เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบ 100 ปีชาตกาล ของท่าน ผอ.กำพล วัชรพล และคุณหมอประเวศ วะสี ได้กรุณามากล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ชีวิตกำพล วัชรพล ชี้ทิศทางอนาคตไทย” นั้น ผมมีโอกาสได้นั่งฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
คุณหมอประเวศ ซึ่งได้ติดตามศึกษาชีวประวัติท่าน ผอ.กำพล มาอย่างละเอียด มีความเห็นว่าชีวิตของ ผอ.กำพล สามารถนำมาใช้เป็นพลังในการกำหนดทิศทางของประเทศไทยในวันข้างหน้าได้ 3 เรื่องใหญ่ๆ
เรื่องแรกท่านเห็นว่า ชีวิต ผอ.กำพลสามารถกระตุ้นสำนึกในศักดิ์ศรี และศักยภาพของสามัญชนคนยากจนทั้งประเทศได้อย่างดียิ่ง
เรื่องที่สองท่านเห็นว่า ชีวิต ผอ.กำพลสามารถชี้ทิศทาง การปฏิรูปการเรียนรู้ เพื่อสร้างคนไทยให้เป็นคนเก่งทั้งประเทศได้เช่นกัน
สุดท้ายประเด็นที่สาม ท่านเห็นว่าชีวิต ผอ.กำพลเป็นต้นแบบของ ภาคธุรกิจ เพื่อการพัฒนาประเทศ เพราะนับแต่นี้เป็นต้นไป ภาคธุรกิจจะมีส่วนอย่างสำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศ เนื่องจากคนเก่งๆของประเทศอยู่ในภาคธุรกิจมากกว่าภาคข้าราชการ
เรื่องที่สองกับเรื่องที่สาม คงต้องใช้เวลาและเนื้อที่ในการอธิบายเพิ่มเติมอยู่สักหน่อย ผมขอขยักไว้ไปว่าอีกทีในวันหน้าวันหลัง
สำหรับในวันนี้ ซึ่งยังอยู่ในช่วงของเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ผมขอเขียนถึงประเด็นแรกเพียงประเด็นเดียวก่อนก็แล้วกัน
เพราะเป็นประเด็นที่เข้าใจง่ายที่สุด และเป็นความคิดเชิงปรัชญา ที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้ โดยเฉพาะคนยากจน ซึ่งยังคงเป็นประชากรกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งของประเทศไทยเรา
คุณหมอประเวศเทศนา เอ้ย กล่าวกระตุ้นคนจนทั้งหลาย โดยยกตัวอย่าง ผอ.กำพลเอาไว้ดังนี้ครับ
“ชีวิตคุณกำพลเป็นตัวอย่างให้เห็น ว่าคนยากคนจนมีการศึกษาน้อย ก็สามารถมีความเจริญสูงสุดระดับโลกได้...ตัวอย่างชีวิตเช่นนี้ควรเป็นกำลังใจให้แก่สามัญชน คนเล็กคนน้อยทั้งประเทศเกิดจิตสำนึกในศักดิ์ศรีและศักยภาพในความเป็นมนุษย์ของตนเอง ว่าเราก็เป็นคนที่มีศักดิ์ศรี มีศักยภาพในตัวเอง ที่จะทำอะไรดีๆได้เช่นกัน”
“ในสังคมไทยมักมีมายาคติที่ทำให้คนจนรู้สึกว่าด้อยศักดิ์ศรีและด้อยศักยภาพประดุจถูกจองจำไว้ในคุกที่มองไม่เห็น (The Invisible Prison) ซึ่งคนที่อยู่ในคุกย่อมขาดเสรีภาพ ด้อยศักดิ์ศรี และถูกจำกัดเสรีภาพฉันใด คนส่วนใหญ่ที่ติดอยู่ในคุกของมายาคติก็ฉันนั้น”
“คุณกำพล วัชรพล สลัดตัวเองออกมาจากมายาคติเช่นนั้น แม้จะมีกำเนิดตํ่าต้อยยากจน มีการศึกษาน้อย ก็มีศักยภาพได้และได้ใช้ศักยภาพจนเป็นเจ้าของอาณาจักรหนังสือพิมพ์ใหญ่ที่สุด และเป็นบุคคลสำคัญของโลกในที่สุด”
“มายาคติคือความไม่จริง ความจริงคือทุกคน (ไม่ว่าจนหรือรวย) มีศักดิ์ศรีและศักยภาพในการสร้างสรรค์ ถ้าบุคคลเกิดสำนึกในศักดิ์ศรีและศักยภาพในความเป็นมนุษย์ของตนเอง จะปลดปล่อยตัวเองจากคุกที่มองไม่เห็น เป็นอิสระ มีความสุขอย่างลึกลํ้า”
“รวมทั้งจะมีพลังมหาศาลในตนเอง ที่จะทำเรื่องดีๆ การระเบิดพลังจิตสำนึกนั้น เปรียบประดุจพลังนิวเคลียร์ในตัวมนุษย์ ถ้าคนทั้งประเทศเกิดตระหนักในศักดิ์ศรีและศักยภาพในความเป็นมนุษย์ของตนเอง จะปลดปล่อยพลังแห่งความสร้างสรรค์เต็มแผ่นดิน”
“เกิดพลังแผ่นดินหรือภูมิพละขึ้นได้ในที่สุด”
จากนั้นท่านก็ฝากมาที่พวกผม ในกองบรรณาธิการไทยรัฐ ให้เขียนถึงแสดงความเห็นถึง หรือนำเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีและศักยภาพของคนไทย โดยเฉพาะคนเล็กคนน้อย คนยากคนจนให้มากๆ บ่อยๆ และถี่ๆ เปรียบประดุจการตีระฆังแห่งการปลุกจิตสำนึกอันยิ่งใหญ่นี้ให้ได้ยินไปทั่วประเทศ
“เพื่อปลดปล่อยคนทุกชั้นชน ให้ออกจากคุกแห่งมายาคติ ไปสู่จิตสำนึกใหม่แห่งศักดิ์ศรีและศักยภาพ ให้พลังแห่งความสุขและพลังแห่งความสร้างสรรค์ ที่จะทำอะไรดีๆเกิดขึ้นเต็มแผ่นดิน”
“เป็นพลังแผ่นดินที่จะยกระดับประเทศไทยไปสู่ความเจริญที่แท้จริงได้อย่างรวดเร็ว” คุณหมอประเวศสรุปในที่สุด
ผมเห็นด้วยครับว่า คนจนทุกคนมีศักดิ์ศรีและมีศักยภาพ และขอให้กำลังใจพร้อมทั้งเชิญชวนพี่น้องคนยากคนจนทุกท่าน ให้ลุกขึ้นมาใช้พลังแห่งศักดิ์ศรีและศักยภาพของท่าน ตั้งแต่ปีใหม่ 2563 นี้เป็นต้นไป
เชื่อหมอประเวศนะครับปีใหม่นี้.
“ซูม”