ตอนที่ 11
ตอนที่ 11 ยิ่งใหญ่
“เจ้า...เจ้า…” มนุษย์สิงห์ถงซานมองไปยังโครงกระดูกใหญ่ของสัตว์มารที่เหลืออยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง “เสวี่ยอิง เจ้าหั่นเนื้อสัตว์มารออกไปเก็บไว้หมดแล้วใช่หรือไม่ เก็บไปไว้ที่ไหนแล้ว”
มนุษย์สิงห์ถงซานพูดพลางเริ่มมองหาทุกที่ในห้องอาหาร กระทั่งคุกเข่าลงมองหาใต้โต๊ะอาหารและใต้ตู้
“ท่านอา ข้ากินลงไปหมดแล้วจริง ๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างจนใจ
“เจ้ากินลงไปหมดแล้วหรือ เนื้อกว่าหมื่นชั่ง เจ้าก็ตัวโตแค่นี้ เจ้ากินลงไปหมดแล้วหรือ” ตาสิงห์ของถงซานเบิกโต “เจ้าจะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรกัน อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้เป็นอัศวินสมญามื้อหนึ่งก็คงกินเนื้อกว่าหมื่นชั่งไม่หมดหรอกกระมัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ
ด้วยเพราะครั้งนี้เขาข้ามระดับขัั้นของชีวิต ทุกอณูของเขาจึงหิวโหยหาใดเปรียบ เขาจึงต้องกินเยอะขนาดนี้ จากนี้ไปหากให้ตนกินอีก ตนก็คงกินไม่ลงแล้ว
“ท่านอาถง ท่านดูนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบจานเงินด้านข้างขึ้นมาใบหนึ่ง สองมืออกแรงกด
อย่างฉับพลัน จานเงินถูกกดยุบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นสองมือก็ออกแรงเข้าหากันสองครั้ง ลูกโลหะทำจากเงินก็ปรากฏอยู่กลางฝ่ามือ
“นี่…” ถงซานตาค้างพูดอะไรไม่ออก
มือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงจับลูกโลหะเอาไว้ ออกแรงอีกครั้ง ก็เห็นเพียงโลหะเงินค่อยๆไหลลงมาจากร่องนิ้ว
สองมือของตงป๋อเสวี่ยอิงประกบกัน คลึงไปมาไม่กี่ที ก็กลายเป็นแท่งโลหะสีเงินไปเสียแล้ว
“เจ้าทำได้อย่างไรกัน” ถงซานไม่กล้าเชื่อสายตา เขาและจงหลิงล้วนทำไม่ได้ ให้เขาออกแรง เขาสามารถบีบให้จานเงินแหลกได้ในหนึ่งฝ่ามือ และบีบให้ลูกโลหะเปลี่ยนรูปร่างได้ แต่จะให้บีบให้ลูกโลหะไหลลงมาจากร่องนิ้ว จนถึงขั้นใช้สองมือคลึง...ก็กลายเป็นแท่งโลหะเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงนั้น ออกจะพิสดารเกินไปแล้ว
“ข้าบอกแล้ว เนื้อสัตว์มารตัวนั้นถูกข้ากินหมดแล้วจริง ๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างจนใจ “ครานี้ท่านอาถงคงเชื่อข้าได้แล้วกระมัง”
“เชื่อ เชื่อ ตอนนี้เจ้าพูดอะไรข้าล้วนเชื่อทั้งนั้น แท้จริงแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดประเดี๋ยวเดียวเจ้าจึงแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เล่า นี่ นี่มัน...ข้าคิดไม่ตกจริง ๆ ” สมองของถงซานเต็มไปด้วยเมฆหมอก การยกระดับพลังนี้ต้องเป็นขั้นเป็นตอนไปทีละขั้น จากอัศวินชั้นมนุษย์ไปยังอัศวินชั้นดิน จากอัศวินชั้นดินไปยังชั้นฟ้า จากชั้นฟ้าไปยังระดับดวงดารา
“แม้แต่พลังการต่อสู้เจ้าก็ยังฝึกออกมาไม่ได้เลย แม้แต่อัศวินชั้นมนุษย์ก็ยังไม่ใช่ ทำไมกัน”ถงซานรู้สึกว่ายากเกินเข้าใจ
“ตอนนี้ใช่แล้วล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้น “ท่านอาถง ท่านรอข้าสักครู่นะ”
พูดแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ฝึกวิถีหมัดกลางห้องอาหารอันกว้างขวาง แต่ละกระบวนดั่งน้ำ ดุจเมฆพัดน้ำไหล พลังพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งกาย พลังระหว่างฟ้าดินไหลเข้าสู่ร่างกายไม่หยุด กล้ามเนื้อทุกจุดในร่างกายเริ่มก่อเกิดพละกำลังแปลกประหลาดขึ้นมา นี่ก็คือ...พลังการต่อสู้
ที่จริงก่อนหน้านี้หลังจากกินเนื้อสัตว์มารลงไปหมดแล้ว ในกายก็เริ่มก่อเกิดพลังการต่อสู้ขึ้นมาบ้างแล้ว
“พลัวะ พลัวะ พลัวะ” จากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ฝึกวิถีพรางอัคนีสามขั้น พลังการต่อสู้ในกายก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและกระดูกล้วนเริ่มปรากฏพลังการต่อสู้ ในเยื่อผิวหนังและเยื่อเส้นเอ็นนั้นก็ล้วนมีพลังการต่อสู้ พลังเร้นลับระหว่างฟ้าดินถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกายและถูกเปลี่ยนเป็นพลังการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง...ร่างกายเปรียบดังอุโมงค์ที่ไร้จุดสิ้นสุด พลังระหว่างฟ้าดินถูกดูดเก็บไว้จนสิ้น
วิถีการต่อสู้รอบแล้วรอบเล่า
เมื่อเริ่มต้นนั้นถงซานยังคงรู้สึกสับสนตื่นตะลึงและงุนงงสงสัยจนอยู่ไม่สุข แต่หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามเขาก็ค่อย ๆ สงบลง แต่หลังผ่านไปสองชั่วยาม เขาก็เริ่มรู้สึกจนใจแล้ว
“เหตุใดจึงยังฝึกอยู่อีกเล่า”
“แท้จริงแล้วจะฝึกไปถึงเมื่อไหร่กันนี่” ถงซานมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างแปลกใจและสงสัย
ต้องรู้สิว่าวิถีการต่อสู้นั้นใช่ว่าจะฝึกยิ่งมากยิ่งดี ก่อนที่จะเป็นอัศวิน โดยทั่วไปแล้วหากฝึกสองสามรอบก็เพียงพอแล้ว ร่างกายไม่มีทางจะดูดซับได้อีกต่อไป แต่หลังจากเป็นอัศวินแล้ว...การเติบโตของพลังการต่อสู้นั้นจะช้ามาก การดูดซับทุกวันนั้นมีขีดจำกัด ดังนั้นจำนวนครั้งในการฝึกจึงมีจำกัดเช่นกัน การฝึกต่อเนื่องเกินสองชั่วยามเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นผิดธรรมดาอย่างยิ่ง
“โครม” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ว่าพลังการต่อสู้ทุกส่วนในร่างกายกำลังไหลเวียน ในที่สุดก็ไร้ทางดูดซับพลังระหว่างฟ้าดินได้อีกต่อไป
“นึกไม่ถึงว่าข้าไม่ถึงขั้นมาตลอด พอถึงขั้นก็เป็นอัศวินชั้นดินเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงแอบพึมพำ “แน่นอนว่าพลังการต่อสู้ของข้าเป็นอัศวินชั้นดิน พลังที่แท้จริงของข้ากลับเกินกว่าพวกอัศวินชั้นดินไปไกลโข”
ตามแนวทางปกตินั้น
ในกายก่อเกิดพลังการต่อสู้สายแรกขึ้นมา ก็นับว่าเป็นอัศวินชั้นมนุษย์แล้ว
จากนั้นพลังการต่อสู้หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อ กระดูก และเส้นเอ็น ทำให้ส่วนที่ได้รับการหล่อเลี้ยงเหล่านี้ค่อย ๆ สร้างพลังการต่อสู้ขึ้นมา ส่วนที่สร้างพลังการต่อสู้ขึ้นมามีมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อครอบคลุมกล้ามเนื้อ กระดูก และเส้นเอ็นทั้งร่างก็เป็นอัศวินชั้นดิน
พลังการต่อสู้เติมเต็มทั้งร่าง พลังการต่อสู้รวมตัวกันจนเปิดจุดตันเถียน จุดชี่ไห่ซึ่งเป็นน้ำพุแห่งพลังการต่อสู้ นี่ก็คืออัศวินชั้นฟ้า
เมื่อ “พลังการต่อสู้” ในจุดตันเถียนและจุดชี่ไห่หลอมรวมกันเป็นของเหลวแล้ว ก็คือเป็น “อัศวินชั้นดาวตก” แล้ว หลังพลังการต่อสู้กลายเป็นของเหลวแล้วจะเกิดการเปลี่ยนสภาพ จะไม่แข็งกร้าวเหมือนก่อนอีกต่อไป หากแต่จะแข็งก็ได้ อ่อนก็ได้ พลังการต่อสู้ที่ทั้งแข็งและอ่อนผสานกันถึงขั้นสามารถสร้างชั้นปกป้องแห่งพลังการต่อสู้ที่ทนทานขึ้นมาบนผิวกาย นี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้เหล่าอัศวินชั้นดาวตกสามารถละเลยลูกดอกนับไม่ถ้วนได้ การป้องกันของชั้นปกป้องแห่งพลังการต่อสู้นี้นับว่าสูงยิ่ง ขณะเดียวกันพลังการต่อสู้ในรูปของเหลวยังสามารถหล่อเลี้ยงร่างกายได้ลึกล้ำขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้น
ขณะที่พลังการต่อสู้ในรูปของเหลวหลอมรวมกัน ก่อให้เกิดภาวะซวีตานนั้น พลังการต่อสู้ยิ่งน่าพิศวงเข้าไปใหญ่ ทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย เพราะว่าพลังการต่อสู้นั้นอ่อนมาก ถึงขั้นสามารถแทรกซึมเข้าไปในอวัยวะภายในที่อ่อนนุ่มได้ ทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างลึกล้ำเข้าไปอีกขั้น นี่ก็คืออัศวินจันทร์เงินแล้ว
แต่อัศวินชั้นฟ้าเล่า
จำเป็นต้องถึงขั้นคนและฟ้าหลอมรวมเป็นหนึ่ง ถึงเวลานั้นอาศัยความช่วยเหลือของพลังแห่งฟ้าดินจึงจะสามารถก้าวเข้าสู่ชั้นสมญาได้ ชั้นสมญานั้นเหนือกว่าชั้นจันทร์เงินอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันจนน่าตกใจ เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถฆ่าชั้นจันทร์เงินได้ “ชั้นสมญา” ที่เป็นตัวแทนแห่งขีดสุดของคนธรรมดานั้น มีบางพวกช่างพิสดารนัก ถึงขั้นประมือกับชีวิตเหนือธรรมดาก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้
พวกเขาห่างกับความเหนือธรรมดาก็เพียงแค่ก้าวสุดท้ายเท่านั้น
“กล้ามเนื้อ เอ็นและกระดูกในกายข้าล้วนสมบูรณ์แบบยิ่ง ดังนั้นจึงไม่ต้องค่อย ๆ หล่อเลี้ยงอย่างช้า ๆ ก็สามารถยกระดับเป็นอัศวินชั้นดินได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงแอบพูดเบา ๆ “ขั้นต่อไปก็คือเปิดน้ำพุแห่งพลังการต่อสู้แล้ว นี่ต้องค่อย ๆ สะสมไปอย่างช้า ๆ สะสมพลังการต่อสู้ให้มากพอ”
“เสวี่ยอิง เสวี่ยอิง” เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงหยุด ถงซานก็อ้าปากตะโกน
“ฮ่า ๆ ท่านอาถง มากับข้าสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพูดอย่างเบิกบานใจ พูดพลางเดินออกจากห้องอาหาร ทะยานลงจากหอหลักโดยตรง ถงซานก็รีบทะยานพรวดเดียวถึงพื้นเช่นกัน
รวดเร็วยิ่ง
ทั้งสองมาถึงลานฝึกยุทธ์ ยามนี้ในลานฝึกยุทธ์ไม่มีคนรับใช้อยู่เลย
“เสวี่ยอิง มาลานฝึกยุทธ์ทำไมกัน” ถงซานแปลกใจอยู่บ้าง
“อย่าร้อนใจไปเลยท่านอาถง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางเดินไปด้านหนึ่ง หยิบหอกยาวที่ปกติตนใช้เป็นประจำขึ้นมา หอกยาวหนักกว่าห้าสิบชั่ง นับว่าเป็นหอกยาวที่ดีที่สุดด้ามหนึ่งของทั้งปราการศิลาหิมะแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงมือถือหอกยาว มองจ้องไปยังหุ่นแปรธาตุตรงหน้า
ถงซานที่อยู่อีกด้านก็กลั้นใจมอง เขาเข้าดีใจว่าหลานชายคนนี้ของตนอยากจะแสดงพละกำลังที่แท้จริงให้เห็น เขาก็อยากจะดูว่า บัดนี้ด้วยพละกำลังของเสวี่ยอิงแล้วจะแสดงวิถีหอกยาวได้ถึงระดับขั้นใดกัน
“ฉับ”
หอกยาวขยับแล้ว กลายเป็นเงาสลัว
เงาหอกตกลงบนหุ่นแปรธาตุ หุ่นแปรธาตุส่งเสียงฟู่ ๆ ติดต่อกัน
แค่ชั่วขณะสั้น ๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บหอกแล้ว
“รวดเร็วนัก เสวี่ยอิง วิถีหอกยาวของเจ้าเร็วเสียจนข้าไร้ทางต้านรับได้” ถงซานตกตะลึงในความเร็วของวิถีหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิง จากนั้นเขาก็มองไปยังหุ่นแปรธาตุนั้น ยิ่งทำให้เขาเบิกตาโพลง บนร่างของหุ่นแปรธาตุปรากฏรูมากมายอัดแน่น รูส่วนใหญ่ก่อให้เกิดเป็นสามตัวอักษร “ยอด เยี่ยม นัก”
“เจ้าสามารถแทงทะลุร่างมันจนเป็นรูได้อย่างนั้นหรือ” ถงซานตาโต
หุ่นแปรธาตุนี้ ระดับดวงดาราลงมาย่อมไม่มีทางทำให้เป็นอันตรายได้แม้แต่น้อย
“ข้าจะให้ท่านดูที่ยอดเยี่ยมกว่านี้อีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงระเบิดพลังที่สะสมไว้ในกายออกมาอย่างฉับพลัน รอบกายของเขาปรากฏไอสีแดงออกมา กระแสอันบ้าคลั่งสายหนึ่งพุ่งสู่ท้องฟ้า ทำเอาถงซานรู้สึกพรั่นพรึง เห็นเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงกวัดแกว่งหอกยาวในมือ หอกยาวในมือฟาดฟันลงบนหุ่นแปรธาตุ ด้ามหอกโค้งงอเป็นองศาที่ดูเกินจริงมาก ปัง! … เสียงสะท้อนก้องครั้งแรก หุ่นแปรธาตุสั่นสะเทือน รอยแยกปรากฏขึ้น ปัง! เสียงสะท้อนก้องครั้งที่สอง ร่างของหุ่นแปรธาตุแหลกละเอียดปลิวว่อนไกลออกไปทั้งสี่ทิศ มีเพียงร่างท่อนล่างที่ยึดแน่นกับพื้นที่ยังคงอยู่ตรงนั้น
“ปัง!” เสียงสะท้อนก้องครั้งที่สาม หอกยาวฟาดลงบนฐานของหุ่นแปรธาตุ
เปรี๊ยะ
หอกยาวหักลง ท่อนล่างของหุ่นแปรธาตุก็แตกละเอียดแยกเป็นผุยผง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูหอกยาวที่หักเหลือเพียงครึ่งล่างในมือก็ตกใจแล้วตกใจอีก หอกยาวด้ามนี้เขาใช้มานานมากแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะหักลงด้วยเพราะรับกำลังไม่ไหว
“ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้ว” เสียงใสกระจ่างของชิงสือน้องชายลอยมาแต่ไกล
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองท้องฟ้า ฟ้าก็มืดแล้ว
“ท่านอาถง ชิงสือและท่านอาจงก็กลับมาแล้ว ไปกินข้าวก่อนเถอะ กินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ข้าจะบอกเรื่องทั้งหมดกับท่านและท่านอาถง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้ม ๆ หากเป็นผู้อื่นพบเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าสมองคงเต็มไปด้วยละอองหมอก เคราะห์ดีที่ตนอ่านหนังสือมามากพอ แล้วพอดีหนังสือเล่มหนึ่งในนั้นเคยมีบันทึกที่สั้นกระชับมากทีเดียว