ขณะที่ผมนั่งเขียนต้นฉบับวันนี้ช่วงหัวคํ่าวันจันทร์ที่ผ่านมา การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 วันสุดท้ายยังไม่จบครับ เพราะมีข่าวว่า การประชุมวาระสุดท้ายว่าด้วยการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มแม่นํ้าโขงกับญี่ปุ่นจะเริ่มระหว่าง 20.30 น. เป็นต้นไปจนถึง 22.00 น.
จะเป็นการประชุมระหว่างอาหารคํ่าเสียด้วย ต้องยกนิ้วให้เลยว่าคณะผู้นำอาเซียนชุดนี้ทำงานหนักจริงๆ ขนาดมีพิธีส่งมอบตำแหน่งประธานครั้งต่อไปให้แก่เวียดนามไปแล้วตอนทุ่มเศษๆ และท่านนายกฯบิ๊กตู่ก็แถลงข่าวแล้ว ยังอุตส่าห์มีการประชุมส่งท้ายอีกจนได้
เท่าที่ติดตามข่าวคราวตั้งแต่วันแรกมาจนถึงขณะที่ผมนั่งบันทึกเหตุการณ์อยู่ขณะนี้ ต้องบอกว่าผลการประชุมมีมติมีข้อตกลงร่วมกันที่น่าพอใจหลายอย่างหลายเรื่อง
รวมทั้งเรื่อง “อาร์เซ็ป” หรือความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค อันประกอบด้วย อาเซียน 10 ประเทศ และคู่เจรจา 6 ประเทศ อันได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ก็ดูเหมือนว่าจะได้ข้อสรุปที่น่าสนใจมากมีข้อตกลงร่วมกันถึง 20 ข้อ ครบถ้วนกระบวนความทุกประการ
ทำให้การเจรจาอันยาวนานถึง 7 ปี ยุติลงได้เหลือเพียงการแก้ไขตกแต่งคำพูดทางภาษากฎหมายอะไรต่างๆให้รัดกุมอีกเล็กน้อยเท่านั้น
รวมทั้ง บางประเทศอาจขอนำกลับไปหารือภายในอีกหน่อย แต่ในหลักการนั้นเห็นด้วยแล้ว
สำหรับการลงนามในข้อตกลงอย่างเป็นทางการค่อยไปว่ากันในปีหน้า 2563 ที่ประเทศเวียดนามประธานรายต่อไป
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยในอนาคตจะนำไปสู่การรวมตัว และการทำมา ค้าขายร่วมกันของกลุ่มประเทศที่มีประชากรกว่า 3,500 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของประชากรโลก และมีจีดีพีรวมกันกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโลก รวมทั้งมีมูลค่าทางการค้าเกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการค้าโลก
...
ผมเอาใจช่วยและลุ้น “อาร์เซ็ป” มาโดยตลอด เมื่อได้ข่าวว่า การประชุมในประเทศไทยเรานี่เองที่เปรียบเสมือนเวทีสุดท้ายที่ทำให้ทุกฝ่ายตกลงกันได้ก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าจะไปลงนามในปีหน้าก็ไม่เป็นไร เพราะเรื่องอย่างนี้ต้องรอบคอบด้วยกันทุกฝ่าย
อีกข่าวที่ผมถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผมในฐานะที่เป็นแฟนฟุตบอลตัวฉกาจก็คือ การลงนามในสัญญาเอ็มโอยูระหว่างท่านประธานฟีฟ่า จานนี อินฟานติโน กับท่านเลขาธิการอาเซียน ดาโต๊ะ ปาดูกา ลิม จ๊อกฮอย ในเรื่องที่คาดไม่ถึง และไม่นึกว่าจะอยู่ในการประชุมครั้งนี้ด้วย
โดยทางฟีฟ่าให้คำมั่นสัญญาว่าจะเข้าร่วมในการสนับสนุนช่วยเหลือด้านฟุตบอลแก่เยาวชนต่างๆ ในกลุ่มสมาชิกอาเซียน ขณะเดียวกันก็รับรู้ในมติของอาเซียนที่จะร่วมกันเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2034
ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นภาพท่านประธานฟีฟ่ามอบเสื้อฟุตบอลสีน้ำเงินในนามฟีฟ่าให้แก่ผู้นำชาติต่างๆ พร้อมถ่ายรูปขึ้นหน้า 1 กันแล้ว
กล่าวไปแล้วการประชุมสุดยอดอาเซียนคงจะได้บทสรุปและข้อตกลงต่างๆที่เป็นประโยชน์อีกมากมายก่ายกอง แต่สำหรับผมได้แค่ 2 เรื่อง คือ “อาร์เซ็ป” กับ การช่วยพัฒนาและสนับสนุนวงการฟุตบอลอาเซียนของฟีฟ่าและการรับรู้ “การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพบอลโลก” ของอาเซียนก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วกับการลงทุนลงแรงในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมของเรา
โดยเฉพาะ “อาร์เซ็ป” ถ้าสำเร็จจริงและสามารถไปลงนามในปีหน้าได้จริง พร้อมทั้งสานต่อจนไปสู่วัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ เราจะมีกลุ่มการค้าและเศรษฐกิจใหม่ที่ใหญ่มากอย่างที่ว่า และจะเป็นประโยชน์แก่ทุกประเทศที่เป็นเครือสมาชิก
ส่วนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพบอลโลกถือเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งของอาเซียน ระยะทางยังอีกไกลและต้องไปแข่งขันกับผู้เสนอตัวอื่นๆอีกมาก จะได้เป็นเจ้าภาพหรือไม่ยังไม่รู้
แต่การเชิญ นาย จานนี อินฟานติโน มาเมืองไทยเราและเซ็นสัญญาเอ็มโอยูได้เนี่ย ผมว่าคณะผู้จัดจัดได้เท่มาก
ในฐานะแฟนบอล ผมว่าประธานฟีฟ่าเนี่ย ยิ่งใหญ่มากนะครับ ผมยังงงๆอยู่เลยที่ท่านประธานท่านเดินทางมาเซ็นเอ็มโอยูกับอาเซียนด้วยตนเอง
แบบนี้คุณทรัมป์จะมาหรือไม่มา หรือจะให้ใครมาแทน กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยครับ.
“ซูม”