คนไทยทั้งประเทศตกตะลึงไปตามๆกัน เมื่อทราบข่าว “จ่าคลั่ง” บุกยิงนายทหารยศพันเอก ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา เสียชีวิตพร้อมกับแม่ยายและทหารอีกหนึ่งคน ก่อนที่จะเข้าปล้นปืนนานาชนิดจากคลังสรรพาวุธในค่ายทหาร และยึดรถทหารเป็นพาหนะ บุกเข้าไปในห้างสรรพสินค้าและยิงกราดไม่เลือกหน้าพรหม 30 ศพ บาดเจ็บ 58

เป็นเหตุฆาตกรรมหมู่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนไทยเคยทราบข่าวฆาตกรรมบ้าคลั่งแบบนี้จากโลกตะวันตก ส่วนมากคือสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ประชาชนสามารถมีปืนกันได้ง่ายๆ ส่วนประเทศไทยแม้จะมีข่าวฆาตกรรมฆ่ากันตายแทบจะรายวัน แต่ใช่ลักษณะฆ่าดะแบบบ้าคลั่ง

น่าวิตกกังวลว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก อาจจะมีครั้งที่ 2 หรือที่ 3 ตามมา เนื่องจากพฤติกรรมเลียนแบบเมื่อเร็วๆนี้ คนไทยก็ต้องตกตะลึงไปแล้วหนหนึ่งจากข่าวการปล้นฆ่าร้านทองในห้างสรรพสินค้า ที่จังหวัดลพบุรี คนร้านกลายเป็นครูผู้มีการศึกษาสูง มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการ โรงเรียน ทำไมจึงต้องปล้นฆ่า

แต่เหตุร้ายที่นครราชสีมา โหดเหี้ยมกว่าหลายเท่า คนร้ายโพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมหลายข้อความ เช่น “3 ศพล้างแค้น นอกนั้นป้องกันตัว” สังคมสงสัยว่าเมื่อล้างแค้นแล้ว ทำไมไม่หยุดแค่นั้น กลับก่อกรรมทำเข็ญ สร้างเวรสร้างกรรมต่อไม่รู้จบ ด้วยการเข่นฆ่าผู้ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งหรือคู่แค้น

โศกนาฏกรรมครั้งนี้ สะท้อนถึงภาวะการป่วยทางจิต ที่รุกเงียบในสังคมไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมว่า “เราจะถอดบทเรียนครั้งนี้ และผ่านเหตุการณ์นี้ไปด้วยกัน” บทเรียนง่ายๆก็คือ ทำไมจึงปล่อยให้ทหารคนเดียวปล้นคลังสรรพาวุธกันอย่างง่ายดาย

...

ทำไมคนร้ายจึงไม่ถูกสกัดกั้นและยับยั้ง ไม่ให้ขับรถไล่ยิงประชาชนบาดเจ็บล้มตายราวกับผักปลา มีเวลาหลายชั่วโมงที่น่าจะยับยั้งได้ นับแต่คนร้ายบุกยิงผู้บังคับบัญชาเริ่มแต่เวลาประมาณ 15.30 น. ก่อนจะบุกถึงห้างสรรพสินค้าประมาณ 5 หรือ 6 โมงเย็น ฝ่ายความมั่นคงเตรียมพร้อมรับมือการก่อการร้ายหรือไม่

บางข้อความที่คนร้ายโพสต์ผ่านสื่อสังคม ที่รัฐบาลและสังคมทั่วไปควรสนใจ เช่นข้อความที่ว่า “ร่ำรวยมาจากการโกง การเอาเปรียบคนอื่น มันคิดว่ามันจะเอาเงินไปใช้ในนรกรึไง” สังคมไทยมีการทุจริตโกงกิน มีปัญหาความยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำมากขึ้นทุกที แต่ไม่มีใครแก้ เป็นบทเรียนหรือไม่?