ตอนที่ 1
หลังจากที่พายุหมดอิสรภาพอยู่ในเรือนจำนานถึง 5 ปี ข้อหาปล้นรถขนเงินของธนาคารที่เขาเป็นพนักงานคุมเงินสด เมื่อได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระเขาจึงต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง เพราะเขาคาใจมาตลอดว่าไม่ได้เป็นคนร้ายปล้นเงินแต่ถูกจัดฉากให้เป็นแพะรับบาป
ก่อนพ้นจากเรือนจำมา พายุรับปากเทพผู้คุมที่กำชับว่าอย่าลืมไปรายงานตัวที่สำนักงานคุมประพฤติ แต่ไม่ทันไปถึงชายหนุ่มก็ประสบเหตุคนร้ายปล้นหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งเบิกเงินและทองออกมาจากธนาคาร
ผู้คนบริเวณนั้นตระหนกตกใจพากันวิ่งหนี แต่พายุไม่ทำเช่นนั้น เขาตั้งสติลุยเข้าไปช่วยเหลือหญิงสาวที่มากับบอดี้การ์ด เป็นเวลาที่ทางตำรวจ 191 ก็ได้รับแจ้งว่าเกิดการจี้ปล้น
กลุ่มคนร้ายนำโดยจ่านนท์อดีตทหารหน่วยรบพิเศษที่ตั้งตัวเป็นซุ้มมือปืน พวกมันต้องการเงินและทองของมาศจันทร์ลูกสาวนายวิวัฒน์เจ้าของสัมปทาน
เหมืองทองที่นครสวรรค์ แต่ความจริงยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่มากกว่านั้นจากผู้บงการ
คนร้ายเป็นกลุ่มเดิมเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่ปฏิบัติการแล้วโยนความผิดให้พายุ ในวันนี้หนึ่งในกลุ่มเห็นหน้า
พายุเลยชะงักอย่างรู้สึกคุ้น แต่เพราะเหตุการณ์หน้าสิ่ว หน้าขวานมันเลยไม่มีเวลาพิจารณา
มาศจันทร์ปลอดภัยได้รับความช่วยเหลือจากพลเมืองดี แต่แล้วเขาก็จากไปโดยไม่แนะนำตัวว่าเป็นใคร เมื่อตำรวจที่นำโดยสารวัตรกอบคุณมาถึง คนร้ายจึงสลายตัวไปไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง
กอบคุณรู้สึกถูกตาต้องใจมาศจันทร์ตั้งแต่แรกเห็น เขาเชิญเธอไปสอบสวนและลงบันทึกแจ้งความ
ที่สถานีตำรวจ ก่อนที่วิวัฒน์บิดาของเธอจะตามมาด้วยท่าทีร้อนรน ด้านจ่านนท์หัวหน้าโจรกำลังหัวเสียที่สมุนทำงานไม่สำเร็จทั้งที่เป้าหมายคือกระเป๋าแค่สองใบจากผู้หญิงร่างกายบอบบาง
“ผมเกือบจะเอามันมาได้แล้วครับจ่า แต่มีคนมาช่วยลูกสาวนายวิวัฒน์เสียก่อน”
“ใครวะ”
“ผมไม่แน่ใจนะว่าจะใช่หมู่พายุหรือเปล่า”
จ่านนท์ชะงักอย่างคาดไม่ถึง “หมู่พายุ? เห็นว่ามันติดคุกคดีปล้นรถขนเงินนี่ ไม่น่าจะพ้นโทษเร็วขนาดนี้นะ”
“นั่นสิครับ ผมเลยไม่แน่ใจ แต่ดูจากฝีมือมันไม่หนีจากหมู่พายุเลยนะจ่า”
“หรือว่ามันจะเป็นหมู่พายุจริงๆ”
จ่านนท์พึมพำแล้วนึกถึงความหลังเมื่อหลายปีก่อนที่ตนเคยเป็นครูฝึกประจำหน่วยรบพิเศษ แล้วหมู่พายุอยู่ในลูกทีมซึ่งเป็นระยะเวลาสองเดือนในการฝึก แต่ทั้งคู่ไม่ลงรอยกันเพราะความไร้น้ำใจของจ่านนท์ที่พายุไม่ชอบและกลายเป็นงัดข้อกันเรื่อยมา
เสียงโทรศัพท์มือถือทำลายภวังค์ของจ่านนท์ที่กำลังนึกถึงอดีต เขารับสายจากผู้บงการที่อยากรู้ว่างานเรียบร้อยไหมด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ครับ ถ้าแค่ขู่...เพราะผมไม่ได้เงินมา พอดีตำรวจมาเสียก่อนครับ”
“ไม่ได้เงินหรือ...อืม...เอาเถอะ ยังไงมันก็น่าจะขวัญเสียอยู่ รีบขึ้นมาหาฉันที่ปากน้ำโพก็แล้วกัน”
“ครับท่าน” จ่านนท์วางสายแล้วสั่งลูกน้องพลางโยนซองเงินปึกใหญ่ให้ “เอาเงินนี่ไป แล้วจัดการทำลายหลักฐานให้หมด เผาเสื้อผ้าที่ใส่ซะด้วย”
ooooooo
เพราะมัวเสียเวลากับการเป็นพลเมืองดีทำให้พายุไปถึงสำนักงานคุมประพฤติเกินเวลาทำการ เจ้าหน้าที่หญิงร่างอ้วนกำลังจะกลับบ้าน มองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาแววตาขุ่นขวาง
“ผมมารายงานตัว”
ได้ยินคำพูดนั้น หล่อนชักสีหน้าใส่เขาทันที บ่นว่านี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว
“ห้าโมงสองนาทีครับ”
“ก็รู้นี่...ว่ามันหมดเวลาราชการแล้ว”
“แต่ผม...”
“ไม่ต้องมาอ้างอะไรทั้งนั้น พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
เจ้าหน้าที่จ้องชายหนุ่มตาแข็ง พายุพูดไม่ออก กำลังจะหันหลังกลับ...ได้ยินเสียงผู้หญิงลอดออกมาจากในห้อง
“ให้เขาเข้ามาก็ได้ พอดีฉันยังไม่กลับ”
พายุดีใจ การมาของเขาไม่เสียเที่ยว ได้เข้าไปพบหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดีแถมมีน้ำใจ เธอรับฟังเหตุผลของเขาที่มาสายเพราะติดธุระ แล้วเตือนเสียงเรียบว่า
“คราวหน้าก็มาให้เร็วกว่านี้นะ ที่นี่เปิดแปดโมงครึ่ง ปิดสี่โมงครึ่ง ชื่ออะไรล่ะเราน่ะ”
“พายุครับ...พายุ สุพรรณภักดิ์”
หญิงสาวมองหน้าเขาแล้วตรวจสอบเอกสาร
“คดีปล้นรถขนเงินธนาคารที่ตัวเองเป็นพนักงานคุมเงินอยู่ พิพากษาจำคุก 10 ปี ติดอยู่ 5 ปี 4 วัน ได้รับการพระราชทานอภัยโทษ เป็นนักโทษชั้นดี...ดูท่าทางคุณไม่เหมือนโจรเลยนะ”
“ถ้าผมบอกว่าผมไม่ได้ปล้นล่ะ คุณ...”
“วีนัส...ฉันชื่อวีนัส”
“ครับ คุณวีนัส ถ้าผมบอกว่าผมไม่ได้ปล้นในวันนั้นคุณจะเชื่อไหม”
“จะให้ฉันเชื่อคุณหรือเชื่อหลักฐานกับกระบวนการยุติธรรมล่ะ เอ้า เซ็นซะ”
วีนัสยื่นเอกสารรายงานตัวให้พายุเซ็นแล้วบอกว่าเจอกันเดือนหน้า...ทันใดนั้นในจอทีวีที่เปิดทิ้งไว้มีรายงานข่าวด่วนเรื่องการปล้น พายุหันมองด้วยความสนใจ
“เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมามีกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 6-7 คน บุกเข้าปล้นชิงทรัพย์ผู้เสียหายที่เข้าไปเบิกเงินสดและทองคำมาจากธนาคาร ผู้เสียหายคือนางสาวมาศจันทร์ ลีลาวงศ์วัฒนสกุล ทายาทคนเดียวของนายวิวัฒน์ เจ้าของสัมปทานเหมืองทอง...”
พลันจอทีวีดับวูบโดยวีนัส “ขอโทษนะ ฉันจะกลับบ้านแล้ว...ไปดูข่าวภาคค่ำต่อก็แล้วกัน”
เธอรวบรัดแล้วเก็บข้าวของ พายุพยักหน้ารับอย่างนอบน้อมก่อนลุกจากไป
ooooooo
วิวัฒน์กับมาศจันทร์กลับถึงบ้านก็ติดตามข่าวสารทางทีวีโดยมีรัตนาแม่บ้านสาวใหญ่ออกอาการตกอกตกใจเป็นห่วงคุณหนูของตน
“ตายแล้วคุณหนู เป็นยังไงบ้างคะ ไหนดูซิบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า โทรทัศน์ออกข่าวทุกช่องเลย”
“หนูไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อยป้ารัตนา”
“นั่นสิ ทำอย่างกะลูกจันทร์ถูกยิงพรุนมาทั้งตัว”
“ก็ฉันเป็นห่วงนี่คะ ฉันเลี้ยงของฉันมาตั้งแต่คุณนายเสีย คุณหนูยังแบเบาะ มดไม่ให้ไต่ไรไม่เคยตอม นี่อะไรกันเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกสองสามวันก็ถูกปล้นเสียแล้ว”
“มันพวกไหนกันนะ”
“พวกมันท่าทางเหี้ยมกันทุกคนเลย ดีนะที่คนนั้นเขามาช่วยเอาไว้”
“จริงสิ...เขาชื่ออะไรล่ะ”
“ไม่ทราบค่ะ”
“เสียดายจัง พ่ออยากจะตอบแทนเขาบ้าง”
“นั่นเป็นเรื่องของวันข้างหน้า แต่ตอนนี้อิฉันขออนุญาตพาคุณหนูไปอาบน้ำอาบท่าก่อนนะคะ ดูสิเนื้อตัวมอมแมมไปหมดเลย ไปค่ะคุณหนู”
รัตนาดึงมาศจันทร์ออกไปราวกับเด็กน้อย วิวัฒน์มองตามแล้วนึกขัน แต่สีหน้ากลับมาหม่นอีกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ลูกสาวถูกปล้น
ooooooo
พายุเดินออกมาจากสำนักงานคุมประพฤติไปหยุดที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ เอาเหรียญหยอดตู้เพื่อโทร.หาใครบางคนแต่สัญญาณเงียบกริบ เขาบ่นอุบว่าห้าปียังไงก็อย่างนั้นไม่เคยพัฒนา
วีนัสเดินผ่านมาได้ยินเสียงบ่นเลยบอกว่าสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครใช้โทรศัพท์สาธารณะกันแล้ว...เมื่อรู้ว่าเขาจะกลับบ้านซึ่งเป็นทางผ่านบ้านตน หญิงสาวให้เขาติดรถมาด้วย ระหว่างทางเธอมองสำรวจเขาถี่ถ้วนก่อนพูดตามที่รู้สึกว่าท่าทางเขาไม่เหมือนคนร้าย
“เชื่อแล้วใช่ไหมว่าผมไม่ได้ปล้นธนาคาร”
“ยัง...จำไว้นะ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับหลักฐาน นายมีสิทธิ์รื้อฟื้นคดีได้ก็ต่อเมื่อนายมีหลักฐานใหม่มาอ้างต่อเจ้าพนักงาน”
พายุนิ่งอย่างจำนน เมื่อรถของเธอไปจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ซึ่งเป็นจุดหมายของเขา วีนัสแปลกใจถามว่านี่บ้านนายจริงหรือ
“คิดว่าใช่นะครับ ห้าปี ทุกอย่างอาจเปลี่ยนไป แต่เลขที่บ้านยังเหมือนเดิม ขอบคุณที่มาส่ง”
พายุลงจากรถ วีนัสมองตามยิ้มๆก่อนเคลื่อนรถออกไป พายุเดินมาหยุดยืนที่หน้าบ้านหลังใหญ่ด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ เขากดกริ่งและยืนรออยู่สักครู่ก็มีคนรับใช้ผู้ชายออกมาเปิดประตู
ทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร คนรับใช้ดีอกดีใจร้องลั่นว่า “คุณพายุออกจากคุกแล้ว” พายุได้ยินแล้วเซ็ง บ่นงึมงำว่านี่มันดีใจหรือประจานกันแน่
เมื่อเข้ามาในบ้าน พายุกราบเท้าสุพจน์เจ้าของบ้านที่นั่งอยู่กับอิ่มจิต สุพจน์สีหน้าเรียบนิ่ง ขณะที่อิ่มจิตท่าทางยินดีกับอิสรภาพของพายุ
“ฉันไม่คิดว่าเขาจะปล่อยแกออกมาเร็วขนาดนี้”
คำพูดประโยคนั้นของสุพจน์เล่นเอาอิ่มจิตชักสีหน้านิดๆ ท้วงขึ้นว่า “อ้าว...ได้ปล่อยตัวออกมาเร็วก็ดีแล้วนี่คะคุณสุพจน์”
สุพจน์ไม่ค่อยพอใจแต่แสร้งพูดส่งๆไป “ก็ดีแล้วนี่ แล้วนี่แกคิดจะทำยังไงต่อไป”
“ผมก็คงต้องหางานทำครับ พ่อใหญ่”
“อืม...ก็ดีที่ยังคิดถึงอนาคตบ้าง แล้วแกจะทำงานอะไร”
พายุไม่ทันตอบ อิ่มจิตแทรกเสียก่อนว่า “ก็ให้ทำงานบริษัทขนส่งของเราสิคะ บริษัทเรากำลังขยายงานอยู่ไม่ใช่หรือ”
“ไม่มีทาง บริษัทของฉันไม่มีนโยบายรับคนคุก แกไปดิ้นรนหางานทำเอาเอง”
พายุรู้สึกขื่นขม อิ่มจิตท้วงว่าพายุเป็นลูกของเขา สุพจน์ยิ้มเหยียด เริ่มไม่สบอารมณ์
“เหรอ...ขอบใจนะอิ่มจิตที่เตือน ฉันลืมไปแล้วว่าฉันมีลูก...แก พายุ แกเคยทำอะไรให้ฉันเชิดหน้าชูตาบ้างไหม ให้เป็นทหารดีๆก็ลาออกซะงั้น ตามใจแกนะ จะไปทำอะไรก็ไป ฉันไม่รับรู้ด้วย”
สุพจน์พูดจบก็เดินจากไปทันทีด้วยความฉุนเฉียว อิ่มจิตจะเรียกเอาไว้แต่พายุตัดบทว่า
“ช่างเถอะครับน้าอิ่มจิต ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาหางานทำที่นี่อยู่แล้ว แค่แวะมากราบเท้าท่าน แล้วก็จะมาเยี่ยมเอื้อมพรน่ะครับ อ้อ แล้วของผมที่ฝากไว้ยังอยู่ไหมครับ”
“อยู่สิ น้าให้คนดูแลให้อย่างดีตามที่พายุขอเอาไว้”
รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันสวยของพายุยังอยู่ดีอย่างที่อิ่มจิตบอก เขาลูบคลำมันด้วยความคิดถึง อิ่มจิตส่งกุญแจรถให้พร้อมเงินจำนวนหนึ่ง บอกเขาว่าถ้าว่างก็ไปเยี่ยมเอื้อมพรที่ปากน้ำโพบ้าง หากเดือดร้อนให้มาหาตนได้
ooooooo
เอื้อมพรกับพายุโตมาด้วยกัน และเธอก็รักพายุมาตั้งแต่เริ่มเป็นสาว แต่พายุคิดกับเอื้อมพรเหมือนน้องสาวเท่านั้น สาเหตุที่สุพจน์เกลียดพายุเพราะเขาอยากได้เอื้อมพรเป็นเมียอีกคน ทั้งที่เธอเป็นลูกติดของอิ่มจิตเมียคนปัจจุบัน
สุพจน์เปิดบริษัทขนส่งทางน้ำที่ปากน้ำโพ โดยให้เอื้อมพรมาดูแลกิจการ แต่ที่นี่ก็มีนักเลงประจำถิ่นคือโตมรลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายมงคล นายกเทศมนตรีคนดังที่กำลังต้องการฮุบสัมปทานเหมืองทองของวิวัฒน์ มงคลจึงทำได้ทุกอย่างเพื่อแย่งชิงมา ถึงแม้จะต้องฆ่าวิวัฒน์กับลูกสาวก็ตาม
แรกเห็นเอื้อมพรในวันที่มาเรียกเก็บค่าคุ้มครอง โตมรปิ๊งเธอทันที ต่างจากหญิงสาวที่รู้สึกไม่ถูกชะตาและไม่พอใจท่าทีประกอบคำพูดคำจาวางอำนาจของโตมร
พายุไม่มีที่ไปจึงกลับไปพักอยู่กับหมู่รงค์ เพื่อนรักที่เคยเป็นทหารมาด้วยกันที่ปากน้ำโพ พอดีกับที่วิวัฒน์พามาศจันทร์มาดูกิจการเหมืองทองของตนที่นั่น มาศจันทร์นั่งอยู่ในรถเห็นพายุเดินผ่านไป เธอจำเขาได้แต่เสียดายที่เรียกไม่ทัน
พายุมาพบเอื้อมพรที่ท่าเรือขนส่ง หญิงสาวดีใจมากถึงกับโผเข้ากอดรัดเขาด้วยความคิดถึง เมื่อพายุถามเธอว่ากิจการที่นี่พ่อใหญ่สร้างให้เธอใช่ไหม เอื้อมพรหน้าจ๋อยพูดเสียงอ่อยว่า
“พายุก็รู้ว่าพ่อใหญ่คิดยังไงกับเอื้อมพร”
“แล้วทำไมเอื้อมพรไม่แต่งงานออกเรือนไปเสียล่ะ จะได้ไปพ้นๆจากที่นี่เสียที”
“ก็เอื้อมพรรอพายุอยู่นี่ไง”
เอื้อมพรดึงมือพายุมากุมอย่างเสน่หา พายุท่าทีอึดอัดพูดอึกอักว่า
“คือว่า...เอื้อมพรก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ พายุคิดกับเอื้อมพรแค่เป็นพี่น้องแค่นั้น ไม่เคยคิดเป็นอื่นเลย”
“แต่เอื้อมพรรักพายุนะ ถ้าพายุคิดจะช่วยเอื้อมพร พายุก็...”
เธอพูดไม่ทันจบก็ชะงัก มองไปยังโตมรที่เดินเข้ามากับลูกน้องสองคน
“อ้อ...ที่ไม่รับรักฉันก็เพราะมีแฟนแล้วนี่เอง”
พายุไม่รู้ว่าหมอนี่เป็นใคร แต่ไม่พอใจคำพูดของเขา จึงเตือนดีๆว่าพูดจาอะไรให้เกียรติกันบ้าง
“ฉันไม่ได้พูดกับแก...อย่าแส่” โตมรสวนอย่างมีอารมณ์
พายุเองก็เริ่มจะทนไม่ไหว เอื้อมพรพยายามดึงเขากลับ ยิ่งทำให้โตมรไม่พอใจ ยียวนว่า
“จะรีบกลับไปไหนล่ะคุณผู้หญิง คุยกันก่อนสิ”
“ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ขอความกรุณา หลีกทางเราเถอะครับ”
“สงสัยแกคงต้องคลานหลบไปเองแล้วล่ะ แต่คนเดียวนะ เพราะฉันมีธุระจะคุยกับคุณเอื้อมพรคนสวย”
“ฉันไม่มีอะไรต้องคุย เราไม่ได้รู้จักกัน”
“แต่ฉันจะทำให้เรารู้จักกันมากกว่านี้ก็ได้นะ”
“อย่ามาพูดชั่วๆนะ”
โตมรกร่างอย่างไม่กลัว ที่สุดพายุหมดความอดทน ตั้งรับทันทีที่ได้ยินโตมรสั่งสมุนให้สั่งสอนไอ้จรจัด!
แต่สมุนสองคนไม่ทันจะลงมือ พายุก็ซัดหมัดเข้าใส่จนพวกมันหน้าหงายตั้งตัวไม่ติด โตมรเข้ามา
ชกต่อยพายุแต่สู้ไม่ได้จึงชักปืนออกมาหมายจะยิง
“มึงนี่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงซะแล้ว”
“เอาสิ คุณโตมร...มึงยิง...กูยิง” หมู่รงค์ถือปืนก้าวเข้ามา
จังหวะนี้พวกลูกน้องเอื้อมพรวิ่งเข้ามา โตมรเลยตัดสินใจถอยเพราะคนของตนน้อยกว่า
“ได้...วันนี้แค่เริ่มต้น แล้วเจอกัน ไอ้หมู่รงค์ ไอ้จรจัด...คุณเอื้อมพร”
โตมรเสียหน้าล่าถอยไป ส่วนพายุบอกลาเอื้อมพรแล้วขึ้นรถไปกับหมู่รงค์เพื่อนรัก
ooooooo
เวลาเดียวกันนั้นวิวัฒน์กับมาศจันทร์กำลังจะกลับออกจากจวนผู้ว่าฯ หลังจากสองพ่อลูกแวะมาเยี่ยมเยียนท่านสักพักแล้ว
“ยังไงก็ต้องรบกวนท่านผู้ว่าด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว การมีเหมืองทองเท่ากับว่าคุณได้มาสร้างงานสร้างเศรษฐกิจให้ที่นี่ ย่อมมีแต่ผลดีต่อทุกคน”
“แต่ยังไงดิฉันก็ยังไม่ค่อยไว้ใจ เห็นว่ามีผู้มีอิทธิพลจ้องจะฮุบเหมืองของเรา”
“หนูไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เรากำลังดำเนินการกำจัดพวกอิทธิพลพวกนี้อยู่”
“ได้ยินแบบนี้ก็เบาใจค่ะ”
“แหม...คุณวิวัฒน์นี่มีลูกใช้ได้เลย”
“มาศจันทร์เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เห็นอะไรผิดเป็นต้องสู้หัวชนฝา”
“อ้อ...แต่ยังไงก็ระวังเรื่องสารปนเปื้อนหน่อยก็แล้วกันนะ ตอนนี้เขากำลังคุมเข้ม อย่าให้มีการปล่อยสารปนเปื้อนลงในแม่น้ำลำคลองล่ะ อันนี้ผมคงช่วยอะไรไม่ได้”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะท่าน เราระมัดระวังเต็มที่อยู่แล้วค่ะ”
มาศจันทร์ให้ความมั่นใจแล้วเดินเคียงพ่อไปขึ้นรถที่ยุทธรอทำหน้าที่คนขับอยู่ เมื่อรถเคลื่อนออกไป
จ่านนท์กับเปียซึ่งซุ่มจับตามองอยู่อีกฝั่งถนนก็รีบติดตาม หมายปิดจ๊อบให้นายมงคลที่ต้องการสังหารสองพ่อลูก
ooooooo
พายุนั่งรถมากับหมู่รงค์...แค่วันแรกที่มาปากน้ำโพ พายุก็ได้รับการต้อนรับไม่ดีนัก หมู่รงค์จึงนำปืนกระบอกหนึ่งให้เพื่อนเก็บไว้ป้องกันตัว แต่พายุปฏิเสธเพราะไม่อยากมีปัญหา
หมู่รงค์คะยั้นคะยอบอกว่าไม่พกนั่นแหละปัญหา ปัญหาใหญ่เสียด้วย เมื่อสักครู่ถ้าตนไปไม่ทันเขาจะเป็นยังไง อยู่ที่นี่ต้องมีเขี้ยวเล็บไว้กันหมาบ้าง
หมู่รงค์ยัดเยียดปืนให้พายุจนได้ พายุหยิบจับมันอย่างคล่องแคล่วแต่เปรยว่า
“หวังว่าคงไม่ต้องใช้มันนะ”
หมู่รงค์หัวเราะในลำคอท่าทางไม่เชื่อ แล้วเปลี่ยนเรื่องถามพายุว่าไปที่นั่นทำไม หรือว่าไปสมัครงาน
“เปล่า ที่นั่นไม่รับคนคุกหรอก ฉันแค่ไปหาญาติ”
“ไม่เคยเห็นแกบอกเลยว่าแกมีญาติที่นั่น”
“แค่ญาติห่างๆน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่คนที่มาหาเรื่องฉันเป็นใคร”
“มันชื่อไอ้โตมร ลูกชายคนเดียวของนายมงคล นายกเทศมนตรีเมืองนี้”
“มิน่าล่ะ กร่างจัง”
“มันมีมากกว่านั้นอีก”
พายุสีหน้าสงสัย หมู่รงค์เลยขยายความอย่างออกรส...
บนถนนอีกเส้นไม่ไกลกัน วิวัฒน์กับมาศจันทร์กำลังจะกลับบ้านที่เหมืองทอง พอยุทธเลี้ยวรถไปทางแยกข้างหน้าที่เป็นทางเปลี่ยว ฉับพลันก็มีห่ากระสุนพุ่งออกจากสองข้างทางเสียงดังสนั่น
“ระวังครับท่าน” ยุทธเตือนนายแล้วหยิบปืนส่งให้
“ใครกันเนี่ย ลูกจันทร์ หลบดีๆนะลูก”
วิวัฒน์เตือนลูกสาวแล้วสาดกระสุนตอบโต้หมาลอบกัด...จ่านนท์และสมุนพรางใบหน้า เสียงจ่านนท์สั่งเฉียบว่า
“ฉันไม่ต้องการพยาน เพราะฉะนั้น อย่าให้รอด!”
เสียงปืนดังชุดใหญ่ได้ยินถึงหูหมู่รงค์กับพายุ แต่หมู่รงค์เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่ จึงบอกพายุว่าอย่าไปสนใจเลย...
พวกจ่านนท์ไล่บี้สองพ่อลูกอย่างเอาเป็นเอาตาย ยุทธเห็นจวนตัวจึงบอกให้เจ้านายหนีไปก่อน แต่ท่าทางไม่รอดแน่เพราะอีกฝ่ายรุกคืบใกล้เข้ามา
ทันใดนั้นเอง หมู่รงค์ขับรถพุ่งเข้ามา พายุใช้ปืนสองมือยิงต่อสู้กับกลุ่มคนร้าย จ่านนท์เห็นพายุแล้วจำได้ สั่งสมุนยิงตอบโต้ไม่ต้องยั้ง
พายุเปิดทางให้หมู่รงค์วิ่งไปช่วยวิวัฒน์กับมาศจันทร์ ยุทธช่วยสกัดอีกแรง แต่แล้วพายุถูกจ่านนท์ยิงเลือดสาด ก่อนที่หมู่รงค์จะเร่งทุกคนขึ้นรถแล้วเปิดท้ายเอาปืนกลยิงใส่คนร้ายอย่างบ้าระห่ำ
ที่สุดพวกจ่านนท์ต้านไม่ไหวจึงต้องถอนตัว พวกวิวัฒน์ปลอดภัย มาศจันทร์เห็นหน้าพายุชัดๆก็จำได้ เธอเร่งรีบพาเขาส่งโรงพยาบาลด้วยความเป็นห่วง
ooooooo
ที่หน้าห้องฉุกเฉิน...หมู่รงค์นั่งรอฟังอาการของพายุ ส่วนมาศจันทร์เจ็บข้อเท้าได้รับการดูแลจากพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
เมื่อรู้จากลูกสาวว่าคนเจ็บคือพลเมืองดีที่เคยช่วยเธอไว้ครั้งหนึ่งตอนถูกโจรปล้น แล้วมาครั้งนี้อีก วิวัฒน์รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ ขณะที่หมู่รงค์ได้ยินก็บอกว่าดวงมาศจันทร์กับพายุคงสมพงศ์กัน
“เขาชื่อพายุเหรอ”
“ครับ เคยเป็นทหารรุ่นเดียวกับผม แต่ออกไปแล้ว พายุเขาเพิ่งมาที่นี่ ตั้งใจมาหางานทำน่ะครับ”
“อ้าว...ยังไม่มีงานทำเหรอ”
“ครับ เขาคิดจะมาตั้งหลักแหล่งที่นี่”
มาศจันทร์ได้ยินอย่างนั้นก็ขอร้องวิวัฒน์ให้พายุทำงานกับเราได้ไหม ตอบแทนที่เขาเสี่ยงชีวิตช่วยเรา
“พ่อน่ะไม่ขัดหรอก แต่คงต้องถามความสมัครใจเขาดู”
หมอกับพยาบาลออกมาจากห้อง ทุกคนเบนความสนใจไปถามอาการของพายุ
“คนเจ็บปลอดภัยแล้วครับ แต่ตอนนี้ยังไม่ฟื้น หมอผ่าตัดกระสุนออกให้เรียบร้อยแล้ว”
ทุกคนโล่งอก พอหมอถามว่าใครเป็นญาติคนเจ็บ หมู่รงค์บอกตนเป็นเพื่อน ส่วนมาศจันทร์เสนอตัวรับผิดชอบค่ารักษาทั้งหมด วิวัฒน์พยักหน้าเห็นด้วย แต่แล้วเสียงใครคนหนึ่งดังเข้ามาจนทุกคนต้องหันไปมอง
“ขอบคุณนะคะ แต่ไม่ต้องหรอกค่ะ”
เอื้อมพรนั่นเอง เธอมาพร้อมชัย แจ้งหมอว่าเธอเป็นญาติของพายุ แล้วหันมาบอกกลุ่มคนตรงหน้าว่า
“ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ฉันจะรับช่วงต่อเอง”
มาศจันทร์นิ่งเงียบ แววตาที่เอื้อมพรมองมาดูไม่เป็นมิตร ยุทธเห็นว่าพลเมืองดีปลอดภัยแล้วจึงเข้ามาเตือนเจ้านายว่าเราควรไปแจ้งความที่โรงพักไว้ก่อน
มาศจันทร์จะผละไปพร้อมพ่อแต่ยังไม่วายมองในห้องด้วยความเป็นห่วง เอื้อมพรสังเกตแววตาของเธอแล้วสังหรณ์ใจว่าสาวสวยคนนี้ท่าทางจะชอบพายุ
ooooooo
จ่านนท์เครียดที่ทำงานพลาด เขากำลังรายงานโตมรอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง
โตมรได้ยินชื่อพายุก็ชะงัก เพราะก่อนหน้านี้ได้ยินเอื้อมพรเรียก โตมรบรรยายรูปร่างลักษณะของพายุแล้วถามจ่านนท์ว่ามันเพิ่งมาเมืองนี้ใช่ไหม
“ใช่...คุณโตมรรู้ได้ยังไง”
โตมรไม่บอกว่าเคยปะทะฝีมือกันแล้วแต่ตนสู้ไม่ได้ เขาโกหกว่าเคยเดินสวนกัน ถามว่ามันเป็นใคร?
“มันเคยเป็นทหาร ผมเคยฝึกรบพิเศษกับมัน มันติดคุกคดีปล้นรถขนเงิน คงเพิ่งพ้นโทษมา”
“ท่าทางฝีมือมันคงไม่ใช่ย่อยสินะ จ่าถึงเอามันไม่ลง”
จ่านนท์แววตาเข้มรู้อยู่แก่ใจแต่ปากแข็ง “เจอกันคราวหน้า มันคงไม่แค่ถูกยิงนัดเดียวหรอก”
“ดี ฉันตั้งค่าหัวมันห้าแสน จ่าตัดหัวมันมา แล้วมารับเงินไป”
“แค้นมันขนาดนี้เลยหรือ”
“ฉันมีหน้าที่จ่ายเงิน ไม่ได้มีหน้าที่มาตอบคำถามแก และแกก็ควรจะทำหน้าที่ของแกให้เสร็จโดยเร็วด้วย”
โตมรอวดเบ่งแล้วเดินวางมาดออกไป...ไอ้เปียอยากรู้ว่าจ่านนท์จะเอายังไงต่อ
“นิ่งไว้สักพัก พวกมันไม่มีใครเห็นหน้าเรา ส่วนเรื่องตำรวจ ท่านมงคลคงจัดการให้แล้ว”
เป็นอย่างที่จ่านนท์คาดไว้จริงๆ เมื่อวิวัฒน์กับมาศจันทร์ไปแจ้งความก็ได้รับการต้อนรับจากร้อยเวรไม่ดีนัก
“ผมจะรับแจ้งความได้ยังไง ในเมื่อไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย ทำได้ก็แค่ลงบันทึกประจำวันเอาไว้ก่อน เดี๋ยวตรวจที่เกิดเหตุหาพยานหลักฐานได้แล้วค่อยว่ากันใหม่”
“อะไรกัน ยิงกันปลอกกระสุนเป็นกองๆ คุณแค่ลงบันทึกประจำวันเองหรือ”
“แล้วคุณจะให้ผมไปจับใคร หน้าตาคนร้ายเป็นยังไงก็ไม่รู้”
“ก็มันคลุมใบหน้ากันหมดทุกคนนี่ คนของฉันก็ถูกยิงด้วย”
“งั้นใครที่คลุมใบหน้า ผมจับหมดเลยไหม”
ร้อยเวรยียวน แต่อึดใจต่อมาก็หน้าสลดจ๋อยสนิท เมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“ผมจะคลุมหน้าคุณแล้วจับคุณคนแรกเลยหมวด”
กอบคุณนั่นเอง เขาเดินเข้ามาในชุดตำรวจยศพันตรี
“ก็พวกคุณทำงานกันแบบนี้ แล้วประชาชนจะไปพึ่งใครได้”
ร้อยเวรโดนตำหนิจนอึกอักอ้ำอึ้ง
“ผมมารับตำแหน่งสารวัตรสอบสวน ห้องทำงานผมอยู่ไหน”
“ด้านในครับ เดี๋ยวผมพาไปครับ” ร้อยเวรกลัวและนอบน้อม
กอบคุณส่งยิ้มให้สองพ่อลูกก่อนเชิญเข้าไป
คุยกันในห้องทำงาน...หลังจากสนทนากันผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว กอบคุณสรุปความว่า
“แสดงว่าคนร้ายต้องการจะเก็บพวกคุณทุกคน ไม่ทราบว่าคุณอามีเรื่องบาดหมางกับใครที่นี่หรือเปล่าครับ”
วิวัฒน์ยืนยันแข็งขันว่าตนไม่เคยมีเรื่องกับใคร ส่วนมาศจันทร์ตั้งข้อสงสัยว่า
“แล้วสารวัตรคิดว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องเหมืองทองของเราหรือเปล่าคะ”
“เหมืองทองเหรอ”
“ผมก็ไม่อยากปรักปรำใคร แต่ว่าท่านนายกเทศมนตรีที่นี่อยากได้สัมปทานเหมืองของผม”
“ก็เป็นไปได้ ผมเพิ่งมาใหม่ เอาเป็นว่าผมจะค่อยๆสืบดูนะครับ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมไม่เอาไว้แน่ ไม่ต้องห่วงครับ”
สองพ่อลูกเบาใจ กล่าวขอบคุณสารวัตร
“เรียกผมว่ากอบคุณดีกว่าครับ แล้วคนที่ช่วยคุณไว้ล่ะครับ ผมอยากสอบปากคำเขาหน่อย”
มาศจันทร์นึกถึงพายุ รู้สึกเป็นห่วงเขาอย่างบอกไม่ถูก
ooooooo
เมื่อกอบคุณมาสอบปากคำพายุที่โรงพยาบาลโดยมีมาศจันทร์ติดตามมาเยี่ยมเขาด้วย กลายเป็นกอบคุณกับพายุรู้จักกันมาก่อนในฐานะกอบคุณพยานปากสำคัญและเป็นผู้ทำสำนวนคดีที่พายุปล้นเงิน
เมื่อห้าปีก่อนสองหนุ่มคุยกันในห้องเป็นการส่วนตัว ส่วนมาศจันทร์รออยู่ด้านนอกกับเอื้อมพรที่มาดูแลพายุอย่างใกล้ชิด สองสาวท่าทางเขม่นกันไม่น้อย โดยเฉพาะ
เอื้อมพรที่หลงรักพายุมานาน เธอไม่ต้องการเห็นหญิงอื่นมาเกาะแกะเขา จึงพยายามกีดกันมาศจันทร์ด้วยการแสดงตัวราวกับเป็นแฟน
ย้อนไปเมื่อพายุถูกยัดข้อหาปล้นธนาคารแล้วศาลตัดสินจำคุก เปียวกับอ๊อดลูกทีมของจ่านนท์ก็โดนด้วยเหมือนกัน แต่ยังไม่พ้นโทษ สองคนกำลังรอความหวังจากเปียที่ตอนนี้อยู่กับจ่านนท์มาช่วยเหลือ
เปียเป็นพี่ชายของเปียว เขามาเยี่ยมน้องชายและพยายามกล่อมให้บอกที่ซ่อนเงินจากการปล้นครั้งนั้น แต่เปียวไม่หลงกล เพราะเชื่อว่าถ้าบอกไปตนกับอ๊อดคงไม่มีวันออกจากคุก โดนจ่านนท์ลอยแพแน่นอน
ภูผาติดคุกในฐานะฆ่าคนตายเพื่อปกป้องกำนันไผ่พ่อของตัวเอง เขาสู้คดีแต่แพ้จึงติดคุกเกือบห้าปี ในขณะที่อยู่ในคุกเขาพยายามทำดีและทำงานลดโทษ วันหนึ่งขณะที่ภูผาออกไปทำงานลอกท่อ เขาพบเงินดอลลาร์มากมายซุกซ่อนเอาไว้โดยบังเอิญ หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันเมื่อเขาพ้นโทษจึงได้กลับมาเอาเงินจำนวนนั้นไป
หมู่รงค์ระแคะระคายว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับวิวัฒน์และมาศจันทร์แล้วตนกับพายุเข้าไปช่วยเหลือเมื่อวันก่อนเป็นฝีมือจ่านนท์โดยมีนายมงคลคือผู้บงการ เวลาเดียวกันนั้นมงคลได้รับรายงานจากตำรวจที่โรงพักว่ามีสารวัตรคนใหม่เพิ่งย้ายมาชื่อกอบคุณ เขารับแจ้งความคดียิงนายวิวัฒน์
พอโตมรรู้เรื่องนี้จากพ่อก็วางท่ากร่าง พูดโดยปราศจากความวิตกกังวลว่า
“ท่าทางมันคงจะไม่รู้ว่าที่นี่ใครเป็นใคร ฉันควรไปบอกให้มันรู้ไหมพ่อ”
“ก็ดีเหมือนกัน ลองเจรจากับมันดู พ่อว่าไม่น่าจะยาก ตำรวจพวกนี้เอาเงินฟาดหัวไปก็ขี้คร้านจะก้มหัวให้เรา...ข่าวว่าไอ้คนที่มาช่วยวิวัฒน์กับลูกมันน่ะ ถูกยิงอยู่ที่โรงพยาบาลใช่ไหม”
โตมรนึกถึงพายุแล้วแค้นลึกๆ “ใช่พ่อ แต่มันบาดเจ็บนิดหน่อย เห็นจ่านนท์บอกว่ามันชื่อพายุ ท่าทางฝีมือดี”
“อืม...ไม่เลว ถ้าเขาอยากทำงานกับเรา พ่อก็รับนะ”
“จะดีหรือพ่อ”
“ทำไม? แกไม่อยากได้คนฝีมือดีๆมาเสริมบารมีหรือไง”
โตมรไม่พอใจแต่ต้องจำยอม รับปากพ่อว่าพรุ่งนี้จะไปจัดการให้ทั้งสองเรื่อง
ooooooo
หลังจากเมื่อวานตอนเย็นกอบคุณมาสอบปากคำ...เช้านี้พายุก็เอาแต่นอนคิดไปมาว่าทำไมโลกถึงกลมนัก และสงสัยว่าวันนั้นทำไมกอบคุณถึงเป็นพยานปรักปรำตน
เสียงเคาะประตูห้องทำให้พายุหยุดคิด หมู่รงค์เดินยิ้มแย้มเข้ามาทักเพื่อนรักว่าเป็นยังไงบ้าง
“เบื่อ...อยากออกไปแล้ว”
“อยู่แบบนี้ก็สบายดีออก...บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ”
พายุส่ายหน้าแล้วถามว่า “พอจะรู้หรือยังว่าใคร”
“ก็พอจะเดาได้ คนของฉันบอกว่าอาจจะเป็นฝีมือของจ่านนท์ ตอนนี้เปิดซุ้มมือปืนใหญ่โตเลย”
พายุรับรู้แล้วนึกถึงมาศจันทร์ “แล้วคนที่ฉันช่วยล่ะ”
“นายวิวัฒน์กับลูกสาวชื่อมาศจันทร์ เป็นเจ้าของสัมปทานเหมืองทอง ท่าทางจะขัดผลประโยชน์กันมั้ง”
“มันก็เรื่องของเขา”
“แต่แกก็ควรระวังตัวไว้บ้างนะ ถ้าเป็นพวกของจ่านนท์จริงๆ ฉันว่าจ่าคงไม่เอาแกไว้หรอก ก็รู้ๆนิสัยกันอยู่”
พายุพยักหน้าเข้าใจ...
ส่วนที่สำนักงานคุมประพฤติ สายวันเดียวกันนี้ภูผาที่เพิ่งออกจากคุกมาหมาดๆได้มารายงานตัวต่อวีนัส
การพบกันครั้งแรกระหว่างเขาและเธอมีเหตุให้พูดจายียวนกันไปมา แต่ลึกๆแล้วภูผาแอบพอใจในรูปร่างหน้าตาและนิสัยลุยๆห้าวๆของเธอ ขณะที่ภูผาเองก็กวนไม่ใช่น้อย ทำให้วีนัสหมั่นไส้แกล้งให้เขานั่งรอนานหลายชั่วโมง อ้างว่าตัวเองติดประชุม พอออกมาเจอกันที่ลานจอดรถ สองคนก็ปะทะคารมกันอีกก่อนจะแยกย้าย
ด้านโตมรที่รับปากพ่อไว้ดิบดี เขาพาลูกน้องมาดักยิงถล่มกอบคุณเป็นการข่มขู่ เสร็จแล้วเป้าหมายต่อไปคือพายุที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แต่มาศจันทร์กับยุทธมาถึงก่อน หญิงสาวมาพร้อมของเยี่ยมและอาสาพาเขาออกไปสูดอากาศภายนอกบริเวณสวนของโรงพยาบาล
หลังจากถูกลอบยิง กอบคุณเข้ามาที่โรงพัก ปรากฏว่ามงคลมารออยู่ มงคลแนะนำตัวว่าตนเป็นนายกเทศมนตรีที่นี่ กอบคุณระวังตัวแต่ตอบกลับด้วยไมตรี
“สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ”
“ตอนนี้ยังหรอก แต่ต่อไปไม่แน่ บางทีเราคงจะได้ร่วมงานกัน”
“ถ้าเป็นงานเพื่อชุมชน และด้านกฎหมายผมยินดีครับ”
มงคลยิ้มแววตาซ่อนร้าย แล้วหยิบกล่องกระดาษลายสวยวางบนโต๊ะบอกให้อีกฝ่ายเปิดดู
เมื่อกอบคุณเห็นเป็นเงินปึกใหญ่ก็ชักสีหน้าเล็กน้อย ปฏิเสธว่าตนรับไม่ได้ ให้เขาเอาเงินกลับไป
“เอาน่า ถือว่าเป็นเงินขวัญถุงต้อนรับการมาประจำตำแหน่งที่นี่นะ”
“ผมรับไม่ได้จริงๆครับ”
สองคนจ้องหน้ากัน สักพักมงคลก็ยิ้มแล้วกลบเกลื่อน
“ก็นั่นสินะ ข้าราชการรับของขวัญได้ไม่เกิน 3 พันบาท เอ้า ไม่เป็นไร” มงคลเก็บเงินกลับแล้วพูดทิ้งท้ายก่อนเดินออกไป “หวังว่าเมื่อเช้าคนของผมคงต้อนรับคุณไม่ขาดตกบกพร่องนะ”
กอบคุณชะงัก รู้ทันทีว่ามงคลนี่เองที่ลอบยิงเขา
ooooooo
ที่สวนหย่อมข้างโรงพยาบาล มาศจันทร์เข็นรถให้พายุนั่งพลางชวนคุยสัพเพเหระก่อนจะวกมาเรื่องส่วนตัวของเขาที่เธอค้างคาใจหลังจากได้คุยกับเอื้อมพรเมื่อวาน
“คุณไม่มีบ้าน แต่ทำไมคุณมีญาติอยู่ที่นี่ล่ะ”
“อ๋อ...เอื้อมพรน่ะหรือครับ เขามีศักดิ์เป็นน้องสาวผม แม่ของเขามาแต่งงงานกับพ่อผม พ่อใหญ่น่ะครับ”
“พ่อใหญ่คืออะไรคะ พ่อที่นับถือหรือคะ”
“ประมาณนั้นน่ะครับ เขาเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก”
“แล้วตกลงจะมาทำงานกับเราไหม”
“ถ้าคุณพ่อคุณกับคุณเมตตาผมขนาดนั้น ผมคงไม่ปฏิเสธหรอกครับ”
มาศจันทร์สีหน้าพอใจแล้วเข็นรถผ่านไปโดยทั้งคู่ไม่เห็นไอ้เปียลูกน้องจ่านนท์ลอบมองอยู่
ใกล้จะเข้าภายในตึกอยู่แล้ว เอื้อมพรที่ตั้งใจมาเยี่ยมพายุเห็นเข้า เธอชักสีหน้าไม่พอใจมาศจันทร์และทำท่าจะเข้าไปแทรก แต่โตมรจู่โจมมาดึงแขนเธอไว้
“ขัดความสุขคนน่ะไม่ดีนะ”
เอื้อมพรเห็นหน้าจอมกร่างลูกชายนายกเทศมนตรีก็แทบกรี๊ด กระชากเสียงใส่ว่ามีอะไรก็ว่ามา
“ไม่มีอะไรหรอก แค่มีไมตรีมาให้”
“ฉันคงรับไมตรีกับโจรไม่ได้หรอก”
โตมรโกรธแต่เก็บอารมณ์ “นี่เราจะพูดดีๆกันไม่ได้หรือไง”
“คงไม่ได้หรอก เสียใจนะ ฉันขอตัว”
เอื้อมพรเดินจากไป โตมรมองตามสีหน้าอาฆาต สบถว่าคนอย่างตนอยากได้อะไรก็ต้องได้...แล้วอีกพัก หลังจากปลอดคนแล้ว โตมรก็ดอดเข้าไปในห้องพัก
ของพายุ แจ้งว่าตนมาดี แค่อยากเจรจาอะไรบางอย่าง พายุระวังตัวแจบอกให้เขารีบพูดมา
“ดูจากฝีมือแกแล้ว ฉันรู้สึกพอใจ พ่อฉันจึงอยากได้แกมาทำงานด้วย แกจะว่ายังไง”
พายุตอบแบบไม่ลังเลว่าตนเพิ่งได้งานทำ
เมื่อสักครู่นี้เอง เสียใจด้วยที่เขามาช้าไป โตมรเดาว่าคงเป็นงานที่เหมืองทอง
“จมูกดีนี่...ฉันชอบทำงานเหมืองดีกว่าจะไปเที่ยวไล่เห่าไล่กัดใคร”
โตมรโกรธเลือดขึ้นหน้า ลูกน้องชักปืนทันที จังหวะนี้หมู่รงค์ส่งเสียงเข้ามา พายุเลยถามเพื่อนว่ามีอะไรเด็ดๆให้ควักมา ปรากฏว่าหมู่รงค์โชว์ระเบิดสองลูก โตมรกับลูกน้องถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวคอ
“ก็ได้...ฉันถือว่าแกเลือกข้างแล้ว วันนี้ฉันจะปล่อยแกไปก่อน” โตมรทิ้งท้ายแล้วกลับไปพร้อมลูกน้อง
หมู่รงค์ทำสีหน้างุนงงว่าใครปล่อยใครกันแน่ แล้วพูดกับพายุว่า “สงสัยแกคงต้องออกก่อนกำหนดแล้วมั้ง”
ooooooo
บ่ายวันเดียวกัน รถคันเก่าของภูผาวิ่งมาตามถนน สายเอเชีย จุดหมายปลายทางคือปากน้ำโพจังหวัดนครสวรรค์ ตามที่เพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของอู่รถแนะนำให้เอาเงินไปฟอก
ระหว่างทางไม่นึกว่าภูผาจะได้พบวีนัสโดยบังเอิญ หญิงสาวยืนโบกรถขอความช่วยเหลืออยู่พักใหญ่แต่
ไม่มีใครจอดสักคัน กระทั่งภูผาชะลอรถเข้ามา เธอดีใจมาก
รีบวิ่งไปขอร้องโดยไม่ได้มองหน้า
“ช่วยหน่อยเถอะค่ะ รถฉันเสีย แหมคุณใจดีจังเลย ฉันโบกเป็นสิบคันแล้วไม่มีใครจอดช่วยเลย”
ภูผาอมยิ้มก้าวลงจากรถด้วยท่าทางทะเล้น ย้ำคำพูดเดิมว่า “บอกแล้วไงว่าผมเป็นคนดี”
วีนัสตกใจอุทานชื่อภูผาออกมา เขาเลยยิ้มแป้นแซวว่าจำแม่นจัง...วีนัสหน้าง้ำเดินกลับมาที่รถของตน ภูผาเดินตามท่าทางยียวน ถามว่าตกลงจะให้ตนช่วยหรือไม่
“อ้าว...ไม่ช่วยแล้วนายจอดทำไม”
“ก็แค่อยากจะช่วย...แต่ผมซ่อมรถเป็นที่ไหน เคยแต่ขโมยรถ”
หญิงสาวเซ็ง บ่นเบาๆ “นึกแล้ว...โจรดีๆนี่เอง”
“ได้ยินนะ”
“ก็ฉันตั้งใจให้ได้ยิน...นี่ไม่ช่วยก็หลีกไป ฉันโบกคันอื่นก็ได้ ฉันยิ่งรีบอยู่”
“ถ้ามีคนคิดจะช่วยเขาก็จอดตั้งนานแล้ว ผมว่าถ้าคุณรีบนะ คุณอาศัยรถผมไปหาอู่แถวนี้ให้เขามาลากไปดีกว่า จากนั้นคุณก็รีบไปทำธุระอันรีบเร่งของคุณ”
“จริงด้วย” วีนัสใจเย็นลง เมื่อเขาถามว่ากำลังจะไปไหน เธอบอกว่าต้องไปสัมมนาที่ปากน้ำโพ
“แหม...ช่างเหมาะจริงๆ ผมจะไปที่นั่นพอดี ถ้าไม่รังเกียจผมจะยอมสละเวลาไปส่งให้ก่อนดีไหม”
“ดี...ที่นั่นน่าจะมีอู่ ฉันจะได้ให้เขามาลากรถไปทีเดียวเลย”
“เดี๋ยว คิดว่าผมจะทำให้ฟรีๆหรือไง”
วีนัสทำหน้าสงสัยบวกเซ็ง แต่ยามนี้ยังไงก็ต้อง
พึ่งเขา...ผ่านไปเกือบชั่วโมง ภูผาขับรถมาจอดส่งวีนัสที่หน้าเทศบาล เธอขอบใจเขาแล้วจะก้าวลงจากรถ แต่สายตาเหลือบเห็นกระเป๋าใบใหญ่ด้านหลัง ถามด้วยความสงสัยว่า
“กระเป๋าอะไรน่ะ เสื้อผ้าเหรอ”
“แค่ของใช้”
“นี่...ถ้านายช่วยติดต่อช่างไปลากรถมาซ่อมให้ด้วยฉันจะขอบคุณมากเลย”
“ถ้าเลี้ยงข้าวกับเลี้ยงหนังเพิ่มสักรอบก็ตกลง”
“นายนี่มันเห็นแก่สินบนจริงๆ...ก็ได้ ฉันไปล่ะ สายแล้ว”
เธอลงจากรถเดินดุ่มจากไป ภูผามองตามยิ้มๆ แต่ไม่วายบ่นก่อนออกรถว่าตนมาเป็นทาสนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แฟนก็ไม่ใช่สักหน่อย
ooooooo
หลังจากโตมรมาวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่พายุถึงโรงพยาบาล หมู่รงค์ตัดสินใจพาพายุเข้ามาอยู่ในบ้านพักทหาร เพื่อความปลอดภัย
“อยู่ที่นี่ปลอดภัยกว่า พวกมันไม่กล้าเข้ามาหรอก”
พายุมองรอบบ้านที่รกรุงรังแล้วเย้าหมู่รงค์ว่าทำไมไม่หาแม่บ้านสักคน
“ทุกวันนี้เจ้านายเยอะอยู่แล้ว ยังจะหามาให้หนักกบาลอีกหรือวะ” พูดแล้วหมู่รงค์หัวเราะ
พายุเดินเข้าไปดูรูปตอนฝึกทหารกับหมู่รงค์และเพื่อนคนอื่นๆ ในนั้นมีจ่านนท์ครูฝึกรวมอยู่ด้วย
“วันเวลามันผ่านไปเร็วเหลือเกิน”
“สายน้ำไม่เคยไหลกลับ เวลาผ่านไปแล้วก็ผ่านเลยไป มันเหลือความทรงจำดีๆก็พอแล้ว...ตอนนี้ฉันว่าแกไปอาบน้ำอาบท่าก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะได้ออกไปหาอะไรกินกัน”
พายุพยักหน้ารับแต่ยังไม่ขยับไปไหน ยืนมองภาพถ่ายเมื่อครั้งยังเป็นทหารแล้วหยุดที่จ่านนท์อย่างครุ่นคิดใคร่ครวญ
ooooooo