ตอนที่ 1
ตอนที่ 1 ดินแดนอินทรีหิมะ
เหมันตฤดู ศักราชหลงซาน ปี 9616
ในเขตตัวเมืองตำบลอี๋สุ่ย เมืองชิงเหอ แคว้นอันหยางสิง
เด็กชายปากแดงฟันขาววัยประมาณแปดเก้าขวบ สวมเสื้อขนสัตว์หนังสีขาวที่ตัดเย็บอย่างประณีตพร้อมสะพายย่ามใส่หอกผู้หนึ่ง กำลังบินโฉบอย่างคล่องแคล่วท่ามกลางป่าเขา มือขวากุมหอกสั้นด้ามไม้สีดำเอาไว้ เขากำลังไล่ตามกวางป่าที่วิ่งหนีอย่างตื่นตระหนกอยู่ด้านหน้า ใบไม้รอบๆ สั่นไหว หิมะที่สุมกันอยู่ค่อยๆ ร่วงหล่น
“ย่าห์’’
เด็กชายที่กำลังบินโฉบเงื้อหอกขึ้นสูงอย่างฉับพลัน เอนกายไปข้างหลังเล็กน้อย ถ่ายพลังจากเอวและท้องไปยังแขนขวา สะบัดฉับลงคราหนึ่ง
สวบ!
หอกสั้นในมือทะยานแหวกอากาศไป กวาดเอาใบไม้จำนวนหนึ่งไปด้วย ทะลุผ่านไปเป็นระยะทางร่วมสามสิบเมตร เฉียดผ่านขอบหลังของกวางป่าไปแล้วปักลึกลงในพื้นหิมะ ทิ้งไว้เพียงรอยเลือดทางหนึ่งบนหลังของมัน กวางป่ายิ่งวิ่งสุดชีวิตในทันใด มุ่งหน้าไปยังป่าลึก กำลังจะวิ่งหายไปต่อหน้าต่อตา
ทันใดนั้นก็มีเสียงฟิ้ว หินก้อนหนึ่งลอยออกมา
ก้อนหินเปล่งลำแสงทะลวงไปทั่วป่า ลอยไปกว่าร้อยเมตร เสียงพลั่กดังขึ้น ก้อนหินทะลุผ่านลำต้นของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วยิงเข้าสู่กะโหลกของกวางป่าตัวนั้นอย่างแม่นยำ กะโหลกศีรษะอันแข็งแกร่งของกวางป่าตัวนั้นจึงมิอาจต้านทานได้ มันโซซัดโซเซพุ่งทะยานออกไปอีกสิบกว่าเมตรด้วยแรงเฉื่อยก่อนล้มลงบนพื้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว สะเทือนจนหิมะที่สุมกันอยู่รอบๆ ร่วงหล่นลงมานับไม่ถ้วน
“ท่านพ่อ” เด็กชายหันมองออกไปไกล มีท่าทีจนใจอยู่บ้าง “ท่านอย่าลงมือสิ ข้าเกือบจะยิงโดนมันอยู่แล้วเชียว”
“ถ้าข้าไม่ลงมือ กวางป่าตัวนั้นก็วิ่งหายไปแล้ว ตอนเหาะเร็วๆ ความแม่นยำของหอกสั้นของเจ้ายังน้อยไปหน่อย คืนนี้กลับไปฝึกหอกสั้นเพิ่มอีกห้าร้อยครั้ง” น้ำเสียงห้าวหาญลอยมาแต่ไกล ณ ที่ไกลออกไปเงาร่างสองสายกำลังเดินเคียงกันมา
ผู้หนึ่งคือชายวัยกลางคนผมดำนัยน์ตาดำที่แข็งแรงบึกบึนยิ่ง ด้านหลังแบกกล่องอาวุธเอาไว้ เงาร่างอีกสายหนึ่งยิ่งสูงใหญ่ สูงเกินสองเมตร ลำแขนใหญ่กว่าท่อนขาของคนทั่วไปเสียอีก แต่เขากลับมีหัวเหมือนสิงโต หรือก็คือร่างเป็นคนหัวเป็นสิงห์! ผมสีเหลืองยุ่งเหยิงนั้นกระจัดกระจาย เกรงว่านี่จะเป็น ‘มนุษย์สิงห์’ ในเหล่าอมนุษย์ที่พบได้ยากยิ่ง เขาเองก็สะพายกล่องอาวุธเช่นกัน
“น้องถงซาน เจ้าว่าลูกชายข้าเยี่ยมยอดไหม ปีนี้เพิ่งแปดขวบก็มีกำลังเท่าชายฉกรรจ์ทั่วไปแล้ว” ชายวัยกลางคนเอ่ยยิ้มๆ
“ใช่ เสวี่ยอิงนี่ไม่เลวเลย อีกหน่อยย่อมแกร่งกว่าเจ้าอย่างไม่มีปัญหาแน่” มนุษย์สิงห์ผู้กล้าแกร่งหยอกเล่น
“เก่งกว่าข้าแน่นอนอยู่แล้ว ตอนข้าแปดขวบยังเล่นซนไปวันๆ กับเด็กในหมู่บ้านอยู่เลย อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ภายหลังได้เข้ากองทัพถึงมีโอกาสฝึกสู้รบ” ชายวัยกลางคนพูดอย่างเบิกบานใจ “คนเป็นบิดาเช่นข้าไม่มีปัญญาให้สิ่งที่ดีเลิศกับลูก แต่ว่าที่พอให้ได้ ข้าก็ล้วนให้เขาอย่างสุดกำลัง อบรมเขาอย่างดี”
“ตงป๋อ จากสามัญชนคนหนึ่ง ท่านสามารถเป็นถึงอัศวินชั้นฟ้า ทั้งยังซื้อดินแดนใต้อาณัติจนได้เป็นชนชั้นสูงก็เยี่ยมยอดมากแล้ว” มนุษย์สิงห์ผู้กล้าแกร่งเอ่ยยิ้มๆ
ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือเจ้าแดนของดินแดนใต้อาณัติในรัศมีร้อยลี้ ท่านชายตงป๋อเลี่ย!
ท่านชายคือบรรดาศักดิ์ชนชั้นสูงที่ต่ำที่สุดของ ‘อาณาจักรหลงซาน’ อาณาจักรของชนเผ่าเซี่ย เมื่อแรกตั้งอาณาจักร การได้รับบรรดาศักดิ์ชนชั้นสูงยังเข้มงวดมาก บัดนี้อาณาจักรก่อตั้งมาเก้าพันกว่าปี ยักษ์ใหญ่ตนนี้เริ่มผุกร่อน การซื้อขายบรรดาศักดิ์ขั้นต่ำๆ บ้างแทบจะเป็นเรื่องที่ทางการอนุญาต
ขณะนั้นด้วยเพราะตงป๋อเลี่ยและภรรยามีลูกจึงตัดสินใจซื้อบรรดาศักดิ์ชนชั้นสูง ซื้อดินแดนใต้อาณัติ ยิ่งไปกว่านั้น ดินแดนใต้อาณัติผืนนี้ยังตั้งชื่อว่า ‘ดินแดนอินทรีหิมะ’ ชื่อเดียวกับบุตรชายของพวกเขา เห็นได้ชัดถึงความรักและทะนุถนอมที่มีต่อบุตรชายคนนี้
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงดินแดนใต้อาณัติเล็กจ้อยในตำบลอี๋สุ่ย
“ข้าอายุยี่สิบถึงจะได้ฝึกการสู้รบ แต่ลูกชายข้านั้นไม่เหมือนกัน ปีนี้เขาเพิ่งแปดขวบ ข้าว่าราวๆ สิบขวบก็คงฝึกสู้รบได้ ฮ่าๆ ต้องแกร่งกว่าข้ามากแน่ๆ” ตงป๋อเลี่ยมองเด็กชายคนนั้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรักถนอมและรอคอยที่บิดามีให้บุตรชาย
“ดูจากพละกำลังของเขา ราวๆ สิบขวบคงจะพอได้อยู่” มนุษย์สิงห์ผู้กล้าแกร่งก็เห็นด้วย
พวกเขาผ่านประสบการณ์มานักต่อนัก สายตาในการมองคนย่อมแม่นยำ
“ท่านพ่อ ท่านอยู่ไกลขนาดนั้น ยังปาก้อนหินมาทะลุต้นไม้ใหญ่ที่โตขนาดนี้ได้” เด็กชายยืนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นพอดี สองมือโอบต้นไม้ก็ยังไม่สามารถโอบได้มิด ลำต้นของต้นไม้ใหญ่ต้นนี้กลับถูกเจาะทะลุเป็นรูใหญ่ “ต้นไม้ใหญ่ตั้งขนาดนี้ ต่อให้ข้าค่อยๆ ตัด ก็ต้องตัดนานแสนนาน”
“รู้ว่าอัศวินชั้นฟ้าเก่งแค่ไหนหรือยังล่ะ” มนุษย์สิงห์ผู้กล้าแกร่งพูด ตงป๋อเลี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มอย่างได้ใจ เมื่ออยู่ต่อหน้าบุตรชาย ผู้เป็นบิดาก็ยังคงชอบอวดฝีมือ
“เก่งเท่าเทพไหม” เด็กชายเบ้ปากอย่างจงใจ
“เทพหรือ”
ตงป๋อเลี่ยและมนุษย์สิงห์ผู้กล้าแกร่งพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
‘จักรพรรดิหลงซาน’ ปฐมกษัตริย์ผู้บุกเบิกอาณาจักรหลงซานก็คือเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ นี่เป็นเรื่องที่ชาวโลกแทบทุกคนรู้ ในกองทัพ ตงป๋อเลี่ยก็นับว่าเป็นทหารที่มีฝีมือคนหนึ่ง แต่จะให้เปรียบกับเทพก็ย่อมไม่มีทางเทียบได้อยู่แล้ว
“เห็นทีคืนนี้ฝึกหอกสั้นเพิ่มห้าร้อยครั้งจะน้อยเกินไปเสียแล้ว อืม ฝึกเพิ่มพันครั้งก็แล้วกัน” ตงป๋อเลี่ยพูดพลางจุ๊ปาก
“ท่านพ่อ!” เด็กชายเบิกตาโพลง “ท่าน...ท่าน...”
“ดูซิว่าเจ้ายังกล้าปะทะฝีปากกับข้าอีกไหม จำเอาไว้ ปะทะฝีปากกับพ่อเจ้า เจ้าก็มีแต่ขาดทุนเท่านั้นแหละ เอาล่ะ กลับได้แล้วๆ” ตงป๋อเลี่ยพูด
ถงซาน มนุษย์สิงห์ผู้กล้าแกร่งล้วงขลุ่ยดำเลาหนึ่งออกมาจากในคอ วางไว้แนบปากแล้วเป่าออกมาเป็นเสียงต่ำลึก เสียงสะท้อนก้องไปทั่วพงไพร
ณ ที่ไกลออกไป ทหารสวมเกราะยี่สิบนายเร่งฝีเท้ามาอย่างรวดเร็ว
“นำสัตว์ที่ล่าได้กลับไป” ตงป๋อเลี่ยกำชับ
“ขอรับ ท่านเจ้าแดน” เหล่าทหารต่างโค้งคำนับรับบัญชา
ตงป๋อเลี่ยและมนุษย์สิงห์ผู้กล้าแกร่งพาเด็กชายเสวี่ยอิงเดินขึ้นไปยังจุดสูงสุดของเขาลูกนี้ ที่นี่มีม้าจำนวนมากและทหารเกือบร้อยนายอยู่ บนพื้นหิมะอันกว้างใหญ่ปูพรมขนสัตว์สีขาว บนพรมขนสัตว์มีสตรีในอาภรณ์สีม่วงผู้มีกลิ่นอายลึกลับเหินห่างนางหนึ่งนั่งอยู่ ข้างกายนางคือเด็กน้อยน่ารักอายุสองสามขวบคนหนึ่งที่แม้วิ่งก็ยังโซเซไปมา แววตาที่ทหารเหล่านั้นมองสตรีในอาภรณ์สีม่วงมีความเคารพยำเกรง
เพราะสตรีในอาภรณ์สีม่วงผู้นี้คือปรมาจารย์เวทย์ผู้ยิ่งใหญ่!
“เจ้าก้อนหิน ดูเร็วว่าใครมา” สตรีในอาภรณ์สีม่วงเอ่ยยิ้มๆ เด็กน้อยวัยสองสามปีผู้นั้นหันไปมองทันที พอมองแล้วตาก็เป็นประกายขึ้นมา
“ท่านพี่อุ้ม ท่านพี่อุ้ม” เด็กน้อยวิ่งส่ายก้นเข้ามา
สตรีในอาภรณ์สีม่วงก็อมยิ้มมองฉากนี้
“เจ้าก้อนหิน” เด็กชายเสวี่ยอิงเดินไปข้างหน้าสุดแล้วย่อตัวลง ชิงสือผู้เป็นน้องชายวิ่งถลาเข้าสู่อ้อมแขนของเขา “ท่านพี่อุ้ม ท่านพี่อุ้ม”
เสวี่ยอิงอุ้มน้องชายขึ้นมา หอมน้องชายฟอดหนึ่ง
“เจ้าก้อนหิน วันนี้ล่ากวางป่าได้ตัวหนึ่งนะ เจ้าดูสิ” เสวี่ยอิงชี้ไปยังกวางป่าที่ทหารแบกอยู่ด้านหลัง
“กว้างป้า กว้างป้า” ชิงสือผู้เป็นน้องชายเบิกตาดำขลับกว้าง ปากก็เปล่งเสียงไม่ชัดเจนออกมา
ตงป๋อชิงสือผู้เป็นน้องชายเพิ่งสองขวบ แม้จะหมั่นพูด แต่ก็ยังพูดไม่ชัดเจนพอ และก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไร
“กวางป่าต่างหาก เป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งในเขาด้านหลังของบ้านเรา” เสวี่ยอิงพูด
“เสวี่ยอิง เอาน้องมาให้ข้าเถอะ” สตรีในอาภรณ์สีม่วงลุกเดินมา
“ขอรับ ท่านแม่” เสวี่ยอิงส่งน้องชายไปให้
สตรีในอาภรณ์สีม่วงเอ่ยว่า “ข้าเอาขนมกุ้ยฮวามานิดหน่อย ยังร้อนอยู่เลย อยู่ในตะกร้า รีบไปกินเถอะ”
“ขนมเหรอ” เสวี่ยอิงตาลุกวาว น้ำลายสอขึ้นมาในทันใด รู้สึกน้ำลายใกล้จะหกออกมาแล้ว รีบวิ่งถลาไปทันที
“ข้าก็จะกิน ข้าก็จะกิน” ชิงสือผู้เป็นน้องชายดิ้นในอ้อมแขนมารดาขึ้นมาทันที พูดถึง ‘กินขนม’ เขาจึงจะกระตือรือร้นถึงที่สุด ปกติเวลากินข้าวกลับไม่เชื่อฟัง
“แน่นอนว่ามีของเจ้าด้วย เจ้าจอมตะกละนี่” สตรีในอาภรณ์สีม่วงเห็นว่าที่ด้านนอกตงป๋อเลี่ยและมนุษย์สิงห์ถงซานกำลังเดินเข้ามา “พวกท่านทั้งสองก็รีบหน่อย ข้าก็เตรียมของกินมาให้พวกท่านเช่นกัน”
“ฮ่าๆ...เจ้านายไม่เพียงเวทมนตร์เยี่ยมยอด ฝีมือทำอาหารก็ดีเช่นกัน” มนุษย์สิงห์ผู้กล้าแกร่งกล่าว
มนุษย์สิงห์ผู้นี้ เมื่อครั้งอายุยังน้อยเคยเป็นทาสมาก่อน เป็นคนรับใช้ข้างกายของสตรีในอาภรณ์สีม่วง แม้ผ่านไปหลายปี ความรู้สึกที่มีต่อกันก็ประหนึ่งญาติมิตร แต่มนุษย์สิงห์ก็ยังยืนกรานเรียก ‘เจ้านาย’ เช่นเดิม
……
หลังเสวี่ยอิงกินดื่มจนอิ่มหนำก็มองออกไปไกล ด้วยเพราะที่ตั้งค่ายกลางแจ้งของพวกเขาอยู่บนยอดเขา เมื่อทอดตามองไปก็เห็นภูเขาอื่นอยู่ลิบๆ และยังมีแปลงนามากมาย ไกลสุดลูกหูลูกตาล้วนเป็นดินแดนใต้อาณัติของบ้านเขาทั้งสิ้น ในปีนั้นเพราะเขาเกิดมา ท่านพ่อท่านแม่จึงหยุดชีวิตผจญภัยลง แล้วซื้อบรรดาศักดิ์ชนชั้นสูง ซื้อดินแดนใต้อาณัติผืนใหญ่ ดินแดนใต้อาณัตินี้ถูกตั้งชื่อว่า...ดินแดนอินทรีหิมะ!
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดตัวบิดขี้เกียจ สีหน้าชื่นบาน
มีท่านพ่อท่านแม่ที่รักทะนุถนอมเขา มีน้องชายที่น่ารัก มีชาวบ้านในดินแดนใต้อาณัติที่ปรารถนาดีมากมาย
สำหรับชีวิตเช่นนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงแสนจะพอใจจริงๆ
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาปวดหัวอยู่บ้าง ก็คือการฝึกฝนของท่านพ่อนั้นหนักหน่วงเกินไปแล้ว
“ต้องฝึกหอกสั้นเพิ่มหนึ่งพันครั้ง รวมกับของเดิมที่มีหนึ่งพันครั้ง...ยังมีทักษะหอกยาวที่สำคัญยิ่งกว่า ยังมี...” ใบหน้าเล็กๆ ของตงป๋อเสวี่ยอิงบูดเบี้ยวกลายเป็นหน้ามะระเสียแล้ว
******
ม่านราตรีปกคลุม ดวงจันทร์ลอยเด่นฟ้า
สายลมกำลังพัดหวิว
“ฟู่...”
บนฟ้าไกลที่ห่างจากพื้นดินหลายพันเมตร นกยักษ์ที่ดูราวกับเมฆดำก้อนหนึ่งกำลังโบยบินอย่างรวดเร็ว
นกยักษ์ตัวนี้ปีกสยายยาวกว่ายี่สิบเมตร มีถึงสี่ปีก ความเร็วที่โบยบินนั้นถึงขั้นใกล้เคียงกับความเร็วเสียง มันคือสัตว์มารแสนดุร้ายโหดเหี้ยมน่าหวาดหวั่นนาม ‘พญาแร้งสี่ปีก’ บนหลังของพญาแร้งสี่ปีกมีเงาร่างสองสายนั่งขัดสมาธิอยู่ ร่างหนึ่งคือบุรุษชุดเกราะเงิน ส่วนอีกร่างหนึ่งคือคนในอาภรณ์สีเทาผู้ถือไม้เท้าไม้สีม่วงเข้ม
“ถึงไหนแล้ว” คนในอาภรณ์สีเทาเอ่ยถาม
“เรียนนายท่าน เข้าเขตแดนตำบลอี๋สุ่ยแล้วขอรับ คาดว่าอีกครึ่งชั่วยามก็จะถึงดินแดนอินทรีหิมะแล้ว” บุรุษชุดเกราะเงินมองลงไปเบื้องล่าง แววตาเยียบเย็น พินิจดูตำแหน่งเบื้องล่างอย่างชัดเจน
“อีกครึ่งชั่วยาม ข้าก็จะได้เห็นน้องสาวผู้นั้นของข้าแล้ว” คนในอาภรณ์สีเทามีน้ำเสียงซับซ้อนยิ่ง “ช่างซ่อนเก่งเสียจริง ภายใต้การตามหาของตระกูลเรา ยังซ่อนมาได้ถึงสิบห้าปีเต็ม”
ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด พญาแร้งสี่ปีกบินถลาตรงไปยังดินแดนอินทรีหิมะ