ตอนที่ 12
ตอนที่ 12 ยุคโบราณกาล
“ก็ได้” มนุษย์สิงห์ถงซานทำได้เพียงสะกดความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ อย่างไรเสียเมื่อกินข้าวเสร็จก็จะได้รู้แล้ว ความอดทนแค่นี้เขายังพอมีอยู่หรอกน่า
“ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้ว”
ชิงสือและจงหลิงขี่ม้าแคระน้ำค้างเหินนำเหล่าทหารม้ากลุ่มหนึ่งกลับมาอย่างเชิดหน้าชูตา อย่างไรเสียเมืองอี๋สุ่ยก็เป็นเมืองระดับตำบลที่ถือกฎเกณฑ์น้อยที่สุดในทั้งอาณาจักร และทั้งเขตแดนเมืองอี๋สุ่ย ตระกูลตงป๋อแห่งดินแดนอินทรีหิมะก็เป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ ดังนั้นทุกครั้งที่ชิงสือไปเที่ยวเมืองอี๋สุ่ย จึงล้วนมีการชูธงตีฆ้องร้องป่าวดูทรงอิทธิพลนัก
น้องชายใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวัน ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูด้วยความยินดี
……
เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ชิงสือที่เที่ยวเล่นมาทั้งวันก็เหนื่อยเสียจนจวนจะไปนอนแล้ว แต่ตงป๋อเสวี่ยอิง จงหลิงและถงซานกลับมาพร้อมกันที่ห้องหนังสือ
“มาห้องหนังสือของเสวี่ยอิงทำไมกัน ถงซาน เหตุใดสีหน้าเจ้าจึงดูตื่นเต้นจนเกินทนไหวถึงเพียงนี้เล่า ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่” จงหลิงยังคงรู้สึกสมองเต็มไปด้วยละอองหมอก
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับแย้มยิ้ม พลางไปที่ชั้นหนังสือแล้วเริ่มต้นหาคัมภีร์เล่มที่ตนเคยอ่านในตอนแรกนั้น
“ข้าจะบอกเจ้าเอง”
ถงซานสูดลมหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง “วันนี้เสวี่ยอิงให้ย่างเนื้อสัตว์มารขั้นสามที่หนักกว่าหมื่นชั่งตัวนั้นจนสุก จากนั้นเขาก็กินคนเดียวจนหมดเกลี้ยง”
จงหลิงเบิกตาโพลง
คนเดียวกินเนื้อกว่าหมื่นชั่งหมดอย่างนั้นหรือ นี่ใช่คนหรือเปล่า เป็นมังกรยักษ์แล้วกระมัง
“อาศัยความสามารถของเขาในตอนนี้ เกรงว่าคงเอาชนะข้าและเจ้าได้ในกระบวนเดียวแล้ว” ถงซานพูดต่อ “หุ่นแปรธาตุในลานฝึกยุทธ์นั่น เดี๋ยวเจ้าลองไปดูก็ได้ ถูกหอกยาวของเสวี่ยอิงฟาดสามทีก็แหลกละเอียดแยกเป็นชิ้น ๆ แล้ว ขนาดหอกของเสวี่ยอิงเล่มนั้นก็ยังทนรับพลังไม่ไหว หักไปเสียแล้ว”
“อะไรนะ” จงหลิงตกตะลึง
หอกยาวเล่มนั้นของเสวี่ยอิงหนักห้าสิบชั่ง ทั้งยังเป็นหอกที่ปรมาจารย์ด้านแปรธาตุเป็นผู้หล่อขึ้น แม้เป็นอาวุธที่ไม่ได้ถูกจัดลำดับชั้น แต่หากจะให้อัศวินชั้นฟ้าใช้ก็ยังเกินพอเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ตัวด้ามหอกเองก็ถนัดเก็บรับพลังอยู่แล้ว จะให้หอกยาวหักได้ ต้องใช้พละกำลังมหาศาลเพียงใดกัน
“แท้จริงแล้วมันเรื่องอะไรกันแน่” จงหลิงเอ่ยถาม
“ข้าก็อยากรู้ แต่เสวี่ยอิงพูดแล้วว่า ต้องบอกข้าและเจ้าพร้อมกันสองคน” ถงซานมองไปยังเสวี่ยอิง จงหลิงก็มองเช่นกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูคัมภีร์ที่อยู่บนชั้นหนังสือ ไม่นานก็หาพบ เขาพลิกดูทีละหน้า ๆ อย่างรวดเร็วจนหาหน้าที่เคยอ่านในตอนแรกพบ ก่อนใช้นิ้วมือทำร่องรอยบนข้อความท่อนหนึ่ง แล้วส่งคัมภีร์ให้จงหลิงพลางยิ้มพูดว่า “ท่านอาจง ท่านอาถง นิทานปรัมปราเล่มนี้นี่แหละ พวกท่านอ่านข้อความตรงนี้ดูให้ละเอียด คาดว่าก็คงจะเข้าใจแล้วล่ะ”
“เอ๋” จงหลิงรับไปด้วยความแปลกใจ ถงซานก็ยื่นหน้ามาดู
จงหลิงดูปกคัมภีร์ก่อน อัศวินตัดฟืน คือชื่อของคัมภีร์เล่มนี้
“เป็นเขา อัศวินตัดฟืนอย่างนั้นหรือ” จงหลิงและถงซานสะดุ้งนิดหนึ่ง แม้พวกเขาทั้งสองจะไม่ค่อยอ่านหนังสือสักเท่าไหร่ แต่ช่วงที่ยังผจญภัยอยู่นั้นก็ได้ยินตำนานต่าง ๆ มาไม่น้อย หนึ่งในนั้น เรื่องของ ‘อัศวินตัดฟืน’ เป็นเรื่องที่ถ่ายทอดกันในวงกว้างมาก อัศวินตัดฟืนท่านนี้เป็นอัศวินท่านหนึ่งที่มีชีวิตอยู่เมื่อห้าพันกว่าปีก่อน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นนี้ เพราะว่าเขามีพละกำลังแกร่งกล้ามาก
เขาเคยเป็นคนตัดไม้ในชนบทมาก่อน ภายหลังจึงเดินมาตามเส้นทางของอัศวิน เมื่ออยู่ในชั้นสมญา เขาใช้เพียงขวานเล่มหนึ่งฟันชีวิตเหนือธรรมดาตาย เมื่อได้เป็นชีวิตเหนือธรรมดา ในหมู่พวกเหนือธรรมดานั้นยิ่งไม่มีคู่ต่อกร
สมญาของเขาก็คือ “ตัดฟืน” นี่คือชื่อที่เขาเลือกเอง
เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “พวกเหนือธรรมดาที่แข็งแกร่งที่สุด” แห่งยุคสมัยนั้น ความแกร่งของเขานั้น อยู่ในระดับที่ชีวิตเหนือธรรมดาใดก็ตามมิอาจต้านทานขวานของเขาได้เกินสองสามครั้ง น่ากลัวถึงเพียงนั้นทีเดียว
“พวกท่านอ่านข้อความท่อนนั้นดูก่อนเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพูด เมื่อเขายังอยู่ในวัยเด็ก เขาก็เคยเคารพอัศวินตัดฟืนท่านนี้มานาน เพราะว่าดูช่างทรงอิทธิพลนัก ตลอดชีวิตเขาชอบตัดฟืน แล้วก็นำศัตรูมาตัดเหมือนฟืน จะเป็นมังกรยักษ์หรือมารร้าย ก็ตัดเหมือนกันทั้งนั้น
“อืม” จงหลิงหันกลับมามองข้อความนั้น ถงซานก็เพ่งมองเช่นกัน...
“ใช่แล้ว อัศวินตัดฟืนก็คือสายเลือดขวานยักษ์ตามตำนาน ที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายแล้วตื่นรู้ขึ้นมาในชั่วขณะนี้ ผู้เขียนควรต้องเขียนตรงนี้หน่อยว่า ที่จริงแล้ว มวลมนุษย์ทั้งหมด รวมทั้งข้าและพวกเจ้า ในร่างกายล้วนมีสายเลือดนับไม่ถ้วนซ่อนเร้นอยู่
“ในโลกคู่ขนานของทั้งอาณาจักรนั้น เมื่อตอนถือกำเนิด ทั้งโลกคู่ขนานไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ เวลานั้นสภาพแวดล้อมของโลกคู่ขนานเลวร้ายยิ่งนัก”
“โลกคู่ขนานผ่านการบ่มเพาะที่ยาวนานของกาลเวลา ในที่สุดก็ค่อย ๆ ก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง พวกเขาก็คือสิ่งมีชีวิตยุคเริ่มแรกสุดแห่งยุคโบราณกาล สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนมีพละกำลังมหาศาลจนน่ากลัว สามารถแบกภูเขาใหญ่แล้ววิ่งพล่านไปทั่วทิศ ฉีกฆ่ามังกรยักษ์แล้วดื่มเลือดกินเนื้อ...มังกรยักษ์เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาล้วนดูเล็กจ้อยเปราะบาง ขนาดเหล่าทวยเทพที่อยู่นอกโลกคู่ขนานยังไม่กล้าลงมาเลย”
“พวกสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเหล่านี้เพิ่มเป็นทวีคูณไม่หยุด จนเกิดเป็นมวลมนุษย์ขึ้นมา ดังนั้นในร่างกายมนุษย์เราทุกคน ล้วนมีเส้นเลือดของสิ่งมีชีวิตยุคโบราณกาลเหล่านี้ไหลเวียนอยู่”
“อีกทั้งย้อนกลับไปในวันคืนที่ยาวนาน ทวยเทพก็เคยลงมา และทิ้งผู้สืบทอดเอาไว้ท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์”
“มวลมนุษย์เพิ่มทวีคูณไม่หยุด เกรงว่าหากสุ่มเอามนุษย์มาสักคน สอบย้อนกลับไปสักหมื่นปี
ก็คงสืบหาเจอว่าสายเลือดนั้นล้วนเป็นเชื้อสายเดียวกัน”
“มนุษย์ทุกคน ล้วนมีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตโบราณกาลและทวยเทพเหล่านี้ แน่นอนว่าเป็นเพียงสายบางเบาอย่างที่สุด”
“ผู้สืบทอดสายเลือดโดยตรงล้วนแข็งแกร่งยิ่งกว่า ดังเช่น “จักรพรรดิหลงซาน” ผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างอาณาจักรหลงซาน หลังกลายเป็นเทพได้มีโอรสองค์หนึ่ง ซึ่งก็คือองค์ชายสิบสองในตำนาน เมื่อเกิดมาก็เป็นชีวิตเหนือธรรมดาเลย เป็นเพราะว่าเสด็จพ่อของเขาเป็นเทพที่แข็งแกร่งมากองค์หนึ่ง สายเลือดในกายทำให้เมื่อเขาเกิดมาก็เป็นชีวิตเหนือธรรมดาทันที”
“ยุคโบราณกาล ยุคโบราณไกล ยุคโบราณเก่า...จนถึงวันนี้ พวกเราก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น สายเลือดของสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเหล่านั้นบางยิ่งกว่าบาง”
“แต่ว่าบางทีอาจมีสายเลือดโบราณกาลที่ยังตื่นรู้อยู่บ้าง บ้างก็เป็นสายเลือดขวานยักษ์ บ้างก็เป็นสายเลือดเทพยิงธนู บ้างก็เป็นสายเลือดที่ถนัดในการวิ่ง….บ้างก็สามารถเคลื่อนที่ได้ในแวบเดียว บ้างก็สามารถควบคุมสายฟ้าได้ บ้างก็ได้ยินมาว่าสามารถแปลงร่างได้ร้อยแปดพันเก้า บ้างก็แทบจะเป็นร่างอมตะ…”
“แต่ตามที่ผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลไว้ ผู้ที่สายเลือดโบราณกาลได้ตื่นรู้นั้นในตอนแรกสร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คน... แต่ต่อมาก็กลืนหายไปกับผู้คน เกือบทั้งหมดล้วนไม่มีใครก้าวเข้าสู่ชั้นเหนือธรรมดาได้ เหตุใดข้าจึงเชิดชูอัศวินตัดฟืน ก็เพราะเขาดูแลสายเลือดของตนอย่างสงบ สุดท้ายแล้วก็สำเร็จเป็นพวกเหนือธรรมดาที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้น”
“หลังสายเลือดโบราณกาลของอัศวินตัดฟืน “สายเลือดขวานยักษ์” ได้ตื่นรู้แล้ว ต่อมาเขาก็ได้พบกับสตรีนางหนึ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ละเอียดเพียงใดนั้น ต้องฟังผู้เขียนเล่าให้ละเอียดลออ…”
นิทานปรัมปราหนาเตอะทั้งเล่ม ที่เกี่ยวข้องกับสายเลือดโบราณกาลมีเพียงท่อนนี้เท่านั้นเอง
ต่อจากนั้นก็เป็นตำนานชีวิตของอัศวินตัดฟืนแล้ว
“สายเลือดโบราณกาลอย่างนั้นหรือ” จงหลิงและถงซานต่างก็มองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิง
“ใช่ ข้าคงจะเป็นสายเลือดโบราณกาลที่ตื่นรู้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“สายเลือดอะไร” จงหลิงอยากรู้
“เจ้าเคลื่อนที่ได้ในแวบเดียวหรือไม่” ถงซานยิ่งตื่นเต้นดีใจ “ลองควบคุมสายฟ้าดูหน่อยเป็นอย่างไร เสกหลุมไฟดูหน่อยได้ไหม”
“ไม่ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างจนใจ
สายเลือดโบราณกาลแบ่งเป็นหลายชนิดมาก อย่างไรเสีย สิ่งมีชีวิตโบราณกาลที่ถูกบ่มเพาะในยุคแรกสุดของโลกคู่ขนานนั้นมีเป็นกลุ่ม ที่ตื่นรู้ในตัวเขาเองนั้น หากเทียบกันแล้วออกจะธรรมดาเสียหน่อย
“ในคัมภีร์นี้บอกว่า สายเลือดโบราณกาลล้วนมีเรื่องที่ถนัดมิใช่หรือ” จงหลิงพูด
“อันที่จริงแล้วความพิเศษของข้านั้น หากแสดงออกมาแล้วคงรุนแรงน่าดู” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ความพิเศษของข้าก็คือพลังระเบิดออกมาเป็นเท่าทวี”
“เท่าทวี” จงหลิงและถงซานล้วนใจเต้นแรงจนไฟแทบลุก
พวกเขาก็อยากมีเช่นกัน
อัศวินคนไหนไม่อยากมีพลังเป็นเท่าทวีกันเล่า แม้จะไม่มีความพิเศษพวกเคลื่อนที่ได้ในแวบเดียว หรือแปลงร่างได้ร้อยแปดพันเก้า แต่พลังเป็นเท่าทวีนี่นับว่าใช้ได้จริงอย่างยิ่งทีเดียว
“แต่พอเริ่มระเบิดพลัง พลังกายของข้าก็จะเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ปกติข้ารบหนักเป็นชั่วยามก็ไม่เหนื่อย แต่เมื่อออกแรงจนสุด เกรงว่าเพียงครู่เดียวก็ต้องอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว ดังนั้นเวลาที่ข้าสู้สุดแรงได้นั้นมีจำกัดมาก”
“แล้วพละกำลังของเจ้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” จงหลิงอยากรู้
“ยามต่อสู้ธรรมดา ก็ประมาณเดียวกับอัศวินดาวตก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เช่นนั้นพลังเป็นเท่าทวีก็ไม่ใช่ว่าเทียบเท่าอัศวินจันทร์เงินแล้วหรือ” จงหลิงและถงซานล้วนตื่นเต้นยินดี
“เพียงแค่พลังมากขึ้นเท่านั้น ด้านความเร็วก็ด้อยกว่าอัศวินจันทร์เงินขั้นหนึ่งแล้ว อีกทั้งเวลาที่ใช้พลังได้ต่อเนื่องกันก็สั้นด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้ม ๆ
“ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็เถอะ บัดนี้เจ้าก็เป็นผู้ที่พละกำลังแกร่งกล้าที่สุดในเมืองอี๋สุ่ยแล้ว” จงหลิงรอคอย “ฮ่า ๆ ข้าว่าแล้ว เสวี่ยอิง เจ้าขยันถึงเพียงนี้ ฝึกฝนหอกยาวมาถึงบัดนี้ก็ใกล้จะสิบปีแล้ว หากยังไม่ก่อเกิดพลังการต่อสู้ก็เห็นได้ชัดว่าผิดธรรมดามาก ผลสุดท้ายก็คือยังไม่ระเบิดพลังก็แล้วไป พอระเบิดออกมาก็ชวนให้คนตะลึงจริง ๆ ด้วย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มแล้วยิ้มอีก
ที่จริงแล้วการตื่นรู้ครั้งนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความคิดของตนเองเช่นกัน
มนุษย์ทุกคนล้วนมีสายเลือดโบราณกาลซ่อนเร้นอยู่ ทวีคูณรุ่นแล้วรุ่นเล่าจนไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว ทุกคนล้วนมีสายเลือดบางเบาอะไรกัน เหตุใดจึงมีคนบางพวกที่ตื่นรู้ได้เล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้มีตัวอย่างให้ศึกษาได้มากมาย แต่จาก “อัศวินตัดฟืน” ก็พอเห็นได้บ้างเล็กน้อย นี่คือผู้ที่ชอบตัดฟืนมากคนหนึ่ง...ชอบตัดฟืนมาตลอด สุดท้ายสายเลือดขวานยักษ์ก็ตื่นรู้ส่วนตนนั้นฝึกฝนหอกยาว ทุกวันล้วนบีบอัดเอาพลังที่แขนและนิ้วมือออกมาจนถึงขีดสุด ต้องแช่ยาอาบถึงจะฟื้นฟูได้
ฝึกสุดชีวิตทุกวันเช่นนี้ หรือว่านี่คงเป็นเหตุจูงใจให้สายเลือดพละกำลังตื่นรู้กระมัง
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่รู้ว่าขณะที่ตนตื่นรู้นั้น ยักษ์สูงตระหง่านที่ร้องคำรามที่เห็นอย่างเลือนรางนั้นแท้จริงแล้วเป็นผู้ใด ดังนั้นจึงเรียกสายเลือดโบราณกาลของตนอย่างง่าย ๆ ว่า “สายเลือดพละกำลัง”
“ตอนนี้เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ก็เหมือนกับร่างกายคนธรรมดานั่นแหละ ภายใต้การหล่อเลี้ยงของพลังการต่อสู้ ร่างกายก็จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ข้ารู้สึกได้ว่าภายใต้การหล่อเลี้ยงของพลังการต่อสู้นั้น ร่างกายข้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องเลย”
“ฮ่าๆๆ”จงหลิงและถงซานต่างก็หัวเราะขึ้นมา
วันนี้พวกเขาช่างเบิกบานใจเสียจริง
แต่เดิมนั้นพวกเขาคิดว่าคำสาบานที่เด็กน้อยวัยเยาว์คนนั้นตะโกนออกมาจะเป็นเพียงแค่ความหวังของเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ตอนนั้นคนอื่นที่อยู่ในที่นั้นล้วนไม่มีใครเชื่อว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถช่วยท่านพ่อท่านแม่ของเขาได้จริง เพราะว่านั่นยากเกินไป
หากวันนี้ พวกเขาทั้งสองมีหวังแล้ว
“ใช่แล้ว จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าก็ไม่ต้องแช่ยาอาบแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้ม ๆ “ร่างกายของข้าแม้นมิอาจเรียกได้ว่าเป็นอมตะ แต่พลังการฟื้นฟูนั้นแข็งแกร่งกว่ายาอาบมากมายนัก”
พูดพลางตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยิบมีดตัดกระดาษเล่มหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมากรีดลงที่กลางฝ่ามือ เกิดเป็นบาดแผลรอยหนึ่ง หากเป็นยาอาบแล้ว วันที่สองก็จะหายได้สนิท
แต่ในขณะนั้น แผลบนฝ่ามือก็สมานกันจนสนิท เพียงชั่วลมหายใจเดียว บาดแผลก็หายไปโดยสิ้นเชิง
อันที่จริงแล้ว ร่างกายยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ พลังการฟื้นฟูก็จะยิ่งน่าตกใจมากขึ้นเท่านั้น
ดังเช่นอวัยวะภายในของอัศวินจันทร์เงินล้วนวิวัฒนาการด้วยการหล่อเลี้ยงของพลังการต่อสู้ พลังการฟื้นฟูของร่างกายก็น่าตกใจมาก ร่างกายอัศวินชั้นสมญาได้รับการกัดเซาะของพลังระหว่างฟ้าดิน...ก็ยิ่งเข้าใกล้ความเป็นอมตะเข้าไปอีก ยิ่งเหลือเชื่อกว่าของตงป๋อเสวี่ยอิง แม้จะว่ากันว่า อัศวินสมญาสามารถเสพคนจนตายได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงหลักการเท่านั้น
อย่างไรเสีย สิ่งที่ต้องแลกก็มีราคาสูงเกินไป
หากส่งทัพใหญ่ออกไปจริง อัศวินสมญาคงจัดการไปตั้งแต่แรก ย่อมไม่เปิดโอกาสให้โอบล้อมได้
จะฆ่าอัศวินสมญา ธรรมดาแล้วคงต้องใช้พลังรบของชั้นสมญาเหมือนกัน หรือไม่ก็ต้องให้พวกเหนือธรรมดาลงมือ
“อ้อ ยังมีเรื่องที่สำคัญอีกเรื่อง อีกวันสองวัน ข้าเตรียมจะไปเมืองอี๋สุ่ยสักครั้ง” จู่ ๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พูดขึ้นมา