ต้องทิ้งระยะห่าง สร้างสมดุลใหม่

อย่าได้แปลกใจว่าเหตุไฉน “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐฯได้ต่อสายตรงพูดคุยกับนายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯประเทศไทย

ด้วยการเชิญชวนให้ไปเยือนสหรัฐฯและพร้อมจะเดินทางมาเยือนไทยอีกด้วย ขณะเดียวกันก็ให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเขาถามย้ำเจ้าหน้าที่ของฝ่ายไทยถึงท่าทีต่อเกาหลีเหนือ

คำตอบก็คือไทยไม่ต้องการ “นิวเคลียร์” แต่ต้องการสันติภาพ ดำเนินการตามมติสหประชาชาติด้วยการเจรจาหาใช่วิธีการเปิดสงคราม

ก็เป็นความชัดเจนที่ตอบมิตรประเทศที่คบหากันมายาวนาน

ที่ผมบอกว่าอย่าได้แปลกก็เพราะ “ทรัมป์” ไม่ได้กดโทรศัพท์หา พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวเท่านั้น แต่ได้โทร.หาผู้นำอีกหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ แม้กระทั่ง “ปูติน” แห่งรัสเซีย

และยังพร้อมที่จะพูดคุยส่วนตัวกับ “คิม จอง-อึน” ผู้นำเกาหลีเหนือที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาอยู่ในขณะนี้

ก่อนหน้านี้ก็เชิญชวนให้ “สี จิ้นผิง” ผู้นำจีนและ “อาเบะ” ได้เยือนสหรัฐฯมาแล้ว

สิ่งที่ต้องไม่ลืมหลังจากที่ คสช.เข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ปฏิกิริยาจากสหรัฐฯที่มีต่อประเทศไทยนั้น

ต้องบอกว่ามาเร็วเคลมแรงกว่าประเทศอื่นๆ

“โอบามา” ประกาศผ่านโฆษกทำเนียบขาวไม่ยอมรับประเทศไทยเพราะไม่เป็นประชาธิปไตย เพียงแต่ยังไม่ตัดสัมพันธ์ไมตรีเท่านั้น

งดช่วยเหลือด้านการเงิน ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ขายอาวุธให้ เรียกผู้นำของเราว่าผู้นำรัฐทหาร หัวหน้ารัฐประหารและหัวหน้า คสช.

แต่ครานี้เรียกว่านายกรัฐมนตรีประเทศไทย

เป็นการให้เกียรตินายกฯประยุทธ์ในฐานะมิตรประเทศที่เท่าเทียมกันและพร้อมจะเจรจาให้ความร่วมมือทั้งด้านการค้า การลงทุน

...

คำถามก็คือทำไมผู้นำสหรัฐฯจึงเปลี่ยนท่าทีต่างกับ “โอบามา” จากหน้ามือเป็นหลังมือ

คำตอบก็คือสหรัฐฯนั้นมีความต้องการที่จะเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาคนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะจากมิตรประเทศอาเซียนอย่างที่เคยดำรงอยู่มาตลอด

หลังจากเปิดฉากส่งเรือรบเข้ามาในคาบสมุทรเกาหลี ด้วย ข้ออ้างว่าผู้นำเกาหลีเหนือปฏิบัติการทดลองขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เกรงกลัวใคร ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุประกาศจะทดลองต่อไปแล้วแต่อารมณ์ผู้นำ

หากว่ากันลึกๆแล้ว “ทรัมป์” คงอยากจะถล่มให้ราบคาบภายในพริบตาเพียงแต่ในสภาพที่เป็นจริงนั้นยังไม่อำนวยไม่พร้อมที่จะเปิดฉากสงคราม

เพราะขืนทำเป็นเล่นไปเกาหลีเหนือนั้นมีอาวุธพิเศษและผู้นำที่มีอารมณ์แบบ “บ้าก็บ้าว่ะ” และพร้อมที่จะตอบโต้ได้ตลอดเวลา

จึงได้แต่ซ้อมรบกับประเทศพันธมิตรไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้เพื่อแสดงแสนยานุภาพและผลักดันให้ญี่ปุ่นพร้อมรบ
เหล่านี้ล้วนแสดงความนัยให้เห็นว่าสหรัฐฯเป็นเบอร์ 1 ของโลก เพียงแต่ต้องการเช็กว่าพันธมิตรเก่าของสหรัฐฯนั้นยังเหมือนเดิมหรือไม่

พูดง่ายๆยังสนับสนุนสหรัฐฯต่อไปหรือไม่?

เป็นการเปิดถ้วยเล่นแบไต๋กันอย่างตรงไปตรงมาหลังจากที่เคยขู่มาก่อนว่าจะต้องมีการเจรจาทวิภาคีในเรื่องการค้าที่สหรัฐฯขาดดุลการค้าด้วยการขึ้นบัญชีประเทศต่างๆเอาไว้

ความจริงอย่างหนึ่งที่เห็นมาตลอดก็คือสหรัฐฯมีความพยายามที่จะครอบงำประเทศต่างๆโดยเฉพาะไทยที่เป็นเบี้ยล่างมาตลอดไม่ได้คบหาด้วยความจริงใจแต่อย่างใด

ว่าไปแล้วก็น่าจะเป็นผลดีต่อไทย เพียงแต่อย่าเผลอตัวเผลอใจก็แล้วกัน.

“สายล่อฟ้า”