นับตั้งแต่ รัฐบาลเพื่อไทย ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น วันละ 300 บาททั่วประเทศ จากค่าแรงเฉลี่ยวันละ 177 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 จนถึงวันนี้ 4 ปีกับ 4 วันแล้ว ยังไม่มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีกเลย แต่ในสัปดาห์ที่สองของเดือนนี้ กระทรวงแรงงาน จะมีการประชุม พิจารณาขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นครั้งแรก ซึ่ง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีแรงงานคนใหม่ ยืนยันว่าประกาศใช้ทันในเดือนมกราคมนี้แน่นอน

เป็นอันว่า เดือนมกราคมจะมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 300 บาท แต่จะขึ้นไปเท่าไหร่ก็ต้องรอดูกันต่อไป

ก่อนหน้านี้ ฝ่ายแรงงาน ขอให้รัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น วันละ 360 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับ นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่แรงงาน ทำให้ลูกจ้างมีความเสี่ยงสูง แต่ คุณเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมฯ เห็นว่า ถ้าปรับขึ้นไม่มากเอกชนคงรับได้ เพราะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น แต่ถ้าปรับขึ้นเท่ากัน ทั้งประเทศวันละ 360 บาท ไม่น่าจะเป็นไปได้ กลุ่มที่จะกระทบมาก คือ เอสเอ็มอี

การขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำ สำหรับ แรงงานไร้ฝีมือ ถือเป็นปัญหาโลกแตกของทุกประเทศ แม้แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะมีผลกระทบต่อต้นทุนกำไร ทำให้มีการใช้หุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทนที่แรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ

ปลายปีที่ผ่านมา นายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ก็เรียกร้องให้บริษัทในญี่ปุ่นขึ้นค่าจ้างอีก 3% หรือมากกว่านั้น ในฤดูใบไม้ผลิเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมนี้ เพื่อช่วยรัฐบาลแก้ปัญหา “เงินฝืด” ที่เป็นกับดักเศรษฐกิจญี่ปุ่นมานานถึง 15 ปีแล้ว เพื่อผลักดัน “เงินเฝ้อ” ให้ขึ้นไปถึง 2% ตามที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายไว้

เหตุผลที่ นายอาเบะ ออกมาเรียกร้องให้บริษัทญี่ปุ่นขึ้นเงินเดือนมากขึ้น เพราะ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของ นายอาเบะ ที่อัดฉีดเงินมหาศาลทุกเดือนมาหลายปี ทำให้ราคาหุ้นพุ่ง ค่าเงินเยนอ่อน บริษัทเอกชนมีกำไรมหาศาล แต่บริษัทห้างร้านญี่ปุ่น กลับไม่ยอมขึ้นค่าจ้างไม่ยอมขึ้นราคาสินค้า ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่ฟื้นเสียที

...

การขึ้นค่าจ้างของญี่ปุ่น กับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของไทย จึงแตกต่างกันสิ้นเชิง

ผมเห็นด้วยว่า ถึงเวลาขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้แล้ว เพราะอยู่ที่ 300 บาทต่อวัน มานานกว่า 4 ปีแล้ว ค่าครองชีพต่างๆ ก็ขึ้นไปมากแล้ว แต่ควรขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น ปีละ 5% อย่างที่มีการเสนอไม่ใช่ขึ้นไปพรวดเดียว 20% เพราะวันนี้แรงงานทุกคนได้รับสวัสดิการรัฐจาก “บัตรคนจน” หรือ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง รวมเดือนละ 1,845 บาท ถ้าบวกค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ก็จะมีรายได้เดือนละ 9,645 บาท

วันนี้ ผมมีข้อเสนอเพิ่มเติม ไปถึง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีแรงงาน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้แรงงานมีการ “พัฒนาทักษะ” และ “เพิ่มรายได้” มากกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แค่ กระทรวงแรงงาน ร่วมมือกับ กระทรวงศึกษา ก็ทำได้ทันที

ยกตัวอย่างเช่น การเรียนภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น จีน ซึ่งเป็นภาษาของผู้ลงทุนหลักในไทย โดยให้ กระทรวงแรงงาน กำหนดหลักเกณฑ์ว่า แรงงานที่สามารถพูดภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น จีน โดยมี ประกาศนียบัตรรับรอง จาก กระทรวงแรงงาน หรือ กระทรวงศึกษา ก็ได้ จะได้รับค่าจ้างเพิ่มทันที จะเพิ่มกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันไป วิธีการนี้ จะช่วยให้แรงงานมีการพัฒนาทักษะตัวเองทางอ้อม และ มีรายได้เพิ่มขึ้นทันทีที่พัฒนาตัวเอง

การเรียนภาษาต่างๆ ก็อย่าไปทำให้ยุ่งยากแบบราชการ แค่ให้โรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษา เปิดสอนภาษาที่กำหนดในช่วงเย็น โดย สอนผ่านระบบวีดิโอเหมือนโรงเรียนกวดวิชา ใครจะเรียนก็ได้ เรียนฟรีทุกภาษา เรียนจบแล้วก็ไปสอบข้อสอบกลาง ถ้าสอบผ่านก็ได้รับประกาศนียบัตร นำประกาศนียบัตรไปแสดงต่อนายจ้าง ได้ขึ้นค่าจ้างหรือเงินเดือนทันที นายจ้างเองก็อยากได้แรงงานที่มีทักษะอยู่แล้ว วินวินด้วยกันทุกฝ่าย ไม่เชื่อ นายกฯตู่ ลองไปทำดูสักปี ผมรับรองการันตีว่าดีแน่นอน.

“ลม เปลี่ยนทิศ”