ตอนที่ 14
ที่บริษัทศาสตราบุรินทร์ ศักดิ์สกุล พิมพ์เพทายกับกรพงศ์และรสรินเห็นข่าวการให้สัมภาษณ์ของท่าน วีระแล้วพากันก่นด่าที่ท่านเลวได้ใจโยนทุกอย่างมาลง ที่บริษัทของเรา ศักดิ์สกุลหันไปทางกรพงศ์
“ทีนี้แกรู้หรือยังไอ้กรว่าทำไมพ่อถึงได้ไม่ยอมที่จะร่วมงานกับมัน”
กรพงศ์ไม่ตอบได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความแค้น จังหวะนั้น นวลพรรณเดินนำตำรวจสองนายเข้ามา
“สวัสดีครับผมมาเชิญตัวคุณกรพงศ์กับคุณศักดิ์สกุล ไปให้ปากทำเรื่องอุบัติเหตุที่ศูนย์ราชการน่ะครับ”
“ผมกับลูกชายยินดีให้ความร่วมมือเต็มที่ครับ” ศักดิ์สกุลหันไปสบตากับกรพงศ์ ก่อนจะพากันเดินนำตำรวจออกไป รสริน พิมพ์เพทายและนวลพรรณรีบเดินตาม ครั้นมาถึงหน้าบริษัทกลับพบว่ามีญาติคนตายกับกลุ่มคนงานมายืนถือป้ายประท้วงที่เขียนว่า “ฆาตกร” “คนขี้โกง” และ “คนเห็นแก่ตัว” กันสลอน พอเห็น
กรพงศ์กับศักดิ์สกุลก็ตะโกนด่าเสียงลั่น
“ไอ้ฆาตกร ไอ้หน้าเลือดเอาเปรียบคนจน”
ศักดิ์สกุลจะออกไปเจรจาแต่ตำรวจห้ามไว้ พิมพ์-เพทายเห็นด้วย ตอนนี้พวกนั้นกำลังโกรธ ถ้าเกิดไม่ฟัง ขึ้นมาจะไปกันใหญ่ รสรินขอให้ศักดิ์สกุลเชื่อตำรวจ เดี๋ยวเธอจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง แล้วบอกให้กรพงศ์กับพิมพ์เพทายพาศักดิ์สกุลไปออกประตูหลังก่อนดีกว่า
กรพงศ์ไม่ยอมไปจะปล่อยให้รสรินอยู่คนเดียวได้อย่างไร เธอรับรองว่าไม่เป็นอะไร แค่ลองเจรจาเท่านั้นแล้วขอให้ตำรวจช่วยขอกำลังเสริมมาช่วยคุมสถานการณ์ให้ ตำรวจรับคำโทร.ติดต่อเสร็จรีบรายงาน
“ผมติดต่อขอกำลังไปแล้วนะครับ เดี๋ยวผมจะอยู่รอ พร้อมคุณรสรินเอง หมวดพาคุณกรพงศ์กับคุณศักดิ์สกุลไปโรงพักก่อนแล้วกัน”
กรพงศ์เห็นรสรินได้กำลังเสริมถึงได้ยอมไปโรงพักกับพ่อเพื่อให้ปากคำ...
ทางฝ่ายเรือนแก้วเห็นข่าวนี้ทางทีวีก็ไม่สบายใจ ขอร้องให้อานนท์ลงมากรุงเทพฯเผื่อจะมีอะไรช่วยเหลือได้ เขาแกล้งอิดออดทั้งที่เก็บกระเป๋าไว้แล้ว สายบัวรู้ทันหิ้วกระเป๋าออกมาให้
“นนท์เอ๊ย เอ็งก็อย่าแอ๊บดัดจริตมากนักเลยลูก จัดกระเป๋าไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วยังจะมาทำเป็น...”
อานนท์เห็นสายตาดุของแม่ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน...
บรรณธิการสำนักพิมพ์ที่พลวัฒน์ทำงานอยู่ต้องการ เกาะกระแส จึงสั่งให้เขาเล่นข่าวบริษัทศาสตราบุรินทร์ทุจริต พลวัฒน์ยังไม่ทันจะว่าอะไร เพื่อนร่วมงานวิ่งหน้าตื่น เข้ามาแจ้งว่ามีการประท้วงของคนงานที่หน้าบริษัทศาสตราบุรินทร์ ตอนนี้รสรินกำลังเจรจาอยู่พลวัฒน์ไม่รอช้า วิ่งปรู๊ดออกไปทันที...
การเจรจากับคนงานครั้งนี้ทำให้รสรินกับนวลพรรณ ได้รู้ว่าคนงานได้เงินค่าจ้างไม่ครบตามจำนวนทั้งที่บริษัทได้จ่ายเงินไปแล้ว แถมยังมีหลักฐานการเบิกจ่ายอย่างถูกต้องอีกต่างหาก คนงานคิดว่าพวกเธอกล่าวหาว่าโกหก จนเกือบจะเกิดเรื่องบานปลาย ตำรวจต้องเข้ามาห้ามปรามไว้
ooooooo
ศักดิ์สกุลกับกรพงศ์ถูกแยกกันสอบปากคำ โดยผู้เป็นพ่อถูกสอบก่อน มีทนายความนั่งฟังคำให้การอยู่ด้วย พิมพ์เพทายซึ่งรออยู่หน้าห้องสอบสวนสงสารพ่อที่ต้องมาโดนแบบนี้ กรพงศ์โทษตัวเองที่เป็น
ต้นเหตุให้ท่านต้องเดือดร้อนไปด้วย ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัว ตั้งแต่แรก เธอแนะให้เขาลองโทร.หาท่านวีระ
“โทร.แล้ว เลขาฯเขารับ บอกว่าเขาติดประชุมอยู่จะติดต่อกลับมาเอง”
“พิมพ์ว่าเขาจงใจเลี่ยงมากกว่า”
ไม่นานนัก ศักดิ์สกุลออกมาจากห้องสอบสวนพร้อมกับทนายความ กรพงศ์ขอโทษท่านด้วยที่ต้องมาวุ่นวายเพราะตน ศักดิ์สกุลบอกให้เขาเข้าไปได้แล้ว ตอบคำถามให้ดี ตอบไปตามความจริงแล้วรอให้เขาเข้าไปในห้องสอบสวนพร้อมกับทนายจึงหันมาบ่นกับพิมพ์เพทาย
“พิมพ์ ศาสตราบุรินทร์เราคงถึงคราวเดือดร้อนกันแล้ว” ศักดิ์สกุลพึมพำหน้าเครียด...
ในเวลาไล่เลี่ยกัน ที่ห้องรับแขกบ้านท่านวีระ เลขาฯรายงานท่านว่าให้คนไปสืบมาแล้วพบว่าของที่เอามาใช้ในงานก่อสร้างศูนย์ราชการผิดสเปกไปจากของเรามาก ทั้งเหล็กเส้น ทั้งส่วนผสม ทุกอย่างถูกเปลี่ยนเป็นของราคาถูกลงไปอีก
“นี่มันโกงฉันอีกต่อหนึ่งเหรอเนี่ย มิน่าล่ะมันถึงได้พังลงมาไวขนาดนั้น”
“เห็นว่ามีการโกงค่าจ้างพวกคนงานกันด้วยครับ พวกกรรมการบริหารที่นั่นใช้ไม่ได้เลย ตอนนี้มีคำสั่งให้ส่วนกลางเข้าไปตรวจสอบแล้ว ไม่มีทางแก้ตัวอะไร ได้เลย คงต้องหยุดสร้างไปก่อน”
ท่านวีระเจ็บใจ อุตส่าห์ลงทุนลงแรงแทบตาย เลขาฯอยากรู้ว่าท่านจะเอาอย่างไรต่อไป ท่านสั่งให้โยนความผิดให้ศาสตราบุรินทร์ ในเมื่อเอามาเป็นไม้กันหมา ไม่ได้ ก็ให้เป็นแพะรับบาป อรอาภาลงมาเห็นพ่อนั่งอยู่ แปลกใจไหนข่าวว่าท่านติดประชุมด่วนอยู่ไม่ใช่หรือแล้วทำไมมาอยู่ตรงนี้ ท่านขี้เกียจตอบคำถามนักข่าว
ระหว่างนั้น เด็กรับใช้เข้ามารายงานว่าดวงกมลมาขอพบ ท่านวีระสั่งให้เด็กไปบอกว่าไม่มีใครอยู่ อรอาภา คิดแผนชั่วขึ้นมาได้สั่งให้เด็กรับใช้ไปเชิญเธอเข้ามาแล้วบอกให้พ่อหลบไปก่อน อึดใจดวงกมลมาถึงห้องรับแขก อรอาภาตีหน้าตกใจโผเข้าไปจับไม้จับมือแสดงความเห็นใจ ดวงกมลต้องการจะมาพบท่านวีระเพื่อสอบถามความจริง เพราะตอนนี้ที่บริษัทวุ่นวายไปหมดแล้ว
“อรลองแย็บๆถามคุณพ่อดูแล้ว เห็นท่านว่าเป็นคนในที่บริษัทโกงกันเองน่ะค่ะ ตอนนี้คุณพ่อท่านกำลังวิ่งเต้นหาทางช่วยอยู่ แต่ไม่รู้จะช่วยได้แค่ไหน ตอนนี้ทุกคนคิดว่าคุณลุงกับกรเป็นคนโกงไปหมดแล้ว”
“เวรกรรม แล้วนี่แม่จะทำยังไงดีเนี่ย” ดวงกมล ทำท่าจะเป็นลม อรอาภาเบ้ปากใส่ก่อนจะเข้ามาประคอง พลางปลอบว่าอย่าคิดมาก อย่างเก่งศักดิ์สกุลกับกรพงศ์ก็แค่โดนจับติดคุกแล้วก็ยึดทรัพย์ ดวงกมลเต้นผ่างจะทำอย่างไรดี อรอาภาสบช่องแนะให้ท่านรีบยักย้ายถ่ายเทเงินก่อนจะถูกยึด โดยให้เอามาฝากเธอเล่นหุ้น ถ้าท่านสนใจเอาเงินมาลงด้วยอาจทำให้ได้ค่าตอบแทนหลายสิบล้าน
ดวงกมลหน้าเงินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สนใจขึ้นมาทันที
ooooooo
เสร็จจากให้ปากคำกับตำรวจแล้ว ทนายความแนะนำให้รีบหาตัวพวกวิศวกรให้เจอยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดีกับเรา กรพงศ์รับคำแล้วรีบขอตัวกลับบริษัทเป็นห่วงรสรินไม่รู้ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง
“พิมพ์พาคุณพ่อกลับบ้านไปก่อนนะ”
ศักดิ์สกุลสั่งให้ลูกรีบไปได้เรื่องอย่างไรให้โทร.มาบอกด้วย กรพงศ์จ้ำพรวดๆขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว พิมพ์เพทายมองตามแล้วหันมาบอกพ่อว่าในเรื่องร้ายๆก็ยังมีเรื่องดีอยู่ ศักดิ์สกุลสงสัยว่าเรื่องอะไร
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คนบางคนเขาเริ่มจะรู้ใจตัวเองกันแล้ว”...
ในเวลาต่อมา ที่ห้องประชุมของบริษัทศาสตราบุรินทร์ รสรินกำลังเกาะแขนออดอ้อนให้พลวัฒน์ช่วยเขียนข่าวให้ผู้คนเข้าใจกรพงศ์กับศักดิ์สกุลด้วยว่าไม่ได้โกงกินอย่างที่ใครต่อใครเข้าใจผิด พลวัฒน์สีหน้าลำบากใจ ถ้าให้มาช่วยแล้วกรพงศ์จะไม่ว่าเอาหรือ
“จะว่าทำไมล่ะนี่เพื่อบริษัทนะ ลำพังตัวคุณกรเองเขาจะทำอะไรได้พลก็รู้”
กรพงศ์เปิดประตูห้องเข้ามาได้ยินพอดี ตั้งใจจะเรียกรสรินก็เลยเปลี่ยนใจรีบหลบมุมแอบฟัง พลวัฒน์ใจอ่อนจะลองช่วยดูแต่ไม่รับปากจะทำได้แค่ไหน
“โอ๊ย แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้ว พลน่ารักที่สุดพึ่งพาได้ตลอดเลย” รสรินกอดแขนพลวัฒน์โดยไม่รู้ว่ากรพงศ์แอบมองหน้าเศร้าอยู่...
ด้านดวงกมลตัดสินใจหยิบสมุดเงินฝากที่คิดว่าเป็นค่าสินสอดที่ได้จากรสริน 30 ล้านบาทขึ้นมาเปิดดูนึกถึงคำพูดของอรอาภาที่ว่าจะเอาเงินไปต่อเงินให้ก็นึกโลภขึ้นมา ตัดสินใจจะลองเอาไปให้เธอลงทุนดู ด้วยความที่กลัวๆกล้าๆ ก็เลยจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาศักดิ์สกุลที่อยู่ที่ห้องทำงาน แต่เขากำลังอารมณ์เสียกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงไม่ต้องการฟังอะไรทั้งนั้น แถมต่อว่าเธออีกต่างหาก หาว่าวันๆไม่ทำอะไรให้เป็นประโยชน์
“คุณออกไปก่อนเถอะ ผมขอคิดอะไรคนเดียว” ศักดิ์สกุลโบกมือไล่ยิ่งทำให้ดวงกมลน้อยใจ...
อีกมุมหนึ่งที่สนามหญ้าหน้าบ้าน พิมพ์เพทายนั่งอยู่ที่โต๊ะสนามกำลังเปิดโน้ตบุ๊กดูกระทู้เรียกร้องให้บริษัทศาสตราบุรินทร์ออกมาพูดความจริง อานนท์ชะโงกหน้ามาจากด้านหลังอ่านกระทู้เสียงดัง เธอตกใจหันขวับไปมอง ใบหน้าทั้งคู่เกือบชนกันต่างฝ่ายต่างนิ่งงันราวกับตกอยู่ในภวังค์ อานนท์ตั้งสติได้ก่อน
“พวกนี้มันก็ดีแต่ปากทั้งนั้นแหละ เข้าบ้านเหอะยุงมาแล้ว” อานนท์ทำเป็นปัดยุงแก้เขินแล้วเดินนำพิมพ์เพทายเข้าบ้าน
ooooooo
ตั้งแต่กลับจากบริษัทกรพงศ์เอาแต่นั่งทำงานอยู่ในห้องไม่ยอมลงมากินข้าว รสรินเป็นห่วงเอาข้าวเย็นเข้ามาให้กิน เห็นเขานั่งคุยโทรศัพท์ไปพลางคีย์คอมพิวเตอร์ไปด้วย
“ครับคุณนัท ช่วยส่งให้ผมแต่เช้าเลยนะครับ ทั้งหมดนั่นแหละครับ ผมอยากดูข้อมูลพวกเขาให้ละเอียดอีกครั้ง...อะไรนะครับ บริษัทวัสดุทำไมล่ะครับ ปกติเขาให้เครดิตเรา 3 เดือนนี่...ครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปคุยกับเขาเอง” กรพงศ์วางสายแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานไม่สนใจรสรินที่วางอาหารไว้ให้แม้แต่น้อย
“เห็นคุณไม่ยอมลงไปกินข้าวเย็น ฉันเลยเอาขึ้นมาให้”
กรพงศ์ยังงอนเธอไม่หายตอบเสียงห้วนว่าไม่หิว เธอพยายามแหย่ให้เขาอารมณ์ดีแถมอาสาจะป้อนข้าวให้แล้วตักอาหารยื่นไปตรงหน้าเขากลับปัดมือช้อนหล่นพื้นอาหารกระจาย รสรินก้มเก็บช้อนขึ้นมาเช็ดกับกระโปรงตัวเองแล้วปักไว้ในจานข้าว
“หิวเมื่อไหร่ก็กินแล้วกัน รู้ว่าอารมณ์ไม่ดี ฉันไม่กวนแล้วก็ได้” รสรินพูดจบเดินหน้าง้ำออกไป กรพงศ์รู้สึกผิดเอื้อมมือจะไปหยิบกิน แต่นึกถึงคำพูดของเธอที่พูดกับพลวัฒน์ว่าเขาไม่เอาไหนแล้วชักมือกลับ...
ครู่ต่อมา รสรินเดินเข้ามาในครัวอย่างเซ็งจัด เห็นอานนท์กำลังทำอาหารอยู่หน้าเตา เข้าไปถามว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่โทร.มาบอกก่อน เขาเพิ่งมาถึง แม่ให้ลงมาดูเผื่อจะช่วยอะไรได้ แล้วยื่นหน้าไปดูในจาน เห็นเขาจัดจานข้าวผัดเป็นรูปหมีน่ารักสงสัยว่าทำให้ใคร เขาอ้างทำให้ตัวเอง รสรินยังไม่ทันจะว่าอะไร พิมพ์เพทายเดินเข้ามาทวงถามว่าอาหารเสร็จหรือยัง หิวท้องกิ่วแล้ว
“ซุ่มนะแก” รสรินกระเซ้าน้องชาย พิมพ์เพทายรีบเปลี่ยนเรื่องพูดถามว่าวันนี้เรียบร้อยไหม
“อืม พี่ตกลงกับคนงานแล้วว่าจะจัดงานศพให้พร้อมกับเงินชดเชย คนที่เจ็บก็จะรักษาให้จนกว่าจะหาย ส่วนเรื่องค่าแรงที่ยังค้างอยู่พี่นัดให้เขามารับวันมะรืนน่ะ”
พิมพ์เพทายบ่นอุบ ค่าแรงจ่ายไปหมดแล้วเพราะตรวจกับมือตัวเอง แล้วถามว่าพ่อกับพี่กรรู้เรื่องนี้หรือยัง รสรินกำลังจะไปบอกพ่อแต่กรพงศ์คงต้องปล่อยไปก่อน ตอนนี้เขายุ่งหัวฟูอยู่
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้น กรพงศ์แวะไปคุยกับผู้จัดการบริษัทวัสดุก่อสร้างเรื่องขอเรียกเก็บเงินค่าวัสดุที่เพิ่งส่งให้ทั้งที่เคยตกลงกันไว้ว่าจะให้เครดิต 3 เดือน ผู้จัดการอ้างว่าบริษัทของกรพงศ์ขาดความน่าเชื่อถือก็เลยขอยกเลิกข้อตกลงและให้เขาชำระเงินให้เลยเพราะขืนรออีก 3 เดือนเขาอาจจะไม่มีเงินจ่าย
“ในช่วงที่คุณยังพอมีอยู่ ยังไงก็ช่วยเคลียร์ให้ด้วยเถอะนะครับ” ผู้จัดการเลื่อนบิลเก็บเงินมาตรงหน้า กรพงศ์คว้ามันมาถือไว้เจ็บใจสุดๆ...
ด้วยความเย่อหยิ่งแบบโง่ๆ ทำให้กรพงศ์เซ็นเช็คจ่ายเงินค่าวัสดุก่อสร้างให้กับคู่ค้าที่มาทวงเงินโดยไม่ต่อรอง ศักดิ์สกุลถึงกับกุมขมับ ถ้าเกิดเงินเข้าไปไม่ทันเช็คมิเด็งหรือ คราวนี้ได้ผิดคดีอาญาอีกแน่ๆ
กรพงศ์คุยอวดบริษัทเราใหญ่โตกับเงินแค่ไม่กี่สิบล้านบาทไม่เห็นจะสะเทือน หรือถ้าเงินไม่พอจริงๆเงินสำรองฉุกเฉินของเราก็มี และอีกอย่างแค่นี้ก็ซวยเต็มที่แล้ว คงไม่มีอะไรซวยไปกว่านี้อีก พูดไม่ทันขาดคำ ความซวยก็มาเยือนเมื่อนวลพรรณถือเอกสารมายื่นให้ รสรินรับมาดูถึงกับหน้าถอดสี
“คำสั่งจากสำนักงานเขตให้ศาสตราบุรินทร์ระงับธุรกรรมการก่อสร้างทั้งหมด จนกว่าจะได้รับการตรวจสอบว่าปลอดภัยจริงๆ” ว่าแล้วรสรินยื่นเอกสารให้ศักดิ์สกุลดู กรพงศ์รีบเข้ามาดูด้วย
“ตอนนี้ข่าวแพร่ออกไปแล้วค่ะ ลูกค้าบางคนเริ่มทยอยมายกเลิกแล้วขอเงินดาวน์คืนค่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้พรุ่งนี้คงจะแห่กันมาแน่เลยค่ะ” นวลพรรณรายงาน
ศักดิ์สกุลทำท่าจะเป็นลมรสรินต้องเข้าไปดูแล...
จากนั้นไม่นาน กรพงศ์เดินหน้าเครียดมาที่รถกับรสรินก่อนจะหันไประเบิดอารมณ์ใส่กำแพงรั้วโทษตัวเองที่ทำให้บริษัทต้องเสียหาย เธอตกใจโผกอดเขาไว้ขอร้องอย่าทำแบบนี้ เขาชะงักมือตกข้างตัวเลือดไหลจากมือที่แตกเป็นทาง
“ผมมันคนไม่ได้เรื่องรส สร้างแต่ปัญหา สร้างแต่ความเดือดร้อน”
รสรินได้แต่กอดกรพงศ์เอาไว้ไม่พูดอะไร...
ขณะที่เกิดเรื่องกับกรพงศ์ไม่หยุดหย่อน ดวงกมลเอาเงิน 30 ล้านบาทไปฝากให้อรอาภาไปลงทุนให้โดยไม่ล่วงรู้เลยว่าเงินก้อนนี้จะไม่ได้คืน...
ทางด้านพลวัฒน์ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับรสรินช่วยเขียนข่าวเข้าข้างบริษัทศาสตราบุรินทร์แถมแขวะท่านวีระอีกต่างหาก บรรณธิการต้องเตือนให้ระวังจะพาลทำให้สำนักพิมพ์ซวยไปด้วย
“เอาน่ะ จะเอาไหมล่ะงานเนี่ย นี่มีที่นี่ที่เดียวนะใช้งานคุ้มเลยเป็นทั้งตากล้องเป็นทั้งนักข่าวเงินเดือนนิดเดียว เดี๋ยวก็ลาออกซะนี่”
“แน่ะๆมีขู่ เออ แกก็ระวังๆหน่อยละกัน อย่าไปพาดพิงเขามากเดี๋ยวจะโดนเก็บซะก่อน”
ooooooo
นอกจากจะโดนลูกค้าแห่กันมาถอนจองคอนโดฯที่พักแห่งใหม่แล้ว ศักดิ์สกุลยังโดนกรรมการผู้ถือหุ้นจอมทรยศเล่นงานอีกต่างหาก หาว่าเขาปล่อยให้ลูกชายไก่อ่อนมาบริหารจนทำให้เกิดความเสียหาย พิมพ์เพทายหมดความอดทนตบโต๊ะปัง
“ไหนทีแรกพวกคุณอาดีใจนักหนาไม่ใช่เหรอคะที่พี่กรมาบริหารน่ะ และก็เป็นพวกคุณอาอีกไม่ใช่เหรอคะที่ยุให้พี่กรรับงานจาก รมต.นั่น จนมันพังฉิบหายอย่างที่พวกคุณอาพูดน่ะ”
“แหมปากดีกันจริงๆนะบ้านนี้ ว่าไงคุณศักดิ์สกุลคุณจะรับผิดชอบยังไง ถ้าคุณจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ผมจะถอนหุ้นผมออกทันที” หนึ่งในผู้ถือหุ้นขู่ ศักดิ์สกุลท้าให้ถอนได้เลย บรรดาหุ้นส่วนได้แต่นิ่งไม่กล้าพูดอะไรก่อนจะพากันเดินออกไป ชนเข้ากับอานนท์ที่กำลังจะเดินเข้ามา
“อะไรวะ แก่จนไม่มีตาเหรอ นี่คนทั้งคนนะเว้ย” อานนท์ด่าไล่หลัง แล้วเดินเข้าไปข้างใน ทั้งศักดิ์สกุลพิมพ์เพทายกับรสรินและกรพงศ์พากันงงว่าเขามาทำไมที่นี่ เขาถูกแม่สั่งให้มาดูเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง รสรินขอร้องว่านี่เป็นเรื่องภายในบริษัทไม่เกี่ยวกับเขา
ศักดิ์สกุลอนุญาตให้เขาอยู่ได้เพราะถือว่าเขาเป็นเหมือนคนในครอบครัว แล้วหันมาปรึกษากันต่อไปว่าจะเอาเงินที่ไหนมาคืนให้พวกลูกค้าที่ถอนจอง เพราะถ้าเอาเงินสำรองมาจ่ายก่อนก็จะไม่พอเป็นค่าเช็คที่ กรพงศ์เซ็นไป พิมพ์เพทายนึกอะไรขึ้นมาได้ แนะให้ไปเอาเงินฉุกเฉินที่แม่
ครั้นไปทวงถามถึงเงินจำนวนดังกล่าว ดวงกมลกลับบอกว่าไม่มี เอาไปลงทุนกับอรอาภาแล้ว เห็นว่าได้กำไรแต่ละครั้งหลายสิบล้านบาท รสรินซักเอาไปลงทุนที่ไหน กองทุนอะไร เธอตอบไม่ได้สักอย่าง กรพงศ์ไม่เคยเห็นอรอาภาลงทุนกับอะไรเลย ดวงกมลเถียงว่าเธออาจลงทุนบางอย่างที่เขาไม่รู้ก็ได้
“พิมพ์ว่ายังไงก็ไปเอาคืนมาก่อนดีกว่าค่ะ เกิดเขาเอาไปทำอะไรมั่วๆเงินเราจะสูญเปล่านะคะ”
“ผมไปกับคุณแม่เองครับ คุณพ่ออยู่นี่เถอะ”
รสรินขอไปด้วย กรพงศ์ลังเลอยู่อึดใจก่อนจะอนุญาต ไม่นานนักทั้งสามคนมาถึงบ้านท่านวีระ พอดวงกมลถามเรื่องเงินที่ฝากให้ไปเล่นหุ้น อรอาภากลับบอกว่าไม่มี รสรินพยายามขอร้องให้เธอคืนเงิน เนื่องจากตอนนี้บริษัทของเรากำลังเดือดร้อน เธอกลับทำเฉยแถมไล่ตะเพิดให้กลับไป
ดวงกมลโกรธมากปรี่เข้าใส่ ลูกน้องของท่านวีระเข้ามาผลักเธอล้ม อรอาภาเตือนถ้าไม่ออกไปจากที่นี่จะเอาเรื่อง รสรินกับกรพงศ์ต้องช่วยกันพาท่านออกไป...
ตั้งแต่ออกจากบ้านท่านวีระยันกลับถึงบ้านตัวเองดวงกมลร้องไห้ไปก่นด่าอรอาภาไปด้วย เสียดายเงิน
30 ล้านบาทของตัวเอง ศักดิ์สกุลซ้ำเติมว่าเคยเตือนเธอแล้วไม่ให้ไปยุ่งกับคนบ้านนี้ก็ไม่เชื่อ เธอโทษว่าเป็นเพราะเขาหลอกเธอถึงได้เป็นแบบนี้ พิมพ์เพทายขอร้องอย่าโทษกันไปมาตอนนี้ไม่มีประโยชน์ รสรินหันไปสั่งให้น้องชายขึ้นไปเก็บข้าวของกลับบ้าน อยู่ไปก็ไม่เห็นช่วยอะไร
“เดี๋ยวรสขอตัวไปช่วยน้องเก็บของก่อนนะคะ” รสรินว่าแล้วลากแขนอานนท์ออกไป ดวงกมลคิดว่าสองพี่น้องชิ่งหนีกลัวจะเดือดร้อนไปด้วย กรพงศ์รีบตัดบท พรุ่งนี้จะลองไปติดต่อแบงก์ดู ถ้าไม่ได้เขาจะขายรถกับคอนโดฯห้องของเขาคงจะพอได้เงินมาบางส่วน...
รสรินไม่ได้คิดจะเอาตัวรอดอย่างที่ดวงกมลกล่าวหา แต่สั่งให้น้องรีบกลับไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง
เผื่อจะหาทางช่วยอะไรทางนี้ได้บ้าง อานนท์โวยวายจะไม่มากไปหรือ
“ไม่เลย เพราะเราเองก็ยังติดหนี้ศาสตราบุรินทร์อยู่นะ อย่าลืมสิ”
ooooooo
หลังจากฟังอานนท์เล่าเรื่องที่พวกศาสตราบุรินทร์กำลังเดือดร้อนหนัก เรือนแก้วตัดสินใจจะเอาโฉนดโรงงานไปจำนองแบงก์เพื่อเอาเงินมาให้ศักดิ์สกุลหมุนก่อน สายบัวกับอานนท์ไม่ขัดข้องเนื่องจากเขาเป็นหนี้บุญคุณครอบครัวเรา...
ความโชคร้ายยังโถมเข้าใส่ศาสตราบุรินทร์อย่างต่อเนื่อง ลูกค้าแห่กันมาถอนจองคอนโดฯเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว แถมยังมีลูกค้าทยอยโทร.มานัดวันจะถอนจองอีกหลายราย ศักดิ์สกุลไม่มีทางเลือกจำต้องให้ถอนตามที่ลูกค้าต้องการ
ทางฝ่ายกรพงศ์จัดแจงถ่ายรูปคอนโดฯที่พักของตัวเองแล้วโหลดลงโน้ตบุ๊ก เข้าหน้าประกาศขาย พลางบ่นถ้าไม่ตายก็หาใหม่ได้ จากนั้นเขาปิดโน้ตบุ๊กแล้วลากกล่องเปล่าออกมาทยอยเก็บข้าวของ...
อรอาภาเห็นข่าวประกาศขายคอนโดฯของกรพงศ์ทางเน็ต ก็หันไปบอกกับพ่อซึ่งร้องเอะอะว่าทางนั้นถึงขนาดต้องขายคอนโดฯกันแล้วหรือ เธอคุยอวดก็เงินหายไปตั้ง 30 ล้านบาทมาเข้ากระเป๋าเธอ จะไม่เดือดร้อนได้อย่างไร ท่านวีระงง ไปหลอกเอาเงินทางนั้นมาได้อย่างไร
“อรก็เจริญรอยตามคุณพ่อไงคะ ไม่ต้องสนวิธีการหรอก ว่าแต่คุณพ่อเถอะตกลงยังไงเนี่ย ไม่กลัวเรื่องจะสาวมาถึงตัวบ้างเหรอ ถ้าเกิดไอ้พวกวิศวกรหรือพวกที่คุณพ่อจ่ายใต้โต๊ะไป มันเกิดกลับมามอบตัวหรือถูกจับได้ล่ะ”
“พ่อไม่ยอมให้พวกมันได้กลับมาหรอก” ท่านวีระแสยะยิ้มน่ากลัว...
ดวงกมลต้องการแก้แค้นอรอาภา สั่งให้จิ้งหรีดเตรียมน้ำปลาร้ากรอกใส่ปืนฉีดน้ำแล้วเอาไปฉีดใส่เธอกลางห้างฯหรู แถมป่าวประกาศให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมารู้ว่าผู้หญิงคนนี้หลอกเอาเงินตนเองไป...
กรพงศ์เก็บของในห้องนอนเสร็จพอดีตอนที่รสรินแวะมาหาพร้อมกับข้าวกล่อง แล้วถามหาจานชามช้อนส้อมไปไหนหมดหรือจะได้เปิบด้วยมือ เขาเก็บใส่กล่องหมดแล้ว ก่อนจะชี้ไปที่ลังกระดาษวางเกะกะอยู่ เธอบ่นจะรีบเก็บไปทำไมนักหนา เขาจะเอาไว้ทำไมในเมื่อจะขายที่นี่อยู่แล้ว รสรินรื้อจานออกมาจัดข้าวใส่แล้วยื่นไปตรงหน้า เขายังงอนเธอเพราะคิดว่าหนีเอาตัวรอด อ้างว่าไม่หิว เธออาสาจะป้อนให้
“ไม่ต้องมาทำดีกับผมก็ได้ ผมไม่ได้น่าสงสารขนาดนั้นหรอก”
“เอ่อ ฉันอยากรับผิดชอบคุณด้วยเรื่องคืนนั้นที่ฉันเมา” พูดไปรสรินเขินเอง กรพงศ์สารภาพว่าวันนั้นเราสองคนไม่ได้มีอะไรกัน เขาแค่แกล้งเธอเท่านั้น รสรินเงื้อมือจะทุบ กรพงศ์คว้ามือเธอดึงมาหา ขอกอดหน่อยได้ไหม เขาไม่รอคำตอบกอดเธอไว้แน่น
“เคยรักผมจริงๆบ้างไหมครับรส”
รสรินได้แต่อึกอักยังไม่ทันจะว่าอะไร มีเสียงมือถือของเขาดังขึ้นเสียก่อน ที่ห้างฯโทร.มาแจ้งว่าดวงกมลถูกจับตัวไว้พร้อมกับจิ้งหรีด ครู่ต่อมากรพงศ์กับรสรินมาถึงห้างฯดังกล่าว ถามว่าเกิดอะไรขึ้น รปภ.ห้างฯแจ้งว่าดวงกมลเอาปืนฉีดน้ำปลาร้ามาฉีดใส่คุณผู้หญิงคนนี้ ทางเราก็เลยต้องคุมตัวไว้ก่อน กำลังจะเรียกตำรวจพอดี รสรินรีบขอร้องไม่ต้องให้ถึงตำรวจ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
“เรื่องนิดเดียวบ้าบออะไร น้ำปลาร้าขึ้นสมองฉันแล้ว”
“ก็แกอยากไม่คืนเงินฉันทำไมล่ะ อีวอกหน้าด้าน”
กรพงศ์รำคาญคว้ากระเป๋าถือของแม่ชวนกลับบ้าน ไม่ต้องไปยุ่งกับอรอาภา ให้ถือว่าฟาดเคราะห์ก็แล้วกัน ก่อนขยับจะไป อรอาภาเรียกไว้ เสนอข้อต่อรองหากจะให้คืนเงิน 30 ล้าน เขาต้องหย่าขาดกับรสริน กรพงศ์ไม่มีอะไรจะพูดด้วย ประคองแม่กลับ...
เมื่อมาถึงบ้านศาสตราบุรินทร์ ดวงกมลขอร้องทุกคนรวมทั้งจิ้งหรีดด้วยอย่าบอกเรื่องนี้ให้ศักดิ์สกุลรู้ ทุกคนรับปากจะไม่พูดเรื่องนี้ กรพงศ์เห็นทุกอย่างเรียบร้อยก็ขอตัวกลับไปเก็บของต่อ รสรินอาสาจะไปช่วย เขาอ้างเก็บคนเดียวได้
“แต่ว่า...”
“ผมอยากอยู่คนเดียว ขอโทษนะ”
ooooooo
ศักดิ์สกุลนั่งปรึกษาเรื่องที่กรพงศ์จะขายคอนโดฯอยู่กับรสรินและพิมพ์เพทาย รสรินอยากให้ท่านช่วยพูดกับกรพงศ์ให้ยกเลิกการขายไปก่อนเผื่อจะมีทางอื่น ท่านส่ายหน้ายังมองไม่เห็นทางอื่นที่ว่า
“แล้วเราจะทำยังไงดีคะคุณพ่อ พิมพ์ไม่อยากให้พี่กรต้องเดือดร้อนเลย”
“ถ้าจำเป็นจริงๆ พ่อคงต้องเอาบ้านนี้เข้าแบงก์โปะหนี้บางส่วนก่อน”
รสรินขอร้องศักดิ์สกุลอย่าทำอย่างนั้น รออีกสักพักหนึ่งก่อน ท่านรอไม่ไหวนี่ก็ใกล้วันที่ต้องชำระหนี้เข้ามาทุกทีแล้ว ตอนนี้ทางไหนเป็นเงินได้ก็ต้องเอาไว้ก่อน...
ไม่ได้มีแต่คนในครอบครัวเท่านั้นที่พยายามหาทางช่วยบริษัทศาสตราบุรินทร์ พลวัฒน์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ใช้วิชาชีพนักข่าวช่วยเหลืออีกแรงหนึ่งโดยเขียนลงในคอลัมน์ของตัวเอง แม้จะไม่ได้เข้าข้างเต็มที่แต่ก็เขียนเป็นแนวทางให้คนอ่านเอาไปปะติดปะต่อเอง
แทนที่กรพงศ์จะขอบใจกลับตั้งแง่ที่พลวัฒน์ทำแบบนี้เพราะรสรินใช่ไหม เขายอมรับว่าเธอเป็นเหตุผลแรกที่ทำให้เขาช่วย แต่จรรยาบรรณของสื่อก็ค้ำคอทำให้เขาเลือกที่จะเสนอในสิ่งถูกต้อง ถึงแม้จะเกลียดขี้หน้ากรพงศ์ก็ตาม...
พลวัฒน์ไม่ค่อยจะพอใจกรพงศ์นักที่มาคอยจ้องจับผิด บ่นให้นวลพรรณฟังขณะเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเอกสาร ว่าตนไปเหยียบหางเขาตอนไหนถึงได้จ้องจะหาเรื่องกันตลอด และที่สำคัญตอนนี้ตนไม่ได้คิดอะไรกับรสรินอีกแล้วเพราะมีนวลพรรณอยู่ทั้งคน แล้วคว้ามือ มากุมไว้ เธอดึงมือเขาออก
“ขอนวลเล่นตัวบ้างเถอะนะ ให้นวลแน่ใจกว่านี้หน่อย”
“ช่วงเอาคืนสินะ...เออ แล้วเรื่องทางนี้ล่ะเป็นไง เคลียร์กันเรียบร้อยไหม”
นวลพรรณถอนใจส่ายหน้า นี่ถ้าบริษัทหาเงินเข้าบัญชีไม่ทันอาทิตย์หน้า กรงพงศ์จะโดนข้อหาจ่ายเช็คเด้งอีกหนึ่งกระทง ทุกคนถึงกำลังกลุ้มกันหนักไม่รู้จะหาเงินได้ทันหรือเปล่า...
นับว่าโชคยังเข้าข้าง แบงก์ยอมให้เรือนแก้วเอาโรงงานกับสัญญาสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้ามาค้ำประกันเงินกู้ได้เงินมากว่า 30 ล้านบาท เธอไม่รอช้ารีบเข้ากรุงเทพฯ เพื่อแจ้งข่าวดีนี้กับศักดิ์สกุลและครอบครัวด้วยตัวเองถึงบ้าน เมื่อเขารู้ว่าเธอเอาโรงงานไปค้ำประกันเงินกู้มาให้ ทำท่าจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือ
“แต่นี่มันมากไปนะครับ โรงงานนั่นมันเป็นสมบัติ ของคุณ”
“มันก็ไม่ได้หายไปไหนนี่คะ เราแค่เอาจำนองไว้ก่อน กิจการก็ยังเดินไปได้เหมือนเดิม แล้วอีกอย่างทุกคนในบ้านก็เห็นด้วยว่าควรจะตอบแทนพวกคุณศักดิ์บ้าง จะเอามาให้คุณเองก็คิดว่าคุณคงไม่รับแน่ๆ เลยคิดกันกับยัยรส ถือวิสาสะเข้าแบงก์ให้คุณเลย...พ่อกรไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วนะลูก”
“ขอบคุณมากครับ” กรพงศ์ยกมือไหว้เรือนแก้วแล้วลุกออกไปจากห้อง รสรินรีบลุกตาม ดวงกลมซาบซึ้งใจมากที่เรือนแก้วช่วยเอาไว้ เข้ามานั่งข้างๆขอบคุณเธอทั้งน้ำตา ด้านรสรินวิ่งตามมาถามกรพงศ์ว่าเป็นอะไรทำไมทำหน้าอย่างนั้น เขาโกหกว่าเหนื่อยนิดหน่อย
พักเดี๋ยวก็หาย แล้วเดินขึ้นห้องไปเลย
ooooooo
อีกมุมหนึ่งในห้องครัว พิมพ์เพทายจะมาขอบคุณอานนท์ที่ช่วยเหลือกลับเจอเขากำลังคุยโทรศัพท์กับสาวแถมนัดเจอกันอีกต่างหาก เธอไม่อยากได้ยินเรื่องแสลงหู หันหลังจะไปเขาคว้าแขนไว้ คุยโทรศัพท์ต่อสักพักถึงวางสาย แล้วถามว่ามีอะไรกับเขาหรือ เธอแค่จะมาขอบคุณที่เขาช่วยครอบครัวของเธอ
“มือแข็งนะ จะไหว้สักนิดยังไม่มี”
พิมพ์เพทายหมั่นไส้ยันโครมอานนท์หงายเงิบก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์...
ทางฝ่ายกรพงศ์หยิบการ์ดแต่งงานที่รสรินปริ๊นต์เองออกมาดู เห็นนามสกุลเนินสูงชันชัดเจน รู้สึกผิดที่ทีแรกตั้งแง่รังเกียจเธอกับครอบครัว ตัดสินใจไปพบเรือนแก้วที่ห้องพักรับรองแขก บอกกับรสรินว่าขอคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว เมื่อได้อยู่กันตามลำพัง กรพงศ์ ก้มกราบขอโทษเรือนแก้วอย่างนอบน้อม เสียใจที่เคยดูถูกท่านกับครอบครัว เขาโง่เองที่ตัดสินคนจากภายนอก เรือนแก้ว ดึงกรพงศ์ให้ลุกขึ้น
“พ่อกรคิดอะไรๆได้ก็ดีแล้ว จากนี้ไปก็เริ่มใหม่นะลูก ป้าขอฝากยัยรสด้วย”
“ขอโทษนะครับ แต่ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว” กรพงศ์น้ำตาคลอเบ้า...
รสรินที่รออยู่หน้าห้องเห็นกรพงศ์เดินออกมาเข้าไปเกาะแขนรบเร้าให้บอกว่าคุยอะไรกับแม่ของเธอ เขาสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความกล้า ก่อนจะบอกเธอว่าเรามาหย่ากันเถอะ เธอไม่เข้าใจทำไมอยู่ๆถึงพูดแบบนี้ หรือคิดจะทำตามที่อรอาภายื่นข้อเสนอ เขาไม่ตอบอะไรเดินหนี เธอรีบมาดักหน้าไว้
“คุณคิดเหรอว่าเธอจะคืนเงินมาให้จริงๆ คุณอรเธอต้องมีแผนอะไรอีกแน่ คุณอย่าไปเชื่อเธอเลยนะคะ”
กรพงศ์อ้างว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอรอาภา ลืมไปแล้วหรืออย่างไร ตั้งแต่แรกที่รสรินยอมแต่งงานกับเขาเพราะอะไร ตอนนี้เธอก็เอาเงินมาคืนเขา 30 ล้านบาทแล้ว
ต่อจากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันและเธอไม่จำเป็นต้องฝืนใจอีกต่อไปแล้ว เธอยืนยันว่าไม่ได้ฝืนใจ เขาอยากรู้ถ้าไม่ฝืนใจแล้วเธออยู่กับเขาเพราะอะไร รสรินอยากบอกว่าอยู่เพราะรักเขา แต่ไม่กล้าพูดได้แต่อึกอัก
“พอเถอะรส ตอนนี้คุณไม่มีอะไรติดค้างศาสตรา–บุรินทร์ คุณเป็นอิสระ คุณเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมอยู่แล้วนี่ครับ ขอโทษนะที่ผมเคยทำอะไรๆไม่ดีกับคุณ” กรพงศ์ยิ้มเศร้าแล้วผละจากไป รสรินมองตามน้ำตาไหลพราก ต้องเอามือปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมา ก่อนจะวิ่งเข้าห้องซบหน้ากับอกเรือนแก้วร้องไห้ออกมาอย่างหมดความอดกลั้น โดยไม่ยอมเอ่ยปากบอกอะไรท่านทั้งสิ้น
ooooooo
ดวงกมลเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ลงมือเข้าครัวจัดเตรียมมื้อเช้าให้รสริน เรือนแก้วและอานนท์ด้วยตัวเอง แถมยังอนุญาตให้รสรินเรียกว่าแม่อีกด้วย และยินดีต้อนรับเธอเป็นสะใภ้ด้วยความเต็มใจ
“คงจะสายไปแล้วล่ะค่ะคุณแม่ คุณกรเขาขอหย่ากับรสแล้วค่ะ”
ทั้งโต๊ะอาหารเงียบกริบทันที...
ฝ่ายกรพงศ์มาถึงออฟฟิศแต่เช้า นวลพรรณเอาน้ำมาให้ไม่เห็นรสรินมาด้วยก็ถามหา เขาคิดว่าเธอคงไม่มาเพราะแม่แก้วอยู่ที่บ้าน แล้วหยิบแฟ้มโปรไฟล์พนักงานขึ้นมาเปิดดู นวลพรรณชะโงกหน้ามาถามว่ายังไม่เจอตัววิศวกรอีกหรือ เขาส่ายหน้า
“ฉันไม่รู้จะไปตามหาพวกนั้นที่ไหนแล้วเนี่ย สงสัยต้องรอตามไปที่นรกทีเดียวล่ะมั้ง” กรพงศ์ชะงักกับคำพูดตัวเอง รีบเปิดคอมพิวเตอร์ กวาดสายตาไล่อ่านข่าวฆาตกรอย่างเร่งรีบก่อนจะเจอบางอย่างเข้า คว้าเสื้อนอกวิ่งปรู๊ดออกจากห้องเกือบชนเข้ากับรสรินที่เดินสวนเข้ามา ต่างฝ่ายต่างทำหน้าไม่ถูก เธอตั้งสติได้ก่อนถามว่าจะไปไหน เขาจะไปตามหาพวกวิศวกรที่หนีไป เธอขอไปด้วยและห้ามเขาปฏิเสธ...
ไม่นานนักกรพงศ์กับรสรินมาถึงสถานีตำรวจเพื่อสอบถามถึงคดีฆาตกรรมชายนิรนาม ซึ่งสภาพศพถูกยิงหลายนัด ที่ใบหน้ายังถูกตีจนเละเหมือนจงใจไม่ให้รู้ว่าเป็นใคร นอกจากนี้นิ้วมือของศพยังถูกตัดทิ้ง ทางตำรวจส่งศพไปที่นิติเวชฯเพื่อชันสูตรแล้ว และไม่มีหลักฐานอื่นใดที่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นใครมาจากไหน
“มีศพเดียวเหรอครับ”
“ในพื้นที่นี้มีแค่ศพเดียวนี่ล่ะครับ แต่รู้สึกว่าจะมีคนพบศพในลักษณะนี้อีกสองสามศพ แต่คุณต้องไปตรวจสอบเอาเอง เดี๋ยวผมจะประสานไปให้ตำรวจเจ้าของท้องที่ละกันครับ”
กรพงศ์ขอบคุณตำรวจมากที่ให้ข้อมูลแล้วหันมองรสรินที่นั่งหน้าซีดเหมือนจะเป็นลมอยู่ใกล้ๆ ครู่ต่อมา เขาจูงมือรสรินลงมาจากสถานีตำรวจ บอกให้เธอกลับไปก่อน เขายังมีธุระอีกหลายที่ต้องไป เธอยืนกรานจะไปด้วย เขาจึงตัดบทว่าเสร็จธุระแล้วจะไปหาอรอาภาด้วย เธอถึงกับหน้าเสียดึงมือเขาที่จับมือเธอออกแล้วจ้ำพรวดๆไปเรียกแท็กซี่ กรพงศ์มองอย่างเป็นห่วงก่อนจะเดินกลับไปที่รถตัวเอง...
เรือนแก้วนั่งอยู่ที่โต๊ะสนามหน้าบ้าน เห็นอานนท์คว้ากุญแจรถจะออกไปข้างนอกร้องทักจะไปไหนอีก นัดสาวไว้หรือ เขาเหลือบเห็นพิมพ์เพทายแอบฟังอยู่แกล้งบอกแม่ว่าสาวคนนี้เขาคิดจะจริงจังด้วย เรือนแก้วต่อว่าว่าทำไมต้องตะโกนด้วย เป็นจังหวะเดียวกับรสรินลงจากแท็กซี่เดินเข้ามา เห็นน้องชายแต่งตัวจะไปข้างนอกถามว่าจะไปไหน เรือนแก้วตอบคำถามแทนว่าเขาจะออกไปหาสาว
“น้องมันคบใครมันก็ไม่ยอมบอกแม่” เรือนแก้วตัดพ้อ
“ยังไงกันเจ้านนท์ แกมีสาวที่ไหนอีก แล้วน้องพิมพ์ล่ะ” รสรินพูดไม่ทันจบอานนท์โดดตะครุบปากไว้ บอกให้แม่พาพี่รสเข้าบ้านเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ เขาจะรีบไปข้างนอกแล้ววิ่งจู๊ดไปขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว รสรินได้แต่มองตามหงุดหงิด...
ฝ่ายเรือนแก้วเห็นพิมพ์เพทายอารมณ์บูดเข้ามาถามว่าเป็นเพราะอานนท์หรือเปล่า ทั้งคู่คบหากันอยู่ใช่ไหม เธอปฏิเสธทันทีว่าเปล่า เรือนแก้วเห็นสายตาล่อกแล่ก ของเธอก็รู้ว่าเธอพูดไม่จริง
ooooooo
กรพงศ์แวะไปหาอรอาภาที่บ้านเห็นเธอกำลังจะขับรถออกไปข้างนอกรีบวิ่งไปขวางไว้ บอกว่าเขากำลัง จะหย่ากับรสริน เธอเคยบอกว่าถ้าเขาหย่าขาดกับรสรินเธอจะคืนเงิน 30 ล้านบาทให้ อรอาภาทำไม่รู้ไม่ชี้ กรพงศ์ขอร้องอย่าทำแบบนี้ ขอเงินของเขาคืนด้วย
“ตาย นี่คุณกรพงศ์ทายาทอสังหาฯชื่อดังกำลังขอเงินอรอยู่เหรอเนี่ย จะเห็นใจหรือสมเพชดีล่ะคะ”
“อรครับ ผมรู้นะครับว่าผมทำให้อรเสียใจ แต่ตอนนี้ผมกำลังแย่จริงๆ อรคืนเงินให้ผมเถอะนะครับ เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันก็ได้”
“กลับมาเหมือนเดิมงั้นเหรอ มันไม่สายไปหน่อยเหรอคะกร”
ชายหนุ่มทำเป็นชะงัก หยิบมือถือขึ้นมากดรับ “ว่าไง อะไรนะ เจอไอ้วิศวกรนั่นแล้วเหรอ” กรพงศ์ทำเป็นเสียงดัง อรอาภาหูผ่ึงทันที เขารีบขอตัวไปรับสายสักครู่แล้วเดินเลี่ยงออกมา เธอแอบย่องตามไปฟัง
“ที่ไหน โอเคเดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นๆเสร็จธุระแล้วผมจะไปรับเขา คุณช่วยดูไว้ก่อนละกันอย่าให้รู้ตัว แล้วก็อย่าบอกใครเด็ดขาดเลยนะครับ มันอันตรายมาก” กรพงศ์วางสายพลางถอนใจโล่งอก ขณะที่อรอาภาสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด รอจนเขาไปแล้ว เธอรีบขับรถไปหาพ่อที่ทำการพรรคเพื่อบอกเรื่องนี้
“จริงเหรอยัยอร แกฟังไม่ผิดแน่นะ”
อรอาภายืนยันได้ยินกับหูตัวเองว่ากรพงศ์เจอวิศวกรนั่นแล้วจริงๆ ท่านวีระหันไปเล่นงานเลขาฯไหนว่าจัดการหมดแล้วทำไมยังเหลือรอดอีกหนึ่งคน นี่ถ้ากรพงศ์ไปเจอมันก่อนจะทำอย่างไร อรอาภาได้ยินว่าเขาจะไปรับมันพรุ่งนี้ตอนเย็น ถ้าหากมันสารภาพขึ้นมา คุณพ่อได้จบเห่ไปตายในคุกแน่ ท่านวีระกระชากคอเสื้อเลขาฯ สั่งให้ไปหาตัวไอ้วิศวกรนั่นให้เจอ แล้วจัดการฆ่าตัดตอนก่อนที่กรพงศ์จะไปถึงตัว
“ไม่อย่างนั้น แกรู้ใช่ไหมว่าจะเป็นอย่างไร”
“ครับท่าน” เลขาฯว่าแล้วลนลานออกไป ท่านวีระหันมาถามลูกสาวว่าจะไปไหนอีก เธอจะไปหาผู้ชาย ท่านถึงกับส่ายหน้า ระอาในความบ้าผู้ชายของลูกตัวเอง...
ผู้ชายที่อรอาภานัดไปเจอไม่ใช่ใครที่ไหนคือ อานนท์นั่นเอง เขาทำทีเป็นนักธุรกิจที่มีงานรัดตัว ทำทุกอย่างที่ได้เงิน ทั้งส่งออกนำเข้าอาหาร ทำธุรกิจด้านเครื่องมือสื่อสาร และเพิ่งตกลงทำรีสอร์ต อีกไม่นานเขาจะลองธุรกิจด้านแฟชั่นดูบ้าง เพียงแต่ไม่มีความรู้ด้านนี้
“กลัวอะไรคะ นางแบบเบอร์หนึ่งอยู่นี่ทั้งคน”
“เห็นทีผมคงต้องเชิญคุณอรมาร่วมธุรกิจกับผมจริงๆซะแล้ว”
“ยินดีค่ะ อรยินดีจะร่วมทั้งธุรกิจแล้วก็ร่วม...” อรอาภาจิกตามอง แล้วลูบไล้อกอานนท์ซึ่งมองมือเธอแอบเบ้ปากอย่างดูแคลน...
ด้านกรพงศ์นำเรื่องที่ใช้เหยื่อล่อจนอรอาภากับท่านวีระติดกับมาเล่าให้พ่อฟัง ศักดิ์สกุลเตือนนี่มันเสี่ยงเกินไป ท่านยอมให้เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ ทำไมถึงไม่ให้ตำรวจจัดการ เขาไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับพ่อ ให้ผมทำเถอะไม่อย่างนั้นผมคงลบไอ้ความรู้สึกเป็นตัวซวย สร้างแต่เรื่องให้ศาสตราบุรินทร์ไม่ได้หรอก”
ศักดิ์สกุลเสนอจะให้เพื่อนที่เป็นตำรวจของท่านไปด้วย กรพงศ์อ้างเอิกเกริกเกินไป เดี๋ยวมันรู้ตัวก่อน ศักดิ์สกุลเป็นห่วงความปลอดภัยหยิบปืนมาให้เขาไว้ป้องกันตัวแล้วกำชับว่าเขาจะต้องไม่เป็นอะไร จะต้องกลับมากวนบาทาท่านเหมือนเดิม กรพงศ์รับปากอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจนัก...
กรพงศ์กำลังง่วนอยู่กับปืนตอนที่รสรินเปิดประตูห้องเข้ามาจะเอาหมอน เขารีบเหวี่ยงปืนไปใต้เตียง ทำไม่รู้ไม่ชี้ เธอเห็นท่าทางแปลกๆของเขารู้ว่าต้องมีอะไร แกล้งชี้ไปที่หน้าต่าง ร้องเอะอะว่านั่นอะไร กรพงศ์ หันไปดู เธอรีบก้มมองใต้เตียง เขาหันมาเห็นตกใจโดดคร่อมตัวเธอไว้ใบหน้าเกือบชนกัน ต่างฝ่ายต่างเขิน เขาตั้งสติได้รีบลุกขึ้น รสรินลุกตามคว้าหมอนตัวเองแล้วเดินออกไป สีหน้าเป็นกังวลเพราะเห็นปืนอยู่ใต้เตียง
ooooooo
ขณะท่านวีระกำลังกินมื้อเช้าอยู่ เลขาฯเดินนำลูกน้องเข้ามารายงานว่าเราเก็บกวาดคนอื่นๆหมดแล้วเหลือแค่วิศวกรคนเดียวเท่านั้น และเราก็รู้ที่อยู่มันแล้วด้วย ท่านวีระสั่งให้รีบไปจัดการมันตอนนี้เลยก่อนที่กรพงศ์จะไปถึง งานนี้เลขาฯต้องไปด้วยเพื่อให้เห็นกับตาว่าเก็บไอ้วิศวกรนั่นได้จริงๆ
“แต่ว่า...วันนี้ท่านมีประชุมแล้วก็ต้องให้สัมภาษณ์สื่อนะครับ”
ท่านวีระจัดการเรื่องนี้เองได้ ให้เลขาฯไปทำตามที่สั่งก็พอ เขาจำใจพยักหน้ารับคำ...
ด้านศักดิ์สกุลออกมาส่งกรพงศ์ที่หน้าบ้าน ลูบหัวลูบหู เตือนให้ระวังตัวให้มากๆ เขากราบพ่อที่อกเสร็จเดินมาไหว้แม่กับเรือนแก้วที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ดวงกมลมีเรื่องจะคุยด้วยไว้เขากลับจากทำงานก่อน พิมพ์เพทายแปลกใจทำไมป่านนี้รสรินถึงยังไม่ลงมา
“ยัยรสออกไปตั้งแต่เช้าแล้วล่ะจ้ะ เห็นว่ามีธุระต้องทำ”
“โอเค งั้นผมไปแล้วครับ ถ้าไม่ตายก็เจอกันตอนเย็น” กรพงศ์โบกมือบ๊ายบายแล้วขึ้นรถขับออกไป ครู่ต่อมาเขาขับรถมาจอดซุ่มอยู่หน้าบ้านท่านวีระ สักพักมีรถตู้ติดฟิล์มดำแล่นมารับเลขาฯกับลูกน้อง กรพงศ์รีบขับรถตามกระทั่งมาถึงไซต์ก่อสร้างคอนโดฯมีเทปเหลืองล้อมรอบทางเข้า และมีป้ายประกาศห้ามเข้าปิดอยู่ เขาถึงบางอ้อทันทีที่แท้วิศวกรก็มากบดานที่นี่ ค่อยๆย่องตามเข้าไปด้านใน
ขณะกรพงศ์กำลังแอบมองเลขาฯกับพวก รสรินย่องมาด้านหลังเอาปืนปลอมจี้เขาไว้ ดัดเสียงเป็นคนอื่นสั่งให้คุกเข่า กรพงศ์ฮึดสู้หมุนตัวมาล็อกคอเอาไว้ พอรู้ว่าเป็นรสรินก็รีบปล่อยมือแล้วดึงเธอหลบถามว่ามาได้อย่างไร เธอสะกดรอยตามเขามาอีกทอดหนึ่ง แล้วย้อนถามเขาว่ามาที่นี่ทำไม
“ก็มาตามไอ้วิศวกรทรยศนั่นไง ฉันวางเหยื่อไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” กรพงศ์เหลือบเห็นวิศวกรในสภาพมอมแมม สวมแว่นดำ สวมหมวกหลุบต่ำเดินลับๆล่อๆอยู่...
ลูกน้องของท่านวีระเห็นวิศวกร ชักปืนพร้อมที่เก็บเสียงขึ้นมาหมายจะสังหาร เขารู้ตัววิ่งหนี อารามรีบร้อนสะดุดขาตัวเองหกล้ม ลูกน้องตามมาด้านหลังเล็งปืนใส่ กรพงศ์รู้ดีว่าถ้าวิศวกรตายตัวเองต้องเดือดร้อนหนักตัดสินใจชักปืนขึ้นมาแล้วย่องไปด้านหลังลูกน้องโดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามของรสริน พลางส่งสัญญาณให้วิศวกรเงียบไว้ เขากลับส่งเสียงทำให้ลูกน้องรู้ตัวหันขวับเล็งปืนใส่กรพงศ์แทน
“เอาสิวะ มาลองดูว่าแกกับฉันใครจะไวกว่ากัน” กรพงศ์ประกาศกร้าว ต่างฝ่ายต่างจ้องปืนใส่กัน ขณะที่วิศวกรรีบคลานมาหลบหลังเจ้านาย
ooooooo










