จากการปะทะคารมที่ดุเดือดร้อนแรง ระหว่าง ส.ส.กับ ส.ว.ในช่วงการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เป็นหลักฐานยืนยันว่าคนไทยมีความเห็นแตกต่าง โดยเฉพาะในด้านการเมือง ส.ว.บางคนซึ่งมาจากนายทหารประกาศว่า อย่างนี้ต้องปฏิวัติสัก 20 ปี บางคนด่า ส.ส. “เป็นขี้ข้าโจร” ฝ่าย ส.ส.ตอบโต้ “ไม่ได้เลียรองเท้าทหารเข้ามา”

วาทะที่ร้อนแรงข้างต้น ยืนยันว่าคนไทยมีแนวความคิดทางการเมืองอย่างน้อย 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายอิสรภาพนิยม กับ ฝ่ายอำนาจนิยม ฝ่ายแรกถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ประเทศ ไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างน้อยต้องมีการเลือกตั้ง

ส่วนฝ่ายอำนาจนิยมยึดถืออำนาจและกำลังเป็นใหญ่ อาจใช้กำลังทหารของชาติ เพื่อยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และตั้งตนเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในแผ่นดิน มีอำนาจแต่งตั้งบรรดาเพื่อนพ้องพี่น้องเป็นสมาชิกรัฐสภา เป็นนายกรัฐมนตรี หรือเป็น ส.ว.ที่มีอำนาจ ที่จะเลือกหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นนายกรัฐมนตรี

ความแตกแยกทางการเมืองในไทยไม่ใช่เรื่องใหญ่ในยุค คสช. เคยเกิดมานานแล้ว เช่นหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ยุคประชาธิปไตยไทย
เบ่งบาน คนไทยแตกแยกกันเป็น “ฝ่ายขวา-ฝ่ายซ้าย” เคยนำไปสู่เหตุการณ์รุนแรง 6 ตุลาคม 2519 ฝ่ายซ้ายส่วนใหญ่ซึ่งเป็นนักศึกษา ต้องหนีเข้าป่า จับปืนต่อสู้กับฝ่ายขวา

ความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นสงครามกลางเมือง ยุติลงด้วยนโยบายที่ถูกต้องของรัฐบาลต่อมา แต่ความขัดแย้งเรื่องการเมืองก็เกิดอีกจนได้ คราวนี้แบ่งเป็น “เสื้อเหลือง-เสื้อแดง” นำไปสู่การใช้ความรุนแรงหลายครั้ง รวมทั้งนำไปสู่รัฐ-ประหาร รัฐบาลที่ผ่านๆมาเคยตั้งคณะกรรมการ เพื่อสร้างความปรองดองในชาติหลายครั้ง แต่ไม่มีใครสนใจปฏิบัติ

...

ตัวอย่างเช่น คณะกรรมการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งมี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน และสถาบันพระปกเกล้า ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐสภา ให้ศึกษาวิจัยและเสนอแนะแนวทางสร้างความปรองดอง แต่ไม่มีรัฐบาลใดสนใจนำไปปฏิบัติแม้แต่รัฐบาล คสช.ก็ตั้งหลายสภา และคณะกรรมการปรองดอง แต่ล้มเหลวอีก

คณะ คสช.เคยประกาศเป้าหมายสำคัญในการยึดอำนาจ นอกจากการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย ปฏิรูปประเทศในทุกด้านแล้ว การสร้างความปรองดองก็เป็นเป้าหมายที่สำคัญ แต่รัฐบาลไม่ได้พูดถึงอีกต่อไป มีเสียงวิจารณ์ด้วยว่า นอกจากไม่ได้สร้างความปรองดองแล้ว รัฐบาลก็อาจเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง.