นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีบางท่าน แสดงความเห็นเกี่ยวกับการชุมนุมของนักเรียน นิสิต และนักศึกษาคล้ายๆกันคือเตือนให้นักศึกษาระวัง อาจประสบปัญหาถึงโดนฟ้องคดีอาญา และสูญเสียอนาคต แต่มีรัฐมนตรีท่านหนึ่งที่มีความเห็นต่าง คือนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ดร.สุวิทย์ แสดงความเห็นว่าไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย การคิดต่างจึงไม่ใช่เรื่องผิด และไม่ใช่ความขัดแย้ง นิสิตนักศึกษาคือคนกำหนดอนาคตของประเทศมหาวิทยาลัยจึงต้องเปิดเวทีให้นักศึกษา เพื่อแสดงความคิด การชุมนุมของนักศึกษาจะไม่บานปลายขยายวงออกไปมาก หากผู้ใหญ่รับฟัง กำลังเตรียมเชิญนักศึกษาเพื่อรับฟังปัญหาเร็วๆนี้
รายงานข่าวที่ไม่ยืนยันว่ารัฐมนตรีบางคน เตรียมเสนอให้ใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน เพื่อระงับยับยั้งการชุมนุมของนักศึกษา เคราะห์ดีที่มีการปฏิเสธข่าวนี้ มิฉะนั้นจะกลายเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ ของนักการเมืองที่เชื่อมั่นใน “อำนาจนิยม” ต้องใช้กฎหมายแรงๆ รักษาความสงบเรียบร้อย ทั้งๆที่ล้มเหลวซ้ำซากในภาคใต้
หลายรัฐบาลต่างงัดกฎหมายแรงๆ ออกมาใช้ โดยมุ่งหวังจะดับไฟใต้ มีทั้งประกาศกฎอัยการศึก พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายไม่รู้เท่าไหร่ แต่ไฟใต้ก็ยังลุกโชนอยู่ รัฐบาลต้องศึกษาบทเรียนเรื่องบทบาทของนักศึกษาประชาชนในอดีต เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
เหตุการณ์ 14 ตุลา เริ่มต้นกิจกรรมทางการเมืองและนักศึกษาเพียงไม่กี่คน ออกมาเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่ถูกคณะรัฐประหารฉีกทิ้งนานหลายปี กลุ่มผู้นำในการเรียกร้องถูกจับกุม จากนั้นนักศึกษา ประชาชนทั่วประเทศจำนวนนับแสนๆก็ลุกฮือ กลายเป็นการขับไล่รัฐบาลเผด็จการ และได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่หายไปเกือบ 20 ปี
...
สถานการณ์ปัจจุบันมีบรรยากาศคล้ายกับปี 2516 รัฐบาลคณะรัฐประหาร คสช.ปกครองประเทศมานานเกือบ 6 ปีแม้จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่และจัดการเลือกตั้ง แต่ คสช.ก็ยังสืบทอดอำนาจต่อไป ในขณะที่สิทธิเสรีภาพประชาชนถูกลิดรอนความยุติธรรมและองค์กรอิสระมีปัญหาและไร้ความสามารถในการแก้ปัญหาปากท้อง
ประเทศไทยกลายเป็นสังคมที่รวยกระจุกจนกระจาย รัฐบาลถูกกล่าวหาเอื้อเจ้าสัวหรือทุนใหญ่ๆ ผู้คนว่างงาน ที่กระทบต่อนักศึกษาโดยตรง ได้แก่ ปรากฏการณ์ “บัณฑิตเตะฝุ่น” ถ้ารัฐบาลไม่เปิดเวทีรับฟังนักศึกษา บรรดา ส.ส.ที่มาจากเลือกตั้งต้องรีบดำเนินการ โดยไม่ต้องรอถึงเปิดสมัยประชุมพฤษภาคมที่อาจสายเกินไป.