icon member

อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 30

ตอนที่ 4 อาศัยร่วมแดน

  ภาคที่ 2 ตระกูลซือแห่งตำบลชิงเหอ

     “ฮ่าฮ่า ท่านปรมาจารย์เวทย์ชมเกินไปแล้ว เชิญเข้ามาเถิด พวกเรานั่งสนทนากันดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพูด

“ดี”

ไป๋หยวนจือไม่กล้าเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นหนุ่มน้อยเลยสักนิด เพราะว่ายังเยาว์วัยเพียงนี้ก็สามารถสังหารราชันย์หมาป่าจันทร์เงินที่มีฝูงหมาป่าอารักขาได้ จึงรู้กันว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองอี๋สุ่ย รออีกไม่กี่ปี...เป็นไปได้ที่จะสามารถก้าวเข้าสู่ชั้นสมญาได้อย่างแน่นอน กลายเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจในตำบลชิงเหอ แค่กระดิกเท้า ทั้งตำบลชิงเหอก็ต้องสั่นไหว

อีกทั้งยังพูดกันว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ฝึกหอกจนกลายเป็นมาร…

ในตำนานของเหนือธรรมดามากมาย มีพวกบ้าๆ บอๆ หลงใหลในการวาดภาพ ทำอาวุธหรือเหม่อมองท้องฟ้าทั้งวัน...จู่ๆก็พลันตื่นรู้ ก้าวเข้าสู่ชั้นเหนือธรรมดาในทันใด

     “ยังเด็กก็คลั่งมารถึงเพียงนี้ อีกทั้งบัดนี้ก็ยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ อีกหน่อยต้องก้าวเข้าสู่ชั้นสมญาได้แน่ ไม่แน่ว่า อาจก้าวเข้าสู่ชั้นเหนือธรรมดาได้สักเวลาหนึ่ง!” ไป๋หยวนจือแอบพึมพำ แน่นอนว่าเขาทำได้เพียงคิดตามอำเภอใจเท่านั้น พวกคลั่งมารทั้งหลายที่สัมผัสฟ้าดินได้นั้น สุดท้ายที่สำเร็จเป็นเหนือธรรมดาได้จริงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย

ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน

หลังเข้าไปในโถงรับแขกแล้ว พวกเขาก็แยกกันนั่งลง จงหลิงและถงซานก็นั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง

 “ข้าได้ยินข่าวที่ลือกันอยู่ข้างนอก ถึงตอนนี้ยังตกใจไม่หายเลย แค่ไม่กี่กระบวนท่าก็สังหารก้ายปินที่มีชื่อฉาวโฉ่อยู่ข้างนอกนั่นได้ ฆ่าทั้งกองมีดโค้งจนล่มสลายลง ข้าไป๋หยวนจืออยู่มาจนแก่ขนาดนี้ คนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมเช่นท่านเจ้าแดนนี้ ก็เคยได้ยินว่ามีอภิชาตบุตรของตระกูลใหญ่เป็นเช่นนี้อยู่บ้าง...แต่กลับเพิ่งได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรกนี่แหละ” ไป๋หยวนจือหรี่ตา

     “ท่านปรมาจารย์เวทย์มาวันนี้ คงไม่ใช่ตั้งใจมาเพื่อชื่นชมข้ากระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

       อภิชาตบุตรที่ตระกูลใหญ่พวกนั้นทุ่มเทเงินทองจำนวนมากเพื่ออบรมออกมา เขาไม่คิดจะใส่ใจ และเขาก็ไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจในตนเองเสียเท่าใดนัก เพราะเป้าหมายของเขา ก็คือเหนือธรรมดามาโดยตลอด หากเทียบกับเหล่าเหนือธรรมดาที่เก่งกาจที่มีบันทึกในตำนานแล้ว ตนยังนับว่าธรรมดานัก

     “ฮ่าๆๆ วันนี้ข้ามาที่นี่ ที่จริงแล้วมีเรื่องจะขอร้องท่านเจ้าแดน” ไป๋หยวนจือพูด

 “ท่านปรมาจารย์เวทย์เชิญพูดมาเถิด หากสามารถช่วยได้แล้ว ข้าย่อมทำอย่างสุดกำลังแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

     “คืออย่างนี้ เมื่อข้าอยู่ที่จวนในเมืองอี๋สุ่ย มักจะมีชนชั้นสูงบางคนไปรบกวนอยู่เป็นประจำ ข้าทนการรบกวนไม่ไหวแล้ว” ไป๋หยวนจือทอดถอนใจ “อีกทั้งยังมีนักเวทย์อื่นบางคนสนใจในการทดลองของข้า ดังนั้นจึงมักมีโจรคิดเข้ามาขโมยผลงานของข้าอยู่เสมอเช่นกัน ตอนนี้การทดลองของข้าสำเร็จผลอย่างงดงามเพราะว่าได้หัวใจจันทร์เงินที่ท่านเจ้าแดนมอบให้ ดังนั้นข้าจึงกลัวว่าจะมีเรื่องวุ่นวายตามมามากมาย จึงวางแผนจะย้ายที่อยู่ให้ห่างจากเมืองอี๋สุ่ย”

     “ย้ายให้ห่างจากเมืองอี๋สุ่ยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง “เช่นนั้นท่านปรมาจารย์เวทย์เลือกที่ที่จะไปอาศัยแล้วหรือยัง”

น้องชายของตนยังต้องไปกราบอาจารย์แล้วศึกษาต่อไป

 “ฮ่าฮ่า ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะขอร้องท่านเจ้าแดนมิใช่หรือ ข้าอยากเลือกที่ดินสักผืนบนภูเขาศิลาหิมะของท่านเจ้าแดน แล้วสร้างหอเล็กๆ สักแห่งอยู่” ไป๋หยวนจือพูดยิ้มๆ “ที่ของท่านเจ้าแดนนี้ทั้งสงบเงียบ ทั้งยังเป็นยอดเขา บนทางเขานั้นป้องกันง่าย เข้าทำนองหนึ่งทหารป้องกัน หมื่นทหารมิอาจผ่าน ทั้งยังมีด่านอันรัดกุม พวกโจรคิดจะเข้ามาก็ทำได้ยากแล้ว ส่วนพวกชนชั้นสูงเล่า พวกที่ไม่กลัวความลำบาก ดั้นด้นมาร้อยกว่าลี้เพื่อมาหาข้าที่นี่ ก็คงมีน้อยลงมากแล้ว” 

     “เพียงแต่ต้องรบกวนท่านเจ้าแดน ข้ารู้สึกละอายใจอยู่บ้าง” ไป๋หยวนจือเอ่ย

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจงหลิงที่อยู่ด้านข้างสบตากัน

ทั้งสองต่างก็เข้าใจความคิดของกันและกัน

“ฮ่าฮ่า ข้ายังรู้สึกว่าเกินเอื้อมด้วยซ้ำ หากแดนอินทรีหิมะของข้ามีปรมาจารย์เวทย์สักท่านประจำอยู่ ก็เป็นวาสนาของแดนอินทรีหิมะแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพูด “ภูเขาศิลาหิมะมียอดเขามากมาย ที่ว่างก็มากล้น ท่านเลือกเอาสักที่ตามใจท่านก็พอแล้ว”

ไป๋หยวนจือเผยสีหน้ายินดี เขารู้ว่าเรื่องนี้มีโอกาสสำเร็จค่อนข้างสูง แต่เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงตกลงเขาก็ยังคงยินดีมากอยู่ดี “เช่นนั้นข้าก็ขอหน้าหนา เลือกยอดเขาสักแห่งข้างๆ ตามใจข้าล่ะนะ”

“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ท่านปรมาจารย์เวทย์สามารถเริ่มก่อสร้างได้ทุกเวลา หากต้องการให้ข้าช่วยอะไร เชิญบอกมาได้เต็มที่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“สร้างหอเล็กๆ สักแห่งนั้นแสนจะง่ายดาย ในบรรดาศิษย์ของข้าก็มีพวกที่ชำนาญเวทมนตร์ธรณีอยู่บ้าง” ไป๋หยวนจือยิ้ม

สร้างปราการเมือง สร้างคูเมืองอันยิ่งใหญ่

หากอาศัยคนธรรมดาไปขุดเจาะหินก้อนมหึมาแล้วขนมาใช้ จะยากเพียงใดกัน แต่พวกที่ชำนาญเวทมนตร์ธรณีนั้น…เวทมนตร์ที่ยอดเยี่ยมจะทำให้ธรณีแยกออก หินก้อนมหึมาจำนวนนับไม่ถ้วนจะผสานกันแล้วก่อตัวขึ้น ความเร็วในการก่อสร้างก็จะเร็วขึ้นมากทีเดียว อย่างปราการเมืองศิลาหิมะที่บ้านตงป๋อเสวี่ยอิง ในตอนนั้นก็ได้เชิญนักเวทย์คนอื่นมาสร้าง เพราะถึงท่านแม่จะเป็นนักเวทย์ชั้นฟ้า แต่ก็ไม่ชำนาญเวทมนตร์ธรณี

  ……

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจงหลิงต่างก็ยืนอยู่ข้างลูกกรง ทอดสายตามองออกไปไกล

สายตามองข้ามกำแพงปราการเมืองไป ก็เห็นว่าบนยอดเขาที่ห่างออกไปหลายลี้นั้นมีหอศิลาแห่งหนึ่งกำลังสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยเวทมนตร์ ทำให้ดินและหินโดยรอบก่อตัวเป็นหินก้อนใหญ่เรียบเสมอกันก้อนแล้วก้อนเล่าอย่างรวดเร็ว หินก้อนมหึมาลอยขึ้นมาแล้วเริ่มก่อสร้าง...อีกทั้งกำแพงยังมีประกายน้ำและรัศมีหลุมไฟปรากฏขึ้นด้วย ทำให้กำแพงเรียบลื่นเป็นเนื้อเดียวกัน

ปรมาจารย์เวทย์ไป๋หยวนจือยังเริ่มต้นแกะสลักลวดลายเวทมนตร์ลงบนพื้นและกำแพงโดยรอบอีกด้วย

     “เสวี่ยอิง ไป๋หยวนจือมาอยู่ที่นี่กับเรา จะไม่นำพาความยุ่งยากอะไรมาให้เราหรือ” จงหลิงหนักใจอยู่บ้าง

 “วางใจเถิด ไป๋หยวนจือขลุกอยู่ในเมืองอี๋สุ่ยมานมนานหลายปีถึงเพียงนี้ ก็ไม่เห็นเกิดความยุ่งยากอะไร มาอยู่กับเราที่นี่ ก็คงไม่มีความยุ่งยากอะไรหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพูด “ต่อให้มีความยุ่งยาก ก็คงไม่หนักหนาเกินไป ถ้าหากเป็นผู้แกร่งกล้าพลังถึงชั้นสมญามาก่อความวุ่นวาย เขามาที่นี่ก็ไร้ประโยชน์ แต่หากไม่ใช่ผู้แกร่งกล้าชั้นสมญาแล้ว ก็ไม่ควรค่าให้ต้องเอามากังวลหรอก”

      จงหลิงพยักหน้า

ขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากปรมาจารย์เวทย์อยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นเมื่อชิงสือกราบอาจารย์และเรียนทักษะเวทมนตร์แล้วก็ไม่จำเป็นต้องห่างจากตนไป

  ******

ภูเขาศิลาหิมะมียอดเขามากมาย

บนยอดเขาหลักก็คือปราการเมืองศิลาหิมะ ส่วนยอดเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ก็คือหอนักเวทย์ และบนยอดเขาที่เงียบสงบอีกแห่งของภูเขาศิลาหิมะที่อยู่ห่างจากหอนักเวทย์ถึงห้าลี้เต็มๆ และอยู่ห่างจากปราการเมืองสามลี้กว่านั้น ก็เพิ่งสร้างหอไม้ไผ่ขึ้นใหม่อีกหอหนึ่ง

หอไม้ไผ่เป็นหอที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างเองกับมือ ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ยอดฝีมือที่ควบคุมพลังได้ครบสมบูรณ์ ทำให้หอไม้ไผ่สร้างได้งดงามอย่างยิ่ง

 “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะใช้เวลาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในหอไม้ไผ่บนภูเขาด้านหลัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดกับจงหลิง ถงซานและชิงสือที่อยู่ข้างกาย “เรื่องของแดนใต้อาณัตินั้นคงต้องรบกวนท่านอาจงแล้ว หากมีเรื่องอันใดที่ค่อนข้างจะสำคัญ จำเป็นต้องให้ข้าออกหน้าจริงๆ แล้วจึงค่อยมาหาข้า”

     “ได้” จงหลิงพยักหน้า

 “ท่านพี่ จากนี้ไปท่านก็จะอยู่แต่ในหอไม้ไผ่ ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อเกินไปหรอกหรือ” ชิงสือพูดอย่างอดไม่ได้

 “ฮ่าฮ่า ไม่น่าเบื่อหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ นี่เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาหลังจากเขาบรรลุเขตแดนปรมาจารย์วิถีหอกยาวแล้ว

หลังเขตแดนวิถีหอกยาวของเขาสูงขึ้นแล้วก็รู้แจ้ง สัมผัสฟ้าดินและธรรมชาติได้ลึกล้ำยิ่งขึ้น

การเติบโตของต้นหญ้า ความหนาหนักของพื้นดินและก้อนหิน การเคลื่อนไหวของลม การพัดปลิวของใบไม้...ทั้งหมดล้วนทำให้เขารู้สึกตะลึงงัน ที่ผ่านมาตั้งหลายปีนั้นเขาล้วนไม่เคยพบว่า แท้จริงแล้วฟ้าดินและธรรมชาติงดงามถึงเพียงนี้ สำหรับเขาแล้วการได้อาศัยอยู่ในหอไม้ไผ่ที่เงียบสงบและห่างไกล กลับเป็นการดื่มด่ำอย่างหนึ่ง

การฝึกฝนวิถีหอกยาว...

มีแนวทางที่แตกต่างกัน

ดังเช่นนักรบบางคน แท้จริงแล้วพื้นฐานธรรมดายิ่ง แต่พวกเขาได้ฝึกในระหว่างความเป็นความตาย ได้พบจุดบกพร่องของวิถีหอกยาวของของตนเองมากมาย จากนั้นจึงปรับปรุงอย่างไม่หยุดหย่อน จึงค่อยๆ สมบูรณ์แบบขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นหอกและคนรวมเป็นหนึ่ง หรือแม้กระทั่งขั้นปรมาจารย์วิถีหอกยาว สุดท้ายก็ต้องเดินในเส้นทางของ “ฟ้าดินและธรรมชาติเป็นอาจารย์” ดังเดิม

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นต่างออกไป

เขาไม่ค่อยชอบใช้ช่วงระหว่างความเป็นความตายมาบีบบังคับตนเอง แต่กลับใช้การขัดเกลาครั้งแล้วครั้งเล่าในการฝึกธรรมดาเพื่อค้นหาจุดด้อยของตนเอง จากนั้นจึงปรับปรุง พื้นฐานที่มั่นคงหาใดเปรียบเช่นนี้ อาศัยการฝึกฝนแบบคลั่งมารที่หนักหนาเกินจริงจึงสำเร็จได้ นี่ทำให้พื้นฐานวิถีหอกยาวของเขามั่นคงหาใดเปรียบ จึงเข้าสู่ขั้นคนและหอกรวมเป็นหนึ่งเป็นธรรมดา และในขณะต่อสู้กับเสือดาวเงามืดเพียงถูกบีบบังคับด้วยความเป็นความตายเล็กน้อย ก็บรรลุถึงเขตแดนปรมาจารย์วิถีหอกยาวแล้ว

แท้จริงแล้ว ต่อให้ไม่ถูกบีบบังคับด้วยความเป็นความตาย ผ่านไปสักปีสองปี เขาก็ต้องบรรลุเป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง

ตงป๋อเสวี่ยอิงให้ความสำคัญกับการสะสมพื้นฐานอย่างค่อยเป็นค่อยไปเช่นนี้มากกว่าการเผชิญอันตายในช่วงระหว่างความเป็นความตายเป็นครั้งคราว

 “ท่านพี่ เช่นนั้นข้าจะมาหาท่านบ่อยๆ คงไม่ว่าอะไรกระมัง” ชิงสือพูด

 “ฮ่าฮ่า ได้ตลอดเวลาเลย หากว่างข้าจะยังไปหาเจ้าด้วยซ้ำไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางพูดหยอก

จงหลิงมองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงที่สวมชุดดำยืนอยู่ตรงนั้น แล้วก็แอบทอดถอนใจ

อาศัยฟ้าดินและธรรมชาติเป็นอาจารย์หรือ

พูดออกมานั้นง่าย แต่หากเขตแดนไม่ถึงแล้ว แม้ชายขอบก็คงไปไม่ถึงจริงๆ  

  ……

นับแต่นั้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มอาศัยอยู่ที่หอไม้ไผ่บนภูเขาด้านหลังที่เงียบสงบและห่างไกลของภูเขาศิลาหิมะ เริ่มชีวิตที่หาบน้ำตัดฟืน ก่อไฟทำอาหารด้วยตนเอง เขาดื่มน้ำจากน้ำพุบนภูเขา แล้วนั่งขัดสมาธิคิดคำนึงอย่างเงียบๆ อยู่ข้างน้ำพุ และฝึกวิถีหอกยาวท่ามกลางป่าไม้ไผ่นั่นเอง

อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด