ตอนที่ 25
ตอนที่ 25 รายงานข่าว
“เสวี่ยอิง แท้จริงแล้วเจ้าพบอะไรกันแน่” แม้จงหลิงจะเชื่อเสวี่ยอิง แต่ก็ยังคงรู้สึกสมองเต็มไปด้วยละอองหมอกดังเดิม
“ข้าก็ไม่รู้” ”ตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นศีรษะ “แค่ความรู้สึกอย่างหนึ่งเท่านั้น ว่าถ้าหากอยู่ที่นั่นต่อไป อาจตายได้ตลอดเวลา”
“รังซ่องสุมของกองมีดโค้งอยู่ในลาดเขานั่นมานานปีขนาดนั้น มิใช่ว่ายังอยู่ดีหรอกหรือ” จงหลิงสงสัย
“อันนี้ข้าเองก็ไม่รู้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “ไม่สนเรื่องพวกนี้แล้ว ท่านอาจง ตอนนี้พวกเราทำการใหญ่สำเร็จแล้ว ควรกลับบ้านได้แล้วล่ะ”
“อื้อ ควรกลับบ้านได้แล้ว” จงหลิงก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งค่าย
ในที่ตั้งค่ายมีกองกำลังทหารร้อยนายของแดนอินทรีหิมะประจำการอยู่
“ใต้เท้าเจ้าแดน”
“ใต้เท้าเจ้าแดน” เหล่าทหารที่เดินลาดตระเวนอยู่ในบริเวณนั้นล้วนเรียกเขาอย่างเคารพทีละคนๆ ไม่นานนายกอง “หยางเฉิง” นายกองแห่งกองกำลังทหารร้อยนายก็มาต้อนรับ
เมื่อนายกองหยางเฉิงมาต้อนรับก็พูดอย่างตกใจว่า “ใต้เท้าเจ้าแดน ใต้เท้าจงหลิง เหตุใดวันนี้จึงกลับมาเร็วขนาดนี้เล่าขอรับ ปกติต้องฟ้ามืดจึงจะกลับ ตอนนี้ยังห่างจากเวลาที่ฟ้าจะมืดตั้งมากโข”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
วันนี้ตั้งแต่เช้าก็เข้าไปในหุบเขาทำลายล้างสังหารฝูงหมาป่าจันทร์เงิน หลังสังหารราชันย์หมาป่าเรียบร้อยก็เดินทางกลับแล้ว เพียงแค่ระหว่างทางถูกกองมีดโค้งทำให้ล่าช้าลงไปบ้าง ตอนนี้ยังต้องอีกหนึ่งถึงสองชั่วยามกว่าฟ้าจะมืด
“นายกองหยางเฉิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “ข้าและท่านอาจงกะไว้ว่าจะออกเดินทางตอนนี้ รีบกลับแดนอินทรีหิมะ ส่วนพวกเจ้าก็ประจำการต่อไป รอพรุ่งนี้ตอนฟ้าสว่างค่อยเร่งเดินทางกลับ”
“กลับแดนอินทรีหิมะแล้วหรือขอรับ” นายกองหยางเฉิงมีสีหน้ายินดี ทุกวันอยู่ในค่ายกลางป่า อากาศหนาวเย็นจับใจ ไหนเลยจะสบายเท่าอยู่ในปราการเมือง
“ถูกต้อง” จงหลิงพูด “ข้าและท่านเจ้าแดนจะกลับไปก่อน เจ้าต้องดูแลเหล่าทหารให้ดีล่ะ ”
“วางใจเถิด ใต้เท้าจงหลิง” นายกองหยางเฉิงพูดพลางตบอกรับรอง
ไม่นานนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงและจงหลิงต่างก็แยกกันขี่ม้าแคระน้ำค้างเหินคนละตัว เริ่มเร่งเดินทางไปยังแดนอินทรีหิมะ
ความอึดในการวิ่งและการแบกน้ำหนักของสัตว์มารม้าแคระน้ำค้างเหินนั้นดียิ่ง แม้ว่าขนราชันย์หมาป่าจันทร์เงินจะหนักเกือบสองพันชั่ง แต่ตลอดทางม้าน้ำค้างเหินก็ยังคงรักษาความเร็วที่ค่อนข้างสูงวิ่งไปข้างหน้า เมื่อม้าแคระที่ตนนั่งอยู่นั้นเริ่มเหนื่อยบ้างแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงสลับม้ากับจงหลิง…ให้ม้าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
……
ฟ้ามืดแล้ว
เมื่อได้สัมผัสพื้นถนนที่ทั้งแข็งและเย็นยะเยือกนั้น ม้าแคระน้ำค้างเหินสองตัวก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงดุจลมสองสาย
“ข้างหน้านี้ก็ถึงแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นภูเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่งอยู่ไกลลิบๆ นั่นก็คือภูเขาที่ตั้งตามชื่อของเขาและน้องชาย “ภูเขาเสวี่ยสือ” นั่นเอง
“ในที่สุดก็กลับมาแล้ว” จงหลิงก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้ว
“ป่านนี้ชิงสือคงกำลังจะกินข้าวแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจเบิกบานเป็นสุข เป้าหมายที่ไปหุบเขาทำลายล้างในครั้งนี้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งสิ่งที่ได้รับกลับมานั้นเกินคาดเป็นอย่างมาก อย่างน้อยเรื่องที่น้องชายจะไปฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์นั้นย่อมไม่มีปัญหาแล้ว
ม้าแคระน้ำค้างเหินสองตัวทะยานมาจนถึงทางเขา
พวกเขาเลียบทางเขาพุ่งตรงขึ้นไปด้านบนไม่หยุด
“ใต้เท้าเจ้าแดน” ตามด่านต่างๆ บนภูเขาล้วนมีทหารรักษาการณ์อยู่ พวกเขามองแวบเดียวก็จำได้ว่า ที่อยู่บนบนม้าแคระน้ำค้างเหินสองตัวนั้นคือใต้เท้าเจ้าแดนและใต้เท้าจงหลิงผู้ว่าการของตน พวกเขาล้วนนอบน้อมอย่างยิ่ง
ทั้งทางปลอดโปร่ง พวกเขาตรงดิ่งไปยังประตูปราการเมือง
“เปิดประตู”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขี่ม้าพลางตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“อา เป็นท่านเจ้าแดน” เหล่าทหารรักษาการณ์จำได้แทบจะทันที “เร็วเข้า รีบปล่อยสะพานแขวนลงเร็วเข้า เปิดประตูปราการเมืองเสีย”
“คุณชายน้อยชิงสือ คุณชายน้อยชิงสือ ท่านเจ้าแดนกลับมาแล้วขอรับ ท่านเจ้าแดนกลับมาแล้วขอรับ” ในปราการเมืองก็มีคนรับใช้วิ่งไปรายงานอย่างรวดเร็วด้วยเสียงอันดังเช่นกัน
ตึง….
สะพานแขวนของปราการเมืองถูกปล่อยลงอย่างช้าๆ ประตูเมืองก็ถูกเหล่าทหารผลักเปิดออกอย่างแรง
เมื่อประตูเปิดออก ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกไปจากบนหลังม้า ก็เห็นว่าไกลออกไปนั้น เด็กชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าหนาเตอะจนตัวกลมเหมือนหมีน้อยกำลังวิ่งตรงรี่เข้ามาอย่างมีความสุข
“ท่านพี่” ชิงสือตื่นเต้นยินดีจนตาเป็นประกาย
“ฮ่าๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลงจากหลังม้าแล้วส่งม้าให้ทหารข้างๆ
เขายิ้มออกมาทันใด มองชิงสือที่กำลังวิ่งรี่เข้ามา เขาอุ้มน้องชายขึ้นมาในอ้อมแขนเดียว แม้ว่าจะกำลังสะพายขนราชันย์หมาป่าหนักเกือบสองพันชั่งอยู่ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเป็นถึงอัศวินผู้แข็งแกร่งที่ให้ม้ามายืนบนแขนก็ยังได้ อุ้มน้องชายจะสบายขนาดไหน
“ท่านพี่ ไหนท่านบอกว่าสิบวันหรือครึ่งเดือนก็จะกลับมาแล้ว นี่ตั้งสิบแปดวันเต็มๆ เชียวนะ” ชิงสือพูดต่อ นับรวมที่เร่งวันเร่งคืนกลับมา ก็เป็นสิบแปดวันจริงๆ
”ข้ามาช้าไปแล้ว ช้าไปแล้ว เจ้ากินข้าวเย็นหรือยัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“กำลังเตรียมจะกินก็ได้ยินว่าท่านพี่กลับมาแล้ว” ชิงสือตื่นเต้นดีใจ จากนั้นตาเขาก็เป็นประกาย “ท่านพี่ ท่านสะพายขนอะไรอยู่น่ะ สวยจังเลย สวยมาก นุ่มมากเลย” เขาเอื้อมมือไปลูบแล้วลูบอีก
“ขนนี่ยังไม่ได้จัดการทำความสะอาดให้เรียบร้อย รอจัดการเสร็จแล้วค่อยให้เจ้าเล่นนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ไป ไปกินข้าวกันเถอะ”
เขาอุ้มน้องชายเดินเข้าไปในปราการเมือง
ยามนี้ที่ประตูปราการเมืองมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ก็คือถงซาน มนุษย์สิงห์ผู้กล้าแกร่งแสนองอาจ ยามนี้ถงซานกำลังแยกเขี้ยวหัวเราะคิกคัก เขาดีใจมากจริงๆ ได้เห็นจงหลิงและเสวี่ยอิงกลับมา ทั้งยังสะพายขนราชันย์หมาป่าจันทร์เงินผืนยักษ์นั่นมาด้วย เขาก็รู้แล้วว่า...การออกไปครั้งนี้นั้นประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่แน่ อาศัยสายตาของเขาที่ผจญภัยมานานปี มองแวบเดียวก็จำได้แล้วว่า ขนนั่นต้องเป็นของราชันย์หมาป่าจันทร์เงินเป็นแน่ ขนหมาป่าทั่วไปย่อมผืนไม่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่สวยงามถึงเพียงนี้
“ท่านอาจง ท่านอาถง ไปกินข้าวกันเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเรียก
“ไป ไปด้วยกัน” ถงซานและจงหลิงล้วนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
“เย้ๆ ท่านพี่กลับมาแล้ว กลับมาแล้ว” เมื่อถูกตงป๋อเสวี่ยอิงกอด ชิงสือน้องชายก็ดีใจจนไชโยโห่ร้อง
……
ส่วนที่อีกด้านหนึ่งนั้น
แกนหลักของกองมีดโค้งถูกทำลายจนสิ้น เจ็บตายสาหัส พวกโจรกระจอกที่เหลืออยู่ย่อมต้องหอบเอาของมีค่าในรังซ่องสุมแล้วเริ่มหนีกระจายไปสี่ทิศอยู่แล้ว หลังพวกมันหนีออกไป ข่าวที่ว่า “กองมีดโค้งถูกเจ้าแดนหนุ่มน้อยแห่งแดนอินทรีหิมะขุดรากถอนโคน” ก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด
ดึกสงัด
ณ เมืองอี๋สุ่ย หอภูผามังกร
“ใต้เท้าซืออานขอรับ” โหยวถูชายชราผมขาวยืนอยู่หน้าประตูห้องแล้วพูดเสียงต่ำ
บุรุษผมดำวัยกลางคนหาวหวอด ปรือตาขึ้นมาครึ่งหนึ่งแล้วพูดอย่างสบายๆ ว่า “โหยวถูเอ๋ย ดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดนี้ เจ้ายังมาปลุกข้า มีเรื่องอันใดกัน”
“ใต้เท้าซืออาน เมืองอี๋สุ่ยของเราเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วขอรับ” ชายชราผมขาวพูดเสียงต่ำ
“เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่อะไรกัน” ใต้เท้าซืออานถามอย่างสงสัย
“กองมีดโค้งถูกทำลายแล้ว” ชายชราผมขาวเอ่ยเสียงต่ำ
ใต้เท้าซืออานตะลึง
กองมีดโค้งหรือ
กองโจรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แข็งแกร่งที่สุดในทั้งเขตแดนเมืองอี๋สุ่ยน่ะหรือ กองมีดโค้งที่มีก้ายปินดาบโค้ง อัศวินดาวตกที่แข็งแกร่งที่สุดปกครองทั้งยังมีนักเวทย์ชั้นฟ้าและอัศวินชั้นฟ้าอยู่ใต้บังคับบัญชาตั้งเป็นฝูงถูกทำลายแล้วอย่างนั้นหรือ
“ข่าวไม่ผิดแน่นะ” ใต้เท้าซืออานไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง “กองมีดโค้งที่ก้ายปินคุมอยู่น่ะหรือ ทั้งกองมีดโค้งนั้นเจ้าเล่ห์ยิ่ง เห็นท่าไม่ดีก็หนีแล้ว จะถูกทำลายได้ด้วยหรือ”
“ถูกต้อง กองมีดโค้งที่ก้ายปินคุมอยู่นั่นแหละขอรับ” ชายชราผมขาวพยักหน้า “ขนาดตัวก้ายปินเองยังถูกสังหารเลย นักเวทย์ชั้นฟ้าและชั้นดินทั้งหมดไปจนถึงอัศวินและนักเวทย์ธรรมดาส่วนใหญ่ของทั้งกองมีดโค้ง…ล้วนถูกปราบจนสิ้นแล้ว ทั้งยังถูกคนเพียงคนเดียวสังหารด้วย”
“ผู้ใดกัน” ใต้เท้าซืออานถาม
“ก็เจ้าแดนหนุ่มน้อยที่ลือกันว่าฝึกหอกจนกลายเป็นมารผู้นั้นอย่างไรเล่าขอรับ” ชายชราผมขาวพูดเสียงต่ำ “ตงป๋อเสวี่ยอิง”
ใต้เท้าซืออานตะลึง
ทำลายทั้งกองมีดโค้งด้วยพลังของคนๆ เดียวอย่างนั้นหรือ
ต้องมีพลังขนาดไหน อย่างน้อยคงต้องเป็นชั้นดาวตกกระมัง หรือเป็นไปได้มากว่าอาจถึงขั้นอัศวินจันทร์เงิน
“ม้วนรายงานโดยละเอียดเล่า” ใต้เท้าซืออานถาม
“อยู่นี่ขอรับ” ชายชราผมขาวรีบส่งม้วนรายงานให้ “ข่าวเพิ่งแพร่มาถึง คนของหอภูผามังกรเราจับตัวสมุนธรรมดาของกองมีดโค้งที่หลงเหลืออยู่ได้สองสามคน พรุ่งนี้ก็จะนำตัวมาพบท่านเจ้าหอได้แล้ว”
ใต้เท้าซืออานพลิกม้วนรายงานมาอ่าน ความเหน็ดเหนื่อยที่มีอยู่ก็หายวับไป ทั่วสรรพางค์กายล้วนตื่นตัวเต็มที่
เครือข่ายรายงานข่าวของหอภูผามังกรนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด
รายงานข่าวเบื้องต้นที่รายงานมานั้น แทบจะนำสถานการณ์ทั้งหมดที่มีในเวลานั้นมาบันทึกไว้ทั้งหมด
“หากรายงานข่าวเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองอี๋สุ่ยในตอนนี้ คงต้องเป็นเจ้าแดนหนุ่มน้อยท่านนี้แล้ว” ใต้เท้าซืออานพูดเสียงเบาและต่ำ “คาดไม่ถึงเลยจริงๆ เขาเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน ตอนนั้นคู่สามีภรรยาตงป๋อเลี่ยและม่อหยางอวี๋ให้กำเนิดบุตรชายที่เก่งกาจถึงเพียงนี้เชียว”