ตอนที่ 31
ตอนที่ 5 ข่งโยวเยวี่ย
ภาคที่ 2 ตระกูลซือแห่งตำบลชิงเหอ
ข่าวที่ปรมาจารย์เวทย์ไป๋หยวนจืออาศัยอยู่บนภูเขาศิลาหิมะ แพร่สะพัดไปทั่วเมืองอี๋สุ่ยอย่างรวดเร็ว
ณ ทางเขาบนภูเขาศิลาหิมะ
“หยุดนะ” บนทางเขามีด่านอยู่ ปราการเมืองศิลาหิมะนั้น ไม่ใช่ว่าใครก็ไปได้ ทหารกลลุ่มหนึ่งมองไปยังเหล่าหนุ่มสาวเยาว์วัยที่มาถึงหน้าด่าน หนุ่มสาวเหล่านี้แต่งกายเรียบง่าย ท่าทางก็ธรรมดา เมื่อมองก็เหมือนสามัญชนทั่วไป
“มาทำอะไร” ทหารนายหนึ่งแค่นเสียงถาม
“พี่ชายทั้งหลาย” หญิงสาวที่หน้าตาค่อนข้างสวยเอ่ย “พวกเราได้ยินมาว่าท่านปรมาจารย์เวทย์อาศัยอยู่บนภูเขาศิลาหิมะ จึงอยากมาขอพบท่านเสียหน่อย หวังว่าจะสามารถคารวะท่านปรมาจารย์เวทย์แล้วฝากตัวเป็นศิษย์ในสำนักท่านได้”
“ใช่แล้ว “พี่ชายทั้งหลาย เปิดทางเถิด เปิดทางเถิด ให้พวกเราไปพบท่านปรมาจารย์เวทย์เถิด” คนวัยเยาว์เหล่านี้พูด
พวกเขายังเยาว์วัยนัก ต่างก็มีความหวังต่ออนาคตเต็มเปี่ยม
นักเวทย์มีฐานะสูงส่งเพียงใด พวกเขาก็อยากเป็นนักเวทย์มากเช่นกัน
“ฮึฮึ” นายกองวัยกลางคนร่างผอมซูบผู้รับผิดชอบด่านนี้ยิ้มหยัน “เพื่อนตัวน้อยทั้งหลาย ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อยว่า พวกเจ้ามีพรสวรรค์นักเวทย์หรือไม่”
“ไม่รู้สิ”
“ท่านปรมาจารย์เวทย์ได้พบพวกเราก็จะรู้เองว่าพวกเรามีพรสวรรค์หรือไม่”
หนุ่มสาวเหล่านี้พูดต่อ
“น่าขันนัก” ชายวัยกลางคนร่างผอมซูบยิ้มหยัน “เวลาของท่านปรมาจารย์เวทย์ล้ำค่าเพียงใด ไหนเลยจะมาพบพวกเจ้าได้ง่ายๆ อีกทั้งตัวเองมีพรสวรรค์นักเวทย์หรือไม่พวกเจ้าก็ยังไม่รู้ก็มานี่แล้ว พวกเจ้าคิดว่าท่านปรมาจารย์เวทย์จะมาตรวจสอบให้พวกเจ้าทีละคนอย่างนั้นหรือ”
“ไม่แน่ว่าในหมู่พวกเราอาจมีคนที่พรสวรรค์สูงส่งมาก ท่านปรมาจารย์เวทย์ชมชอบมากก็เป็นได้” หญิงสาวคนหนึ่งสวนขึ้นทันควัน
“พอแล้ว พอแล้ว” ทหารวัยกลางคนผู้นี้ส่ายศีรษะ “ไปเสียเถอะ ไปเสียเถอะ หลายวันมานี้ข้าพบคนหนุ่มสาวที่ชอบเพ้อฝันเช่นพวกเจ้ามาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว หนุ่มสาวเอ๋ย มองความเป็นจริงให้ชัดเถิด ตอนนั้นท่านอาอย่างข้าตั้งใจเข้าร่วมกองทัพเพื่อศึกษาพลังการต่อสู้ ได้ผ่านความเป็นความตายมาไม่รู้ตั้งกี่หน พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ท่านปรมาจารย์เวทย์จะรับพวกเจ้าเป็นศิษย์เช่นนั้นหรือ”
“ขอบอกพวกเจ้าตามตรงว่า ท่านปรมาจารย์เวทย์ออกคำสั่งมาตั้งนานแล้วว่าจะไม่พบแขกหน้าไหนทั้งสิ้น ขนาดชนชั้นสูงท่านยังไม่ยอมพบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเจ้าแล้ว” ทหารวัยกลางคนพูด
“อา”
คนหนุ่มสาวนี้มองหน้ากันไปมาอย่างจนใจ
เหล่าทหารที่รับผิดชอบรักษาการณ์นี้ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ย่อมไม่ปล่อยพวกเขาเข้าไปแน่ พวกเขาขอร้องอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
ผ่านไปไม่นานนัก
รถม้าคันหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามา หลังรถม้ามีทหารม้ากองใหญ่ติดตาม รถม้างามวิจิตร มีกระเบื้องประดับเป็นลวดลายเวทมนตร์ แม้รถม้าจะพุ่งทะยานเร็วกว่านี้ ตัวรถก็ยังนิ่ง มั่นคงอย่างไร้ที่ติ
“หยุดนะ” เหล่าทหารของแดนอินทรีหิมะแค่นเสียงพูดดังเดิม
“พวกเราคือตระกูลเฉาแห่งแดนเมฆมรกต เจ้านายของตระกูลเราอยากมาคารวะท่านเจ้าแดนของพวกเจ้า” สารถีผู้ขับรถม้าเปิดปากพูด
“ตระกูลเฉาแห่งแดนเมฆมรกตหรือ”
ทหารเหล่านี้มองหน้ากัน
ตระกูลใหญ่ในเมืองอี๋สุ่ยมีไม่มากนัก ตระกูลเฉาแห่งแดนเมฆมรกตก็จัดเป็นสิบตระกูลใหญ่ได้อย่างพอถูไถ ในตอนแรกเมื่อพลังของแดนอินทรีหิมะค่อนข้างอ่อนแอ ตระกูลเฉาก็ยังอ่อนแอกว่าอีกขั้นหนึ่ง บัดนี้เชื่อกันว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองอี๋สุ่ย ตระกูลเฉาและตระกูลตงป๋อก็ยิ่งห่างชั้นกันมากขึ้นแล้ว
“ทหารที่จะขึ้นไปบนเขานั้นห้ามเกินสิบนาย” นายกองวัยกลางคนร่างผอมซูบพูด “นี่คือคำสั่งที่ท่านเจ้าแดนสั่งลงมา ได้โปรดเข้าใจด้วย”
“เอ่อ...เรื่องนี้…” สารถีลังเลอยู่บ้าง
“ได้ เจ้าพาน พวกเจ้าห้าคนขึ้นเขาไปกับข้า คนอื่นรออยู่ตรงนี้แหละ” เสียงหนึ่งลอยออกมาจากในรถ
“ขอรับ”
อัศวินผู้แกร่งกล้าห้าคนที่เห็นได้ชัดว่าท่าทีไม่ธรรมดาติดตามรถม้าผ่านด่านขึ้นภูเขาไป
“พวกเราก็จะไปคารวะใต้เท้าเจ้าแดน ให้พวกเราขึ้นเขาเถอะ” หญิงสาวคนหนึ่งในหมู่หนุ่มสาวที่รอคอยอย่างไม่ยินยอมมาตลอดพูดเสียงแหลมขึ้นมาในทันที
“ฮึฮึ คารวะท่านเจ้าแดนของพวกเราหรือ ท่านปรมาจารย์เวทย์ไม่ยอมพบพวกเจ้า ท่านเจ้าแดนของพวกเราจะยอมพบพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ” ชายวัยกลางคนร่างผอมซูบส่ายหน้าพลางยิ้มหยัน “พอแล้ว ถอดใจเสียจะดีกว่า”
……
ช่วงก่อนถึงปีใหม่นั้น ปราการเมืองศิลาหิมะคึกคักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พวกสามัญชนที่อยากจะมาเสี่ยงโชคก็แล้วไป แต่ก็มีชนชั้นสูงในเขตแดนอี๋สุ่ยไม่น้อยมาเยี่ยมคารวะ เนื่องจากท่านปรมาจารย์เวทย์ไม่พบแขก พวกเขาจึงมาคารวะตงป๋อเสวี่ยอิงแทน คิดจะให้ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยให้ท่านปรมาจารย์เวทย์รับศิษย์ในนามสักคน พวกเขารู้สึกว่า...ในเมื่อท่านปรมาจารย์เวทย์ลงหลักปักฐานที่นี่ ย่อมต้องเห็นแก่หน้าท่านเจ้าแดนตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่หลายส่วน
แต่ทว่า...
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่พบแขกหน้าไหนเช่นกัน ล้วนเป็นจงหลิงที่ช่วยขัดขวางให้
ยามบ่าย
บ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งถลาไปยังหอไม้ไผ่ที่ภูเขาด้านหลัง แต่หอไม้ไผ่กลับว่างเปล่า มองไม่เห็นตงป๋อเสวี่ยอิง
“ใต้เท้าเจ้าแดนขอรับ ใต้เท้าเจ้าแดนขอรับ” บ่าวรับใช้ชายตะโกนเสียงแหลม
เสียงนั้นแพร่ออกไป...
ที่กึ่งกลางลาดเขาของภูเขาด้านหลัง น้ำพุแห่งหนึ่งไหลรินลงมาจากที่สูงกระทบกับบึงน้ำด้านล่าง ลำธารคดเคี้ยวสายหนึ่งไหลออกไปไกล
บนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งข้างบึงน้ำ ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังตั้งใจฟังเสียงน้ำพุด้านข้างอย่างใจจดใจจ่อ เขากำลังฝึกวิถีหมัดชุดหนึ่ง ซึ่งก็คือวิถีการต่อสู้ “วิถีพรางอัคนีสามขั้น” ขณะฝึกหมัด พลังซัดสาดไปทั่วร่าง ทุกกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นให้ความรู้สึกสวยงามกลมกลืน พลังทุกส่วนในร่างกายถูกปรับอย่างสมบูรณ์แบบ ดึงดูดพลังอัคนีระหว่างฟ้าดินอย่างเป็นธรรมชาติขึ้นมาได้
พลังอัคนีระหว่างฟ้าดินถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายอย่างต่อเนื่อง แปรเป็นพลังการต่อสู้พรางอัคนี
“หายใจเข้า...หายใจออก…”
ทุกกระบวนท่า ระหว่างหายใจเข้าออก ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกราวกับพรางอัคนีจำนวนนับไม่ถ้วนแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย เมื่อร่างกายดูดซับพลังจากภายนอกก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สายเลือดโบราณกาลของเขาเพิ่งจะตื่นรู้ได้ไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นพลังการต่อสู้หรือว่าร่างกาย ล้วนอยู่ระหว่างเติบโตอย่างรวดเร็ว ตงป๋อเสวี่ยอิงฝึกหมัดก็เพื่อจะควบคุมพลังทุกสายที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ให้ได้โดยสมบูรณ์แบบนั่นเอง
“ใต้เท้าเจ้าแดนขอรับ” เสียงหนึ่งพัดมาจากที่ไกลๆ
“ว่าอย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดลงในทันทีแล้วแหงนหน้าขึ้นมองข้างบน
“ชนชั้นสูงเหล่านั้นข้าล้วนไม่พบทั้งสิ้น เหตุใดจึงยังมาหาข้าอีกเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัยอยู่บ้าง พลางหยิบหอกเทพหิมะเหินติดมือขึ้นมา
สวบ สวบ สวบ
เขาแปลงเป็นเงามัวสายหนึ่ง หากให้คนธรรมดาดูแล้ว ก็จะรู้สึกเหมือนมีเงาสายหนึ่งแวบผ่านเท่านั้น แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา นี่ก็คือความเร็วที่น่ากลัวของผู้แกร่งกล้า
“สวบ” เงาร่างแวบขึ้นที่หน้าหอไม้ไผ่ แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปรากฏกายขึ้น
“เรื่องอันใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากถาม
บ่าวรับใช้ชายสะดุ้งโหยงที่ท่านเจ้าแดนปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อได้ยินเสียงท่านเจ้าแดนจึงตอบไปโดยพลันว่า “ใต้เท้าจงหลิงกำชับมาว่า ใต้เท้าข่งไห่สหายสนิทของท่านเจ้าแดนคนก่อนมาขอรับ เชิญท่านเจ้าแดนไปพบด้วย”
“ท่านอาข่งหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ
นอกจากท่านอาจงและท่านอาถงแล้ว สหายสนิทของท่านพ่อน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ในตอนนั้นเพราะเกิดภัยแล้งท่านปู่ของตนจึงขอหลบหนีมาถึงเมืองอี๋สุ่ย เนื่องจากท่านปู่มาจากต่างแดน เมื่ออยู่ในหมู่บ้านจึงถูกข่มเหงรังแก หลังท่านปู่เข้าป่าล่าสัตว์จนต้องทิ้งชีวิตแล้ว ท่านพ่อก็เข้าร่วมกองทัพอย่างไม่มีห่วงแม้แต่น้อย สุดท้ายก็ฝึกพลังการต่อสู้ได้สำเร็จ ระหว่างรอปลดประจำการก็ได้ผจญภัยระหว่างความเป็นความตายต่อไป
สหายของท่านพ่อซึ่งก็คือพวกที่อยู่ในกองทัพนั้นมีสองสามคน อีกทั้งเนื่องจากท่านพ่อผจญภัยอยู่ข้างนอกนานเกินไป ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อด้วยมานานแล้ว มีเพียง “ข่งไห่” เท่านั้นที่มาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ เมื่อตนยังเด็กก็ได้พบอยู่หลายครา หลังจากท่านพ่อท่านแม่ถูกจับไป ข่งไห่ก็ยังได้ทาเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งหลายปีมานี้ก็ยังส่งคนนำของขวัญปีใหม่มาให้ทุกปี ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะส่งคนนำของกลับไปให้ นับว่าเป็นการรักษามิตรภาพเอาไว้
หากแต่ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่ ข่งไห่ก็ไม่ได้มาด้วยตนเองนานแล้ว
“ฮ่าฮ่า เสวี่ยอิงเอ๋ย ไม่ได้เจอหลายปี เสวี่ยอิงได้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองอี๋สุ่ยของเราแล้ว ยอดเยี่ยมยิ่งนัก” ในโถงรับแขก เมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่เดินเข้ามา ชายวัยกลางคนร่างท้วมคนหนึ่งยืดกายขึ้นแล้วยิ้มให้
“ท่านอาข่งไห่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ายิ้มๆ
ข่งไห่แอบนึกเสียใจ
หลังเขาปลดประจำการจากกองทัพ ก็กลายเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง ไปทั่วทั้งแปดทิศ คบเพื่อนมากมาย ตงป๋อเลี่ยเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาเพื่อนมากมายของเขาเท่านั้นเอง หลังจากตงป๋อเลี่ยและภรรยาถูกจับตัวไป เขาเคยมายังปราการเมืองศิลาหิมะครั้งหนึ่งเพื่อปลอบตงป๋อเสวี่ยอิงและน้องชายวัยเยาว์ หลังจากนั้นก็ไม่ได้มาอีกเลย แต่ตามความเคยชินของคนค้าขายแล้ว...ก็ส่งคนนำของขวัญปีใหม่มาให้ตลอด เพื่อรักษามิตรภาพเอาไว้
ที่จริงแล้ว ทุกปีเขาล้วนส่งของขวัญปีใหม่จำนวนมากไปให้สหายทุกสารทิศ สำหรับสหายที่สำคัญแล้ว เขาล้วนต้องไปเยี่ยมถึงบ้านด้วยตนเอง
แต่ก่อนเขาไม่ค่อยใส่ใจลูกชายคู่นี้ที่สหายเก่าทิ้งไว้สักเท่าไหร่แล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงทำลายกองมีดโค้งอันน่าเกรงกลัวลงได้ด้วยพลังของตนคนเดียว ช่างเกินความคาดหมายเสียจริง
“มา โยวเยวี่ย มาพบท่านพี่เสวี่ยอิงของเจ้าเสียสิ” 的ข่งไห่ร่างอ้วนท้วมดึงมือหญิงสาวอาภรณ์สีเขียวข้างกายมา
“ท่านพี่เสวี่ยอิง” หญิงสาวอาภรณ์สีเขียวสะเทิ้นอาย
“โยวเยวี่ยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “เติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว ตอนยังเล็กข้าก็เคยพบกับเจ้า แต่เกรงว่าเจ้าคงจะจำไม่ได้เสียแล้ว ตอนนั้นเจ้ายังอายุเพียงสี่ห้าปีเท่านั้น”
ตอนเขายังเล็กเคยพบข่งโยวเยวี่ย นางเป็นธิดาคนโตของข่งไห่ เล็กกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงสามปี
“ข้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากรบกวนเจ้าเสียหน่อย” ข่งไห่พูด “โยวเยวี่ยนางมีพรสวรรค์นักเวทย์ ข้าอยากให้นางคารวะท่านปรมาจารย์เวทย์เป็นอาจารย์ ขอเพียงได้เป็นศิษย์ในนามก็พอแล้ว เงินห้าพันตำลึงทองที่ต้องใช้ในการคารวะท่านปรมาจารย์เวทย์นั้นข้าก็นำมาแล้ว แค่ศิษย์ในนามธรรมดาคนหนึ่ง…ท่านปรมาจารย์เวทย์คงใส่ใจนัก ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าช่วยออกหน้า เช่นนี้แล้วท่านปรมาจารย์เวทย์ย่อมให้ความสำคัญกับโยวเยวี่ยยิ่งขึ้นแน่นอน”
“อ้อ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ท่านอาข่งไห่วางใจเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ารับ
ท่านปรมาจารย์เวทย์รับศิษย์นั้น ต่อให้ตายก็ต้องเอาเงิน
ศิษย์ถ่ายทอดเอง ห้าหมื่นตำลึงทอง!
ศิษย์ในนาม ห้าพันตำลึงทอง!แน่นอนว่ารับจำนวนจำกัด
แต่ห้าหมื่นตำลึงทองนั้น...สำหรับชนชั้นสูงในเมืองอี๋สุ่ยแล้วนับว่าเป็นราคาสูงเทียมฟ้า จนถึงบัดนี้ก็มีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงที่นำหัวใจราชันย์หมาป่าจันทร์เงินมามอบให้เท่านั้นที่ทำให้ท่านปรมาจารย์เวทย์พอใจได้
สำหรับศิษย์ในนามนั้น ห้าพันตำลึงทองก็นับว่าสูงมากแล้ว ชนชั้นสูงจำนวนมากอยากขอความเห็นใจผ่านทางตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เพราะอยากจะประหยัดตำลึงทองลงไปได้สักเล็กน้อยก็ยังดี
แต่ข่งไห่…ได้เตรียมห้าพันตำลึงทองมาแล้ว เช่นนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงแค่เพียงออกหน้าพูดสักคำก็พอแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยโดยแท้จริง
“จากนี้ไป โยวเยวี่ยติดตามท่านปรมาจารย์เวทย์ศึกษาเวทมนตร์ ต้องอาศัยอยู่ในภูเขาศิลาหิมะเป็นเวลานาน ยังต้องขอให้เจ้าช่วยดูแลนางให้ดีด้วย” ข่งไห่พูด
“เรื่องเล็กน้อย ในปราการเมืองมีบ้านมากมาย ข้าจะให้โยวเยวี่ยสักหลัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด เขามักจะฝึกอยู่ที่หอไม้ไผ่ในภูเขาด้านหลังเป็นประจำ เรื่องพรรค์นี้กำชับสักคำก็เรียบร้อยแล้ว
“ฮ่าๆๆ...พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ในตอนนั้นข้ากับท่านพ่อเจ้ายังเคยพูดกันว่า หากลูกสองคนอย่างพวกเจ้าเข้ากันได้ดีแล้ว จะให้พวกเจ้าทั้งสองเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน”
“ท่านพ่อ” โยวเยวี่ยหน้าแดงก่ำ
“แต่อย่างไรก็ยังต้องดูความสมัครใจของพวกเจ้าเองอยู่ดี ตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่เจ้าก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน จะไม่บังคับ” ข่งไห่พูดพลางยิ้มออกมา “หากข้ามีเขยเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองอี๋สุ่ยแล้วล่ะก็ ฮ่าฮ่า ปากคงต้องยิ้มจนเบี้ยวไปข้างเป็นแน่”
“ท่านพ่อพอแล้ว” โยวเยวี่ยทนไม่ได้อยู่บ้าง นางอายุยังน้อย หน้ายังบาง จึงทนฟังไม่ได้
ข่งไห่มองบุตรสาวของตนยิ้มๆ
ตอนนั้นเมื่อเขากับตงป๋อเลี่ยและภรรยาคุยสัพเพเหระกันอยู่นั้น เคยพูดถึงเรื่องให้บุตรชายบุตรสาวแต่งงานกันจริงๆ แต่ตงป๋อเลี่ยและภรรยาต่างก็พูดว่า แล้วแต่ความสมัครใจของลูก
แต่ในยามนี้เขาต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดย้ำอีกครั้ง
ก็เพราะว่า เขาเห็นข้อดีในตัวตงป๋อเสวี่ยอิงมากมาย หวังว่าลูกสาวคนนี้ของตนจะได้เกี่ยวดองเป็นสามีภรรยากับตงป๋อเสวี่ยอิง หากสำเร็จแล้ว ฐานะของตระกูลข่งก็จะสูงส่งขึ้นทันที
เขาถึงขั้นไม่สนใจปรมาจารย์เวทย์ไป๋หยวนจือด้วยซ้ำ คารวะอาจารย์เป็นศิษย์อะไรกัน เขาเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง บุตรสาวจะไปเลือกเอานักเวทย์ชั้นฟ้าคนไหนเป็นอาจารย์สุ่มสี่สุ่มห้าก็ได้ เหตุใดจึงต้องเสียถึงห้าพันตำลึงทองมาคารวะท่านปรมาจารย์เวทย์ด้วยเล่า
ห้าพันตำลึงทองนี้ ไม่ใช่เพื่อท่านปรมาจารย์เวทย์
แต่เพื่อตงป๋อเสวี่ยอิง
เพราะท่านปรมาจารย์เวทย์อาศัยอยู่ในภูเขาศิลาหิมะ
เขาอยากให้บุตรสาวอาศัยอยู่ในภูเขาศิลาหิมะร่วมกับตงป๋อเสวี่ยอิงทุกเช้าค่ำ เมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว เป็นไปได้ว่าบุตรสาวย่อมลงเอยกับตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่แล้ว
เป็นพ่อค้าสายตาต้องยาวไกล ต้องรู้ว่าเวลาใดควรลงทุน ข่งไห่ปลดประจำการจากกองทัพจนมาถึงบัดนี้ ได้ชื่อว่าเป็นพ่อค้าที่มีชื่อเสียง ก็ต้องมีความสามารถมากพอตัว
……
ในวันนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ออกหน้าขอพบปรมาจารย์เวทย์ไป๋หยวนจือด้วยตนเอง
เมื่อรับเงินห้าพันตำลึงทองไปแล้ว ใบหน้าชราของไป๋หยวนจือก็เบิกบานราวบุปผา ให้คำมั่นว่าจะอบรมข่งโยวเยวี่ย เป็นอย่างดี
พอตกกลางคืน ข่งไห่ก็จากไป ทั้งฝากฝังให้ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยดูแลข่งโยวเยวี่ยด้วย
แท้จริงแล้ว…
ตงป๋อเสวี่ยอิงอายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว ทั้งยังฉลาดตั้งแต่เล็ก จึงมองความคิดของข่งไห่ได้ทะลุปรุโปร่ง ข่งไห่จงใจเปิดเผยเรื่องนี้ออกมา สำหรับ “ข่งโยวเยวี่ย” น้องสาวตัวน้อยที่ตนเคยพบตอนยังเด็กคนนี้นั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้มีใจอะไรให้เลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้ข่งโยวเยวี่ยยังเด็ก หลังปีใหม่แล้วก็ยังเพิ่งจะอายุได้เพียงสิบสามปี ร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่ เป็นเพียงเด็กอมมือตัวน้อยคนหนึ่งเท่านั้น
“ฟิ้ว” “ฉัวะ”
หอกยาวร่อนรำ
ตงป๋อเสวี่ยอิงซ่อนตัวฝึกวิถีหอกยาวอยู่ที่หอไม้ไผ่ในภูเขาด้านหลัง เงาหอกส่งเสียงหวีดหวิว หอกเทพหิมะเหินทำให้เกิดเกล็ดหิมะปลิวว่อน เงาร่างของหนุ่มน้อยชุดดำท่ามกลางเกล็ดหิมะสั่นมัววูบไหว เงาคนและเงาหอกดูราวกับจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
“เสวี่ยอิง เสวี่ยอิง” มนุษย์สิงห์ถงซานรีบเข้ามาหาด้วยตนเอง เขาเร่งก้าวยาวๆ เข้ามา เมื่อเหยียบลงบนกองหิมะที่จับตัวแข็งก็ทำเอาน้ำแข็งนั้นแตกออก
“ท่านอาถงหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บหอก
“ใต้เท้าซืออาน เจ้าหอภูผามังกรมาแล้ว” ถงซานพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงตาเป็นประกายขึ้นมา ในที่สุดก็มาแล้ว ในที่สุดก็มีข่าวคราวของท่านพ่อท่านแม่แล้วหรือ
“พวกเราไปกันเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บของแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่สนใจอะไรอีก รีบตรงไปยังปราการเมืองพร้อมกับถงซานทันที