงป๋อเสวี่ยอิงและชิงสือน้องชาย ยังมีจงหลิงและถงซานนั่งพร้อมหน้ากันอยู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบลูกแก้วผลึกขนาดใหญ่เท่าลูกแตงโมออกมาจากห่อผ้าด้านข้าง นี่ก็เป็นของที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้เช่นกัน

“ท่านพี่ นี่คืออะไรกัน สวยจัง” ชิงสือผู้น้องรูปงามน่ารัก หากกล่าวว่ารูปโฉมของตงป๋อเสวี่ยอิงละม้ายคล้ายบิดา เช่นนั้นรูปโฉมของน้องชายก็ละม้ายคล้ายมารดา มองปราดเดียวก็รู้ว่า อนาคตต้องเป็นหนุ่มน้อยรูปหล่อแน่นอน ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นความหล่อเหลาสู้น้องชายไม่ได้

“มา เจ้าก้อนหิน เอามือวางไว้ข้างบน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“อื้อ” ชิงสือวางมือน้อย ๆ ลงไปข้างบนอย่างเชื่อฟัง

ฝ่ามือสัมผัสกับลูกแก้วผลึก จิตวิญญาณที่บรรจุอยู่ภายในร่างกายคนเคลื่อนไหว ก็ย่อมก่อให้เกิดปฏิกิริยาในลูกแก้วผลึก เห็นเพียงลูกแก้วผลึกเปล่งแสงสีแดงสดเรืองรองขึ้นมาทันที แสงนั้นส่องสว่างไปทั่วห้อง

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทุกคนเผยสีหน้ายินดี

“ท่านพี่ ทำไมจึงมีแสงได้เล่า” ชิงสือแปลกใจ

“ท่านปรมาจารย์เวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ มาหอมทีหนึ่งสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุ้มน้องชายพลางหอมอย่างดีใจ

ปรมาจารย์เวทย์และอัศวินนั้นไม่เหมือนกัน

อัศวินจำเป็นต้องเริ่มฝึกฝนตั้งแต่เล็ก เหมือนที่สำนักวายุกำหนดขีดสุดไว้ อายุมากที่สุดได้เพียงสิบปีเท่านั้นเอง แต่ปรมาจารย์เวทย์กลับตรงข้ามกัน...ตอนยังเด็กนั้นไม่สามารถฝึกฝนได้ มีบางคนถึงขั้นสิบหกสิบเจ็ดหรือแม้กระทั่งเกินยี่สิบจึงเริ่มต้นฝึกฝน ขีดสุดที่สำนักวายุเปิดรับปรมาจารย์เวทย์คือสามสิบปีเต็ม

ก่อนอายุสามสิบก็ล้วนเข้าสำนักได้

เพราะว่าปรมาจารย์เวทย์นั้นมีข้อกำหนดเรื่องแนวคิดสูงมาก โดยเฉพาะตอนฝึกนั้นต้องดึงเอาวิญญาณเข้ามาเกี่ยว หากอายุน้อยไปแล้วมาฝึกมั่ว ๆ ล่ะก็  อาจทำให้วิญญาณเสียหายจนถึงขั้นเสียสติไปได้ หากอายุมาก ประสบการณ์ก็มากแล้ว ผ่านคืนวันมามาก ผู้ที่อายุสี่ห้าสิบปีจึงเริ่มต้นฝึกจนสุดท้ายประสบความสำเร็จอย่างยิ่งถึงขั้นก้าวเข้าสู่ชีวิตเหนือธรรมดานั้นก็มี

*****

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าปีแล้ว

“ฟิ้วๆๆ”  หิมะขาวราวขนห่านพัดปลิว

หนุ่มน้อยผู้สวมอาภรณ์สีดำยืนอยู่หน้าระเบียง มองไปยังเกล็ดหิมะที่ลอยอยู่เต็มฟ้า เส้นโครงหน้าของเขาคมกริบปานใช้มีดสลัก การฝึกฝนมานานปีทำให้เขามีท่วงทีที่น่าคร้ามเกรง นี่คือท่วงทีที่ยอดฝีมือวิถีหอกยาวควรจะมี

“ท่านพี่”

เด็กชายสวมเสื้อผ้าหนาเตอะคนหนึ่งตะโกนเรียกเสียงสูงจากที่ไกลๆ

“ชิงสือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มทีหนึ่ง จากที่สูงกว่าหกเมตร เขาถลาทีเดียวก็ลงมายืนบนพื้นหิมะหนาด้านล่าง บัดนี้น้องชายก็โตแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเปลี่ยนคำเรียกน้องชายเป็นเรียกชื่อ “ชิงสือ” โดยตรง ไม่ใช่ชื่อเล่นอย่าง “ศิลา” เหมือนตอนเด็กอีกต่อไป 

“ท่านพี่ พวกเราไปเที่ยวเมืองอี๋สุ่ยกันเถอะ เมืองอี๋สุ่ยมีที่เที่ยวสนุก ๆ เยอะแยะ อยู่บ้านอึดอัดแทบแย่ น่าเบื่อชะมัด” ตงป๋อชิงสือพูดอย่างตื่นเต้น

“เจ้าให้ท่านอาจงไปเป็นเพื่อนเจ้าเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพูด

“ท่านชอบอยู่แต่ในดินแดนอินทรีหิมะ ปี ๆ หนึ่งหาได้ยากยิ่งที่จะออกไปนอกเมืองสักครั้ง ไม่อึดอัดบ้างหรือ”  ตงป๋อชิงสือพึมพำ

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม ไม่พูดอะไร

น้องชายไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับท่านพ่อท่านแม่อีกแล้ว ยิ่งจำเรื่องราวในคืนนั้นที่ท่านพ่อท่านแม่ถูกจับไปไม่ได้ ใช้ชีวิตอย่างไร้ทุกข์กังวล

“ข้าขอฝึกวิถีหมัดอีกสักหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางถอดเสื้อตัวบนออก เผยให้เห็นร่างกายท่อนบน เมื่อสวมเสื้ออยู่นั้นก็ยังมองไม่ออก แต่เมื่อถอดออกมาก็รู้สึกถึงร่างกายกำยำนั้นได้ในทันใด เห็นได้ชัดว่าการตรากตรำฝึกฝนมานานปีทำให้ร่างกายเขากำยำขึ้นจนน่าตกใจ

พูดไปตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่ำพื้นหิมะ เริ่มฝึกวิถีพรางอัคนีสามขั้นซึ่งเป็นทั้งวิถีการต่อสู้และเป็นวิถีหมัดด้วยในขณะเดียวกัน

เกล็ดหิมะร่วงลงต้องผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ละท่วงท่านั้นล้วนตอบสนองต่อฟ้าดินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“ท่านค่อย ๆ ฝึกไปนะ ข้าไปเที่ยวล่ะ” ชิงสือเหาะออกไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับฝึกฝนวิถีหมัดไม่หยุดอยู่ท่ามกลางหิมะปลิวว่อนเต็มฟ้า ทุกท่วงท่าดูเชื่องช้า พลังในร่างกายถ่ายทอดได้พลิ้วไหวราวกับสายน้ำไหล

ในปีที่อายุได้สิบสามนั้น เคล็ดวิถีหอกยาวก็ถึงขั้น “คนและหอกรวมเป็นหนึ่ง” แล้ว

แต่นี่ยังไม่พอ...ยังต้องให้พลังทั้งกายสมบูรณ์ดุจเป็นหนึ่งเดียวกัน ต้องสามารถควบคุมพลังทุกสายได้อย่างละเอียดแม่นยำ จึงจะมีคุณสมบัติพอจะเรียกว่า “ปรมาจารย์แห่งวิถีหอกยาว” ได้ แล้วจึงจะสามารถฝึกวิถีหอกยาวมวลน้ำแข็งขั้นแรกคือรุนแรงดั่งหิมะปลิวได้สำเร็จ

สองปีมานี้เขามักจะฝึกหมัด เพื่อหยั่งรู้ตนเอง ค้นพบแสงสว่างท่ามกลางความเงียบสงบนั้น ปรารถนาให้พลังในกายสมบูรณ์ดุจเป็นหนึ่งเดียวกัน 

“จวนแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อย ๆ สัมผัสได้ว่าขีดสุดของพลังทั้งกายจวนจะสมบูรณ์ดุจเป็นหนึ่งเดียวกัน 

ตั้งแต่ปีที่อายุได้หกขวบ จนถึงตอนนี้ฤดูหนาวของปีที่อายุสิบห้า ฝึกหอกยาวจวนจะสิบปีแล้ว ระดับความหนักในการฝึกของเขานั้น เกรงว่าจะยิ่งกว่าคนทั่วไปฝึกยี่สิบสามสิบปีเสียอีก

“เรื่องวิถีหอกยาวนั้นไม่ต้องห่วงแล้ว แต่ทำไมจนถึงวันนี้พลังการต่อสู้ของข้าจึงยังไม่ก่อกำเนิดอีกเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบหอกยาวด้ามหนึ่งที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาแล้วเริ่มแสดงวิถีหอกยาวตามใจชอบ เห็นเพียงหอกยาวเล่มนั้นและตงป่อเสวี่ยอิงแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน หอกยาวดุจมังกร พุ่งทะยานยิ่งใหญ่ เมื่อแทงหอกยาวออกไป เงาหอกนับไม่ถ้วนก็แผ่คลุมไปทั่ว เมื่อวาดหอกตามขวาง ยิ่งทรงพลังยากเกินต้านทาน

ตามที่คาดไว้ตอนแรก เมื่ออายุสิบปีพลังการต่อสู้ก็ควรจะก่อกำเนิดแล้ว อายุสิบห้าก็ควรก้าวขึ้นไปเป็นอัศวินชั้นดินแล้ว

แต่ในความเป็นจริงเล่า

กลับมิอาจก่อกำเนิดพลังการต่อสู้แล้วกลายเป็นอัศวินได้ตลอดมา

พวกตงป๋อเสวี่ยอิง จงหลิงและถงซานล้วนไม่เคยสิ้นหวัง กลับรู้สึกแปลกใจด้วยซ้ำ

เพราะตามหลักวิถีการต่อสู้…ก็คือหลังจากดูดซับพลังฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงร่างกายจนร่างกายไปถึงขีดจำกัด ไร้ทางดูดซับได้อีกแล้ว พลังเหล่านี้จะก่อเกิดเป็นพลังการต่อสู้ในร่างกาย

ในปีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอายุสิบปีนั้น พลังร่างกายของเขาก็มากเกินกว่าขีดจำกัดของคนธรรมดาแล้ว ห้าปีต่อจากนั้น ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอด...ดูดซับพลังฟ้าดินมาตลอด จึงเป็นเหตุให้ก่อกำเนิดพลังการต่อสู้ไม่ได้เสียที

“แท้จริงแล้วเป็นเพราะเหตุอันใดกันแน่”

“บัดนี้ร่างกายของข้าแข็งแกร่งกว่าคนปกตินับสิบเท่า นึกไม่ถึงว่ายังคงดูดซับพลังฟ้าดินอยู่อีก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลกใจ

เรื่องเช่นนี้ พวกจงหลิงที่รู้เห็นอะไรมามากก็ยังไม่เข้าใจสาเหตุเอาเสียเลย

“ปัง”

ทันใดนั้น หอกยาวก็ผ่าลงไปที่พื้น เจาะลงกลางแผ่นหินใต้กองหิมะแล้วสะท้อนกลับพุ่งไปข้างหน้า ทำให้เกิดเสียงหวีดแหลมน่ากลัว

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังแสดงวิถีหอกยาวอยู่นั้นรู้สึกว่าส่วนที่ลึกและละเอียดอ่อนที่สุดในกายเริ่มคันยิบขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บหอกยาวขึ้นมา ส่วนลึกที่สุดของกระดูกทุกชิ้นในร่างกายล้วนคันยิบ กล้ามเนื้อทุกส่วนล้วนคันยิบ อาการคันเช่นนี้แม้จะอาศัยความอดทนของเขาก็ยังรู้สึกเหลือทน ต่อมาทุกส่วนของร่างกายเขาก็ล้วนเริ่มร้อนแผดเผาราวกับถูกไฟไหม้ กระดูกนั้นราวกับมอดไหม้ไปแล้ว ผิวหนังของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดแล้วเริ่มแกร่งกล้าขึ้น ใต้ผิวหนังเริ่มเกิดพังผืดขึ้นมาชั้นหนึ่ง

ร่างกายท่อนบนที่เปลือยอยู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงมีไอสีแดงโลหิตจางๆปรากฏขึ้น ท่ามกลางความเลือนราง ดูคล้ายกับลักษณะยักษ์สูงตระหง่าน

ระหว่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตกอยู่ในภวังค์นั้นได้ “มองเห็น” ยักษ์สูงตระหง่านสวมกระโปรงหนังสัตว์ เงยหน้าร้องคำรามอยู่บนผืนดินอ้างว้าง

จางหายไปพร้อมไอสีแดงโลหิตนั้น

แต่ความเปลี่ยนแปลงภายในกายของตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก

“อา”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะกดความเจ็บปวดไว้ไม่ได้อีกต่อไป เขาทรุดลงคุกเข่า สองมือยึดพื้นเอาไว้ ไอร้อนแผดเผาจากผิวกายทำเอาหิมะที่กองอยู่รอบกายนั้นเริ่มละลาย

อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด