ไวรัสโคโรนาอู่ฮั่น ยังระบาดไม่หยุด เวลา 16.30 น. วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 17,393 ราย 27 ประเทศเท่าเดิม เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 362 ราย สำนักข่าวซินหัวจีนรายงานตัวเลขวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ ผู้ติดเชื้อในมณฑลหูเป่ยมณฑลเดียว 11,177 ราย เสียชีวิต 350 ราย แสดงว่าผู้เสียชีวิตร้อยละ 97 อยู่ที่มณฑลหูเป่ย แหล่งกำเนิดเชื้อไวรัส และมีผู้ติดเชื้อขั้นวิกฤติ 1,701 ราย ซึ่งอาจมีการตายเพิ่ม มีเพียง 295 ราย ที่ได้รับการรักษาจนหาย แสดงว่าผู้รักษาหายมีน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้ป่วย
หากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้จีนต้องปิดประเทศนานขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกในวงกว้างมากขึ้น
ไปดูรายชื่อ 27 ประเทศ ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาจากจีน สหรัฐฯ รัสเซีย เนปาล อินเดีย ศรีลังกา ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า ออสเตรเลีย แคนาดา สวีเดน อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน ฟินแลนด์ เยอรมนี อิตาลี และ ยูเออี จะเห็นว่า ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ในอเมริกาเหนือและยุโรป ส่งผลให้ การค้าโลกลดลง แต่ก็ยังไม่เสียหายมากเท่ากับรัฐบาลจีนปิดประเทศ ห้ามจัดทัวร์ในประเทศ ต่างประเทศสิ้นเชิงตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม ผลกระทบทางเศรษฐกิจจึงกว้างไกลมหาศาลจนประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนมีการใช้จ่ายในต่างประเทศปี 2561 อยู่ที่ 130,000 ล้านดอลลาร์ ราว 4 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่ร้อยละ 55 เป็นการซื้อแพ็กเกจทัวร์โดยมีเป้าหมายหลัก อันดับ 1 ญี่ปุ่น อันดับ 2 ไทยแลนด์
คุณยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปี 2562 มีนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยมากเป็นอันดับ 1 ที่ 11 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 30% ของนักท่องเที่ยว 39.8 ล้านคน แต่วันวาน คุณพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีการท่องเที่ยวฯ แถลงหลังประชุมว่า ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม-1 กุมภาพันธ์ (เพียง 9 วัน) นักท่องเที่ยวจีนหายไปกว่า 230,000 คน เมื่อเทียบกับปี 62 ทำให้ไทยสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงนี้ประมาณ 300,000 ล้านบาท หากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาไปสิ้นสุดในเดือนมีนาคม ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวกว่า 6 เดือนจึงจะเข้าสู่ภาวะปกติ
...
หมายความว่า ถ้าจีนเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวออกทัวร์ได้ในเดือนเมษายน กว่าการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นต้องใช้เวลาอีก 6 เดือน ราวเดือนกันยายนหรือตุลาคมโน่น วงจรธุรกิจท่องเที่ยวจะเสียหายขนาดไหน รายได้การท่องเที่ยวปี 63 ที่คาดว่าจะได้ 2.02 ล้านล้านบาท จะหายไปเท่าไหร่?
การท่องเที่ยว ถือเป็น รายได้หลักของไทย และ เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจเพียงตัวเดียวที่ยังมีกำลังขับเคลื่อนประเทศไทย กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นและรากหญ้า เมื่อ เครื่องยนต์การท่องเที่ยวดับ การส่งออกก็วูบ มิหนําซํ้าไทยยังต้องเจอกับ พฤติกรรมเลวร้ายของนักการเมืองในรัฐสภา เสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ส่งผลให้งบประมาณปี 63 มีปัญหา งบลงทุนต้องล่าช้าไปอีกหลายเดือน ต่างชาติไม่มา เศรษฐกิจในประเทศก็แย่ รัฐบาลบริหารจัดการไม่เป็น เลยทำให้ ประเทศไทยโชคร้าย อย่างที่เห็น
ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ตรงจุด มีแต่ช่วยให้เศรษฐีรวยขึ้น แต่ ประชาชนคนรากหญ้า เกษตรกร เอสเอ็มอีกลับยากจนและลำบากมากขึ้น แล้ว ประเทศและสังคมจะอยู่กันอย่างสงบสุขได้อย่างไร เมื่อ ความเหลื่อมล้ำรวยจน ที่มีมากอยู่แล้ว กลับขยายกว้างมากขึ้นไปอีก
วันนี้ กนง.แบงก์ชาติ จะมีการพิจารณา ดอกเบี้ยนโยบาย ที่อยู่ในระดับตํ่า 1.25% หลายสำนักคาดว่า กนง.จะลดดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25-5.0 เหลือ 1.0-0.75 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ผมก็หวังว่า จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มกำลังซื้อในตลาดมากขึ้น แต่ ปัญหาใหญ่ อยู่ที่ รัฐบาล จะบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ได้หรือไม่?
“ลม เปลี่ยนทิศ”