ตอนที่ 3
ตอนที่ 3 แยกจาก
เสวี่ยอิงอุ้มน้องชายอยู่ด้านข้าง ทั้งตื่นเต้น ทั้งตื่นตะลึง คนหนุ่มในอาภรณ์สีเทาผู้นี้เป็นพี่ชายของท่านแม่หรือนี่
“ท่านพี่ หลายปีถึงเพียงนี้แล้ว” ม่อหยางอวี๋เผยรอยยิ้มออกมา” ได้พบท่านอีกครั้ง ข้าดีใจจริง ๆ ท่านข้ามเข้าสู่โลกแห่งดวงดารา เป็นปรมาจารย์เวทย์จันทร์เงินแล้วใช่หรือไม่”
“อืม” คนหนุ่มในอาภรณ์สีเทาพยักหน้าน้อย ๆ
โลกแห่งดวงดาราของปรมาจารย์เวทย์ แบ่งเป็นสามระดับคือ ดาวตก จันทร์เงิน และสมญาเช่นเดียวกัน
ไม่น่าเชื่อว่าคนหนุ่มในอาภรณ์สีเทาท่านนี้เป็นถึงปรมาจารย์เวทย์จันทร์เงิน
ต่อให้เป็นในตระกูล ฐานะของเขาก็สูงส่งยิ่งนัก
“อาศัยกำลังตัวคนเดียวได้เป็นถึงปรมาจารย์เวทย์จันทร์เงิน นับเป็นหนึ่งในสามคนที่เก่งที่สุดในรุ่นหนุ่มสาวของตระกูลแล้วกระมัง” ม่อหยางอวี๋พูดอย่างอิจฉา “รอท่านพี่กลายเป็นปรมาจารย์เวทย์สมญา เช่นนั้นก็เก่งมากแล้ว”
“ถึงบัดนี้ ในตระกูลก็ยังไม่มีปรมาจารย์เวทย์สมญา คิดจะเข้าสู่ระดับสมญานั้นยากยิ่ง” คนหนุ่มในอาภรณ์สีเทาทอดถอนใจ
ระดับสมญา….
หมายความว่า ทั้งอาณาจักรหลงซานมีสมญาเพียงท่านเดียว! นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวซึ่งควรค่าแก่การเคารพนับถือโดยแท้ ขึ้นไปถึงขีดสูงสุดของคนธรรมดา อีกเพียงก้าวเดียวก็เข้าถึงชีวิตเหนือธรรมดาแล้ว
ปรมาจารย์เวทย์จันทร์เงินผู้นี้เหมือนจะเก่งกาจ สามารถทำลายกองทัพทั้งกองได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าระดับสมญา...เกรงว่าเวทมนตร์ก็คงร่ายไม่ออก
“เจ้าฝ่าฝืนกฎตระกูล เจ้าต้องรู้ว่าที่ตระกูลเราอยู่มาได้พันกว่าปีก็เพราะอาศัยกฎตระกูล!” คนหนุ่มในอาภรณ์สีเทากล่าว “หากไม่มีกฎเกณฑ์แล้ว ต่อให้เป็นตระกูลที่รุ่งเรืองเพียงใดก็ต้องล่มสลายไปในที่สุด ตระกูลเราเคยมีช่วงที่ตกต่ำ แต่บัดนี้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งได้ ก็เพราะอาศัยกฎตระกูล เมื่อฝ่าฝืนกฎตระกูลก็ต้องถูกลงโทษ”
“บอกทางเลือกของเจ้ามาให้ข้าฟังเถอะ” คนหนุ่มในอาภรณ์สีเทากล่าว
บรรยากาศเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันใด ตงป๋อเลี่ย มนุษย์สิงห์ผู้กล้าแกร่งและเสวี่ยอิงที่อุ้มน้องชายอยู่ต่างก็ตื่นเต้นหาใดเปรียบ
“ข้าเป็นชนชั้นสูง ข้ามีกฏหมายอาณาจักรคุ้มครองอยู่ ท่านฝ่าฝืนกฏหมายอาณาจักรแล้วจับตัวพวกเราไปไม่ได้หรอก แม้ท่านจะยิ่งใหญ่มาก แต่หากฝ่าฝืนกฏหมายอาณาจักรแล้ว...ท่านก็ได้แต่ตายเท่านั้น” ม่อหยางอวี๋จ้องพี่ชายตนเอง
“ชนชั้นสูงงั้นรึ”
คนหนุ่มในอาภรณ์สีเทาส่ายหน้า “ไม่ถึงชั่วขณะสุดท้าย เจ้าก็ไม่ยอมแพ้จริงๆ ไม่ต้องมองแล้ว ข้ามาครั้งนี้นำโองการมาด้วย”
สีหน้าของม่อหยางอวี๋ ตงป๋อเลี่ย และมนุษย์สิงห์ผู้กล้าแกร่งเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
คนหนุ่มในอาภรณ์สีเทายื่นมือขวาออกมา ม้วนสาส์นสีทองปรากฏขึ้นในมือขวาจากความว่างเปล่า เมื่อเขาเปิดม้วนสาส์น พลังลี้ลับสายหนึ่งก็แผ่ซ่านออกมา เสวี่ยอิงที่อุ้มน้องชายอยู่ก็สัมผัสได้ถึงพลังนี้ เขารู้สึกว่าช่างเร้นลับเหลือคณา ในใจรู้สึกคร้ามเกรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ด้วยบัญญัติกฎหมายอาณาจักร และโองการตระกูลม่อหยาง ลูกหลานของตระกูล ม่อหยางอวี๋ต้องโทษจองจำหนึ่งร้อยปี ท่านชายตงป๋อเลี่ย ต้องโทษเป็นแรงงานหนักหนึ่งร้อยปี ผู้ดำเนินการ ม่อหยางเชิน” เสียงของคนหนุ่มในอาภรณ์สีเทาสะท้อนก้องไปทั่วปราการเมือง
สองสามีภรรยาตงป๋อเลี่ยและม่อหยางอวี๋สบตากันแวบหนึ่ง ในนั้นมีความปล่อยวางอยู่
“จองจำร้อยปี เป็นแรงงานหนักร้อยปี นานเกินไปแล้ว นี่มันนานเกินไปแล้ว” มนุษย์สิงห์ผู้กล้าแกร่งที่อยู่ด้านหนึ่งร้อนใจขึ้นมา “คนปกติก็มีอายุขัยราวร้อยปี ต่อให้ขึ้นถึงระดับดวงดารา อายุขัยก็ร้อยกว่าปีเท่านั้น พวกเขาอายุเพียงนี้แล้ว ยังจะจองจำร้อยปี เป็นแรงงานหนักร้อยปี....ไม่ใช่จองจำจนตาย เป็นแรงงานหนักจนตายหรอกหรือ”
“ไม่! ท่านลุง ท่านเป็นผู้ดำเนินการ ท่านช่วยท่านพ่อท่านแม่ข้าสิ! ช่วยพวกเขาสิ!” เสวี่ยอิงที่กำลังอุ้มน้องชายอยู่ตะโกนไม่หยุด
เสียงเรียก “ท่านลุง” ทำเอาคนหนุ่มในอาภรณ์สีเทาสะดุ้ง
“ช่วยพวกเขาไม่ได้หรอก ใครก็ช่วยพวกเขาไม่ได้ทั้งนั้น กฎตระกูลแห่งตระกูลม่อหยางของข้าเข้มงวดนัก ใครจะมาพูดขอความเห็นใจก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น” คนหนุ่มในอาภรณ์สีเทาส่ายหัว
“ฮือ ๆ…” ชิงสือผู้น้องที่อยู่ในอ้อมแขนกำลังร้องไห้ ชิงสือเพิ่งอายุได้สองปีจึงยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศโดยรอบ
เสวี่ยอิงเองก็อยากร้องไห้เช่นกัน
แต่เขาเป็นกังวลยิ่งกว่า เขาอายุแปดปีแล้ว รู้เรื่องดีมากแล้ว ท่านพ่อท่านแม่จะถูกจองจำร้อยปี เป็นแรงงานหนักร้อยปี นั่นเป็นการลงโทษไปตลอดจนถึงวันตายจริงๆนะ ท่านพ่อท่านแม่ของข้า! คนใกล้ชิดที่สำคัญที่สุดของข้า!”
“ช่วยท่านพ่อท่านแม่ข้าสิ ช่วยท่านพ่อท่านแม่ข้าสิ” นัยน์ตาของเสวี่ยอิงมีหยาดน้ำตา “ท่านลุง ท่านต้องมีวิธีสิ ต้องมีวิธีสิ”
“เสวี่ยอิงอย่าร้องไห้เลย เจ้าก้อนหินก็อย่าร้อง” ม่อหยางอวี๋เดินมา คุกเข่าลงแล้วกอดบุตรชายทั้งสอง นางหันมาหาคนในอาภรณ์สีเทา “ให้เวลาข้าและตงป๋อสักหน่อย ได้ไหม”
“ได้” คนหนุ่มในอาภรณ์สีเทาพยักหน้า
บนภูเขาสูงไร้ชื่อลูกหนึ่งในแดนอินทรีหิมะ มีกระท่อมไม้หลังหนึ่ง
ตึง ตึง ตึง...
ทางบนภูเขาสั่นไหว
บุรุษสิงห์ “ถงซาน” กำลังขี่ม้าแคระเวทย์น้ำค้างเหินอย่างกังวลใจ ม้าแคระน้ำค้างเหินวิ่งด้วยความเร็วสูง ออกมาครั้งนี้ไม่มีเกราะหุ้ม จากปราการเมืองหินที่เต็มไปด้วยหิมะมายังภูเขาสูงแห่งนี้ใช้เวลาเพียงชั่วจอกชาเดียว
“จงหลิง! จงหลิง!” คอใหญ่ของมนุษย์สิงห์เร่งร้องตะโกน
ประตูกระท่อมไม้เปิดออก
บุรุษผมยาวสีเงินยวงสวมชุดดำทั้งร่าง ชุดดำห่อรอบกาย แต่เขากลับเผยหางงูสีเขียวที่ใหญ่พอๆกับท่อนขาของคนทั่วไปและยาวราวสองเมตรให้เห็น หางงูที่ไร้ทางแอบซ่อนได้นั้นบ่งบอกถึงฐานะของเขา มนุษย์งูแห่งเผ่าอสูร อีกทั้งหน้าตายังเหมือนกับมนุษย์ธรรมดา เห็นได้ชัดว่า มีเพียงพญามารงูหกกร เผ่ากษัตริย์ซึ่งเป็นสายเลือดที่สูงส่งที่สุดในหมู่มนุษย์งูเท่านั้น!
ด้วยเพราะมีแขนถึงหกแขน ดังนั้นในยามปกติเขาจะใช้ชุดดำหุ้มร่างเอาไว้ เพื่อไม่ให้คนคอยจ้องแขนทั้งหกของเขา
“ถงซาน มีเรื่องอันใดรึ” จงหลิงเอ่ยถาม
“ตระกูลของเจ้านายในที่สุดก็ไล่ตามมาแล้ว ทั้งยังนำโองการมาด้วย” มนุษย์สิงห์ถงซานแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว “ในหมู่พวกเราสองสามคนนี้ เจ้าฉลาดที่สุด เจ้ารีบคิดหาทางเถอะ”
จงหลิงตัวสั่นขึ้นมา ส่ายหน้าเบาๆ “ตระกูลม่อหยางนำเอาโองการมาใช้ ใครก็ช่วยพวกเขาไม่ได้ทั้งนั้น นอกเสียจากจะเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมดาดังที่ตำนานว่าไว้ จึงจะทำให้ตระกูลม่อหยางปล่อยพวกเขาสองคนได้กระมัง”
“ชะ...เช่นนั้น...เช่นนั้นก็ไม่มีทางอื่นจริงๆแล้วหรือ” ถงซานเสียใจ
เขามิอาจลืม
ในวันที่มืดมิดที่สุด ทุกข์ทนที่สุดของเขานั้น สาวน้อยผู้นั้นพาเขาไปเล่นสนุก ปีแล้วปีเล่า แม้แต่เมื่อหนีออกมาจากตระกูลม่อหยางในท้ายที่สุดนั้น เขาก็ล้วนติดตามนางด้วยความภักดีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ผจญอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน ในใจของเขานั้น...เจ้านายของเขายังสำคัญกว่าชีวิตตนเองเสียอีก!
“ไม่มีทางหรอก นี่อาอวี๋ให้เจ้ามารึ” จงหลิงถาม
“ใช่ เจ้านายให้ข้ามาตามเจ้าไป” ถงซานบอก
“ไปกันเถอะ อย่างไรก็ต้องไปเห็นหน้าพวกเขาอีกสักครั้ง” หมัดของจงหลิงภายใต้ชุดดำนั้นกำแน่น เล็บคมจิกเข้าไปที่กลางฝ่ามือ ไม่ว่าจะเป็นตงป๋อเลี่ยหรือว่าอาอวี๋ ก็ล้วนเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกับเขามาครั้งแล้วครั้งเล่า ในยามนี้เขาจะไม่เจ็บแค้นได้อย่างไร แต่เขาไม่มีวิธีจริง ๆ อีกทั้งนิสัยเขาไม่ชอบแสดงอารมณ์ออกมา เขาแทบจะเย็นชาเช่นนั้นอยู่ตลอด
“ไป”
ข้างกระท่อมไม้ก็มีม้าแคระเวทย์น้ำค้างเหินอยู่ตัวหนึ่งเช่นกัน จงหลิงและถงซานเร่งขี่ม้ามุ่งตรงไปยังปราการเมืองทันที
…….…
ภายในปราการศิลาหิมะ
ตงป๋อเลี่ยและภรรยากำลังสั่งเสียเสวี่ยอิงบุตรชาย
“เสวี่ยอิง จี้ห้อยชิ้นนี้เป็นวัตถุเวทมนตร์ที่เก็บของได้ ข้างในมีที่เก็บของ ถือได้ว่าล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง ค่าของมันเทียบได้กับแดนอินทรีหิมะทั้งหมดเลยทีเดียว” ม่อหยางอวี๋นำจี้ที่ห้อยอยู่ที่คอตนออกมา “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ถือว่าเป็นของเจ้าแล้ว เจ้าต้องเก็บความลับนี้ให้จงได้ นอกจากท่านอาถงซาน ท่านอาจงแล้ว ห้ามบอกใครอื่นอีกเป็นอันขาด แม้แต่น้องชายเจ้าก็ห้ามพูด อย่างไรเสียน้องชายเจ้าก็ยังเป็นเด็ก ปากไม่มีหูรูด ไม่แน่อาจรั่วไหลออกไปได้”
แดนใต้อาณัติอยู่ตรงนั้น ไร้หนทางแย่งชิง
แต่วัตถุเวทมนตร์อารักษ์หากเผยออกไปแล้ว อาจถูกแย่งชิงไปได้ง่ายดายนัก
“ท่านแม่ ท่านใส่ไว้เถอะ” เสวี่ยอิงพูด
“ข้ากับท่านพ่อเจ้าถูกจับตัวไป ของมีค่าที่อยู่กับตัวก็ต้องถูกค้นเอาไปด้วย” นิ้วมือของม่อหยางอวี๋แตะที่นิ้วของเสวี่ยอิงอย่างแผ่วเบาทีหนึ่ง หยดเลือดหยดหนึ่งก็ถูกดูดออกมา ม่อหยางอวี๋พึมพำคาถาแผ่วเบา เลือดหยดหนึ่งก็แปรเป็นรูปยันต์เวทมนตร์ประทับอยู่บนจี้อย่างรวดเร็ว เสวี่ยอิงรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณของตนเชื่อมโยงกับภายในของจี้ขึ้นมาทันใด
…….
ภายในจี้มีบางสิ่งอยู่ มีเหรียญทอง ทั้งยังมีม้วนสาส์น
“ของล้ำค่าที่สำคัญที่สุดภายในปราการเมืองก็ได้ใส่เข้าไปแล้ว อ้อ ที่พ่อเจ้ายังมีของล้ำค่าอีกอย่าง” ม่อหยางอวี๋มองไปยังสามีที่อยู่อีกข้าง
ตงป๋อเลี่ยนำคัมภีร์สีทองเล่มหนึ่งออกมาจากอ้อมแขน
คัมภีร์ทั้งเล่มทำจากแผ่นทองทั้งหมด ทองคำสามารถเก็บรักษาผ่านกาลเวลาอันยาวนานโดยไม่เสียหาย มีเพียงคัมภีร์ที่ล้ำค่ายิ่งเท่านั้นที่จะทำจากทองคำ
“นี่คือวิถีหอกยาวที่ชีวิตเหนือธรรมดาได้ทิ้งเอาไว้” ตงป๋อเลี่ยพูดยิ้มๆ “พื้นฐานที่แต่ก่อนข้าสอนเจ้า ก็คือพื้นฐานของวิถีหอกยาวเล่มนี้ เผ่าใหญ่โบราณเหล่านั้นล้วนแต่มีคัมภีร์ลับที่ชีวิตเหนือธรรมดาทิ้งเอาไว้ถึงสามสี่เล่ม บ้านเรามีไม่มาก มีเพียงแค่เล่มนี้เล่มเดียว ทั้งยังมีเพียงแค่วิถีหอกยาวเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงสอนวิถีหอกยาวเจ้าตั้งแต่ยังเล็ก เจ้าตั้งใจเรียน และจงจำไว้ให้ดีว่าห้ามปล่อยให้รั่วไหลออกไป นอกจากท่านอาจง ท่านอาถงซานแล้ว ห้ามบอกใครอื่นอีกเป็นอันขาด...ฮ่าๆ เมื่อตอนได้คัมภีร์ลับเล่มนี้มา พวกเขาก็อยู่ด้วย”
“อืม” เสวี่ยอิงรับคัมภีร์สีทองเล่มนั้นมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคลื่นแปลกประหลาดแผ่ซ่านอยู่ทั่วคัมภีร์นั้น ความคิดจิตใจถูกรวมเข้าไว้ในจี้ในทันใด
“ไปเถอะ ออกไปเสีย รอท่านอาจงกับท่านอาถงซานของเจ้ามา”
……
ตงป๋อเลี่ยและม่อหยางอวี๋สองสามีภรรยาพาเสวี่ยอิงและชิงสือบุตรชายทั้งสองไปรออยู่ในห้องโถง เพียงไม่นานเงาร่างสองสายก็พุ่งตรงเข้ามา
ก็คือถงซานและจงหลิง
“ตงป๋อ อาอวี๋” จงหลิงอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก
“ก่อนจะไปต้องรบกวนพวกเจ้าทั้งสองแล้ว” ม่อหยางอวี๋พูดยิ้มๆ “ถงซานเป็นคนหยาบ ทั้งแดนใต้อาณัติเขาบริหารได้ไม่ดี ดังนั้นแดนใต้อาณัติคงต้องพึ่งจงหลิงแล้ว อบรมสั่งสอนเสวี่ยอิงชิงสือลูกสองคนนี้ก็คงต้องพึ่งเจ้าเช่นกัน”
“วางใจเถอะ” จงหลิงพยักหน้า “มอบให้ข้า”
“เสวี่ยอิง จงจำไว้ว่า เรื่องต่างๆในแดนใต้อาณัติล้วนมอบให้ท่านอาจงของเจ้าทั้งหมด รอเจ้าอายุสิบแปดจึงจะได้รับช่วงดูแลอย่างเป็นทางการ” ม่อหยางอวี๋มองบุตรชายตนเอง นางกังวลว่าหากไม่มีใครช่วยเหลือ เกรงว่าบุตรชายทั้งสองคงถูกคนนอกกลืนกินหมดไส้หมดพุงในเร็ววัน
“อืม” เสวี่ยอิงอุ้มน้องชาย
แต่ชิงสือผู้น้องกลับขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของพี่ชาย เขาไม่เสียใจแล้ว แต่กลับหวาดกลัวแทน เขาหวาดกลัวจงหลิงและถงซาน
อย่างไรเสีย เขาก็เป็นเพียงเด็กสองขวบ สำหรับคนที่มีหัวเป็นสิงห์อย่างถงซาน และคนที่มีหางเป็นงูอย่างจงหลิง ก็ถือว่าน่ากลัวอยู่บ้าง
“ท่านแม่ ท่านบอกข้าสิ ตระกูลม่อหยางแท้จริงแล้วอยู่ที่ไหนกัน ที่สุดแล้วข้าจะช่วยพวกท่านได้อย่างไร” เสวี่ยอิงอดไม่อยู่ พูดอย่างร้อนใจ
“ช่วยรึ”
ม่อหยางอวี๋และตงป๋อเลี่ยสบตากันแวบหนึ่ง
“ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนี้แล้ว ใช้ชีวิตให้มีความสุขเถอะ เข้าใจไหม ขอเพียงพวกเจ้าสองพี่น้องมีความสุข ข้าและท่านพ่อเจ้าก็ดีใจแล้ว” ม่อหยางอวี๋กล่าว ช่วยพวกเขากระนั้นหรือ กฎตระกูลม่อหยางเข้มงวดถึงเพียงไหน จะให้ตระกูลม่อหยางฝืนกฎตระกูลแล้วปล่อยพวกเขาไป เกรงว่าคงมีแต่ชีวิตเหนือธรรมดาเท่านั้นที่ทำได้ บุตรชายของตนจะกลายเป็นชีวิตเหนือธรรมดาเช่นนั้นหรือ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลย
“บอกข้าสิ ต้องทำอย่างไรจึงช่วยพวกท่านได้ ต้องมีวิธีอยู่แล้ว” เสวี่ยอิงพูดอย่างเป็นกังวล
“รอเจ้าได้รับคำสั่งเหล็กดำจากหอภูผามังกรเสียก่อน ข้าค่อยบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมรู้เองว่าควรทำอย่างไร” จงหลิงที่อยู่ข้างๆพูด
ม่อหยางอวี๋และตงป๋อเลี่ยสะดุ้ง มองไปยังจงหลิง
“อย่างไรก็ให้ความหวังแก่เด็กหน่อยเถอะ” จงหลิงเอ่ย
ตงป๋อเลี่ยฟังแล้วก็พยักหน้า เสวี่ยอิงอายุแปดปีแล้ว ทั้งยังฉลาดแต่เด็ก เรื่องราวในครั้งนี้คงไม่มีทางลืมได้ ให้จุดมุ่งหมายกับเขาบางทีคงดีกว่าหน่อย ตงป๋อเลี่ยกล่าวว่า “ถูกต้อง รอเจ้าได้รับคำสั่งเหล็กดำจากหอภูผามังกรเสียก่อน ท่านอาจงของเจ้าจะบอกเจ้าหมดทุกสิ่งอย่าง”
“คำสั่งเหล็กดำจากหอภูผามังกรงั้นหรือ” เสวี่ยอิงแอบจดจำเงียบ ๆ
……
ดึกสงัด
สะพานแขวนของปราการศิลาหิมะถูกปล่อยลงมา
นอกปราการเมืองนั้น บุรุษชุดเกราะเงินและบุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีเทายืนอยู่ ส่วนตงป๋อเลี่ยและภรรยากำลังบอกลาบุตรชายทั้งสอง
“เสวี่ยอิง ดูแลน้องชายเจ้าให้ดี เข้าใจไหม” ม่อหยางอวี๋กำชับกำชา
“อืม” เสวี่ยอิงพยักหน้า ตาแดงก่ำ น้ำตาไหลลงมาแล้ว
“แง ๆ…” เสวี่ยอิงจูงมือน้องชาย แต่ชิงสือผู้น้องกลับร้องไห้งอแงขึ้นมาทันที
ทันใดนั้น ม่อหยางอวี๋อดไม่ได้ คุกเข่าลงกอดและหอมลูกชายทั้งสอง ตงป๋อเลี่ยยืนน้ำตารื้นอยู่อีกด้านหนึ่ง
“พวกเราไปเถอะ” ม่อหยางอวี๋กัดฟัน เดินหันไปทางบุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีเทาที่อยู่ลิบๆ พร้อมกับสามี
เมื่อเดินไป พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไป
“ฮือ อย่าไป อย่าไป อย่าไปสิ” ชิงสือผู้น้องทั้งร้องไห้ทั้งตะโกน
ขณะจูงมือน้องชาย น้ำตาของเสวี่ยอิงก็ไหลเช่นกัน เขาตะโกนเสียงสูงว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าตงป๋อเสวี่ยอิงขอสาบานว่า...ต้องช่วยพวกท่านกลับมาได้แน่ ครอบครัวเราต้องกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งได้แน่ ได้แน่นอน”
“ข้าสาบาน”
“ข้าสาบาน ต้องช่วยพวกท่านได้แน่! ใครก็ขวางไม่ได้หรอก!”
เสียงตะโกนของเสวี่ยอิงสะท้อนก้องท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี
ม่อหยางอวี๋เม้มปาก อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา ร่างของตงป๋อเลี่ยก็สั่นเทิ้ม พวกเขาทั้งสองเดินขึ้นไปบนหลังของพญาแร้งสี่ปีก
“ไปได้แล้วน่ะ” บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีเทาส่ายหน้าเบาๆ
ช่วยหรือ
ช่วยอย่างไรล่ะ เขาผู้เป็นพี่ชายก็อยากช่วย แต่กฎตระกูลไม่ปรานีผู้ใด กฎตระกูลของตระกูลม่อหยางจะให้ใครมาขอความเห็นใจก็ไร้ประโยชน์ ต้องเป็นชีวิตเหนือธรรมดาจึงจะช่วยได้กระมัง
ไม่เพียงแต่เขา ตงป๋อเลี่ยและภรรยาเอง ทั้งสองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าบุตรชายจะช่วยพวกเขากลับมาได้ ไม่ใช่ว่าดูถูกลูกตัวเอง หากแต่กลัวว่า จะช่วยพวกเขาได้นั้น ต้องเป็นชีวิตเหนือธรรมดา และชีวิตเหนือธรรมดาแท้จริงคงเป็นเพียงตำนานเท่านั้น
“ฟิ้ว” พญาแร้งสี่ปีกกระพือปีก พุ่งตรงสู่ฟ้าในทันใด
ตงป๋อเลี่ยและม่อหยางอวี๋ที่อยู่บนหลังพญาแร้งต่างหันไปมองเบื้องล่าง ที่นอกประตูปราการเมืองนั้น เด็กที่ยืนอยู่ คนหนึ่งตัวเล็ก คนหนึ่งตัวใหญ่ ทั้งสองบอบบางถึงเพียงนั้น หัวใจของตงป๋อเลี่ยและภรรยาบีบรัดแน่น พวกเขาจะทิ้งลูกของตนไปได้อย่างไร
“ใช้ชีวิตต่อไปให้ดีๆ ใช้ชีวิตต่อไปให้ดีๆ” ม่อหยางอวี๋พึมพำเงียบๆ นับจากนี้เป็นต้นไป นางจะขอพรให้ลูกทั้งสองของตน หวังว่าพวกเขาจะสงบสุข
เสวี่ยอิงจูงมือน้องชาย เงยหน้ามอง
พญาแร้งบินมุ่งหน้าไปไกลด้วยความเร็วสูง และกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ ณ ที่ไกลลิบอย่างรวดเร็ว
“อย่าไป อย่าไป” ชิงสือผู้น้องร้องไห้
ตงป๋อเสวี่ยอิงอุ้มน้องชายขึ้นมา “เจ้าก้อนหินอย่าร้อง อย่าร้อง พวกท่านพ่อเพียงแค่ออกไปเดินเล่นรอบหนึ่งเท่านั้น ไม่นานก็กลับมาแล้ว พี่รับรองกับเจ้าได้เลย”