วัด-คน-พระ อย่าทำให้สังคมเสื่อมทรุด

ใครจะเชื่อล่ะครับ...องค์กรของรัฐที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการของสงฆ์อย่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือที่เรียกย่อๆว่า สำนักพุทธฯ จะเกิดปัญหาทุจริต “เงินทอนวัด”

เพราะหน่วยนี้น่าที่จะปลอดโปร่งที่สุดในหน่วยงานของภาครัฐที่มีความน่าเชื่อถือที่สุด เพราะเป็นการทำงานที่ผูกพันคำสอนความเชื่อทางพุทธศาสนา

แต่ที่ไหนได้แสบอย่างไม่น่าเชื่อ...

ว่ากันว่าก่อนหน้านี้ไม่มีใครมองเห็น หรือแม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าคิด เพราะไม่เชื่อว่าจะทำกันไปได้อย่างไร

หลอกลวงพระ ต้มพระ เอาประโยชน์จากพระด้วยวิธีการที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้เมื่อเอางบประมาณหลวงที่จัดให้วัดต่างๆ เพื่ออุดหนุนการดำเนินการของวัด พระทั่วประเทศอันเป็นการทะนุบำรุงพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง

แต่ปรากฏว่าเงินจำนวนนี้มีการส่งให้วัดต่างๆ ตามตัวเลขที่ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละวัด ปรากฏว่าเมื่อส่งเงินจำนวนนี้ให้แต่ละวัดแล้วกลับมีการขอคืนบางส่วนเพื่อนำไปแจกจ่ายกัน

นี่ถือเป็นการ “ทุจริต”-“คอร์รัปชัน” ที่แยบยลที่สุด โกงง่ายที่สุด

มีการดำเนินการทำกันเป็นขบวนการด้วยเจ้าหน้าที่ของสำนักพุทธฯ มีทั้งอดีตผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ และเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ทั้งจากส่วนกลางและภูมิภาค

ว่ากันว่ามีการสอบสวนสาวลึกลงไปแล้วพบว่าวัดต่างๆทั่วประเทศมีจำนวนมากที่ถูก “ต้มตุ๋น” ระดับชาติ

ก็มีคำถามว่า ทำไมเจ้าอาวาสในแต่ละวัดจึงไม่ท้วงติง หรือเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาให้สังคมรับรู้ น่าจะมาจากความไม่รู้หนึ่ง ความไม่กล้าหนึ่ง การทำไม่รู้ไม่เห็นโอกาสจะได้งบในปีต่อไปจึงไม่ยาก

สำนักพุทธฯนั้นเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลสูงมาก

...

สังคมภายนอกคงมิอาจรู้ได้ว่าเป็นอย่างนี้ แต่วงการสงฆ์ต่างรู้กันเป็นอย่างดี

เคยมีกรณีในลักษณะนี้ในจังหวัดภาคใต้หลายปีมาแล้ว สำนักพุทธฯได้ส่งเงินให้วัดจำนวนเงินราว 4 ล้านบาท แต่กลับมีการขอเรียกคืน 3.2 ล้านบาท เหลือให้วัด 8 แสนกว่าบาท

โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯในจังหวัดไปรับเงินทอนจากเจ้าหน้าที่วัด แต่ไปรับคืนกันที่ไหนรู้ไหมครับ...ห้างสรรพสินค้า

ก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวฟ้องร้องกัน เพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้เบาะแสไปล้อมจับตัวได้ทันควันจนมีการฟ้องร้องไปถึงขั้นอัยการ

ผลก็คือ อัยการสั่งไม่ฟ้อง...

เพราะมีการสอบพยานหลักฐานต่างๆ แล้วมีการระบุว่าทอนที่ว่านั้นจะนำไปแจกให้วัดต่างๆ ที่มีการพิจารณาเอาไว้แล้ว ที่ส่งเงินทั้งหมดให้วัดนี้ก่อนก็เพื่อให้เป็นแหล่งเงินเริ่มต้นเท่านั้นไม่ใช่ให้วัดนี้ด้วยจำนวนเงินก้อนนี้ทั้งหมด

ประเด็นสำคัญก็คือ มีเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯที่ดูแลวัดในจังหวัดอื่นๆมาเป็นพยานยืนยันว่ามีวัดในจังหวัดนั้นๆจะได้เงินจำนวนนี้

เป็นอันว่าอัยการไม่ส่งฟ้อง เพราะไม่มีความผิดเนื่องจากคำให้การของพยานน่าเชื่อถือ ไม่ใช่เป็นการ “ทอนเงินวัด” แต่อย่างใด

ปรากฏว่าเงินจำนวนนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆไปทันที

ใครจะได้เท่าใด จำนวนเท่าใดต้องไปสืบหากันเอง แต่ที่แน่ๆ เมื่อไม่สามารถดำเนินคดีเอาความผิดเจ้าหน้าที่ได้ก็เลยสนุกกันมหกรรม “เงินทอนวัด” จึงระบาดไปทั่วประเทศ

การแก้ไขปัญหานี้นอกเหนือจากจัดการกับผู้กระทำผิดแล้ว “พระ” เองก็ต้องให้ความร่วมมือและช่วยกันสะสางปัญหาเลวร้ายให้หมดไปเสียที

มิน่าล่ะ...“จานบิน” ธรรมกายจึงยิ่งใหญ่ด้วยผลประโยชน์.

“สายล่อฟ้า”