เมื่อวานนี้ผมเขียนถึง “งบประมาณเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น” หรือ Wellbeing Budget ของนายกรัฐมนตรีหญิงนิวซีแลนด์วัย 38 ปี นางจาชินดา อาร์เดิร์น อยากให้รัฐบาลไทยคิดถึงประชาชนแบบนี้บ้าง วันนี้ผมขอเขียนต่ออีกเรื่อง เป็นเรื่อง “ความสุขของประชาชนกับการเลือกตั้ง” จากรายงานของ Gallup บริษัทวิจัยยักษ์ใหญ่ใน World Gappiness Report 2019 ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ โดยมี ฟินแลนด์ เป็น ประเทศที่ประชาชนมีความสุขที่สุดในโลก ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ตามด้วย เดนมาร์ก นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน นิวซีแลนด์ แคนาดา และ ออสเตรีย

รายงาน World Happiness ปีนี้ได้เจาะลึกเรื่อง ความสุขของประชาชนกับพฤติกรรมการเลือกตั้ง Happiness and Voting Behavior ก็ได้คำตอบที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งผมขอนำมาฝาก นักการเมืองไทยทั้งหลาย ไว้ตรงคอลัมน์นี้

ผมจะยกตัวอย่างเพียงสองหัวข้อที่มีการทำวิจัยมาแล้วพร้อมคำตอบ หัวข้อแรกถามว่า “ประชาชนที่มีความสุขมีแนวโน้มที่จะผูกพันกับการเมืองมากขึ้นหรือไม่?” อีกหัวข้อถามว่า “ประชาชนที่ไม่มีความสุขมีแนวโน้มที่จะโหวตเลือกนักการเมืองประชานิยมหรือไม่?” เป็นสองหัวข้อที่น่าสนใจ คำตอบก็น่าสนใจ ถ้านายกรัฐมนตรีนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการบริหารประเทศ ผมเชื่อว่าจะ เป็นผลดีต่อประชาชนเป็นผลดีต่อประเทศ และ เป็นผลดีต่อนักการเมืองทุกคนที่ให้ความร่วมมือ

จากงานค้นคว้าวิจัยมากมายในเรื่อง well–being การมีชีวิตที่ดีขึ้น พบว่า ความสุขมีผลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในสังคม ประชาชนที่มีความสุขมากขึ้น มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้อาสาสมัครในชุมชนมากขึ้น บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากขึ้น

เมื่อมีการวิจัยต่อว่า “พฤติกรรมเช่นนี้จะมีผลต่อเนื่องไปถึงการเมืองหรือไม่?” จากตัวอย่าง 1,300 คนในสหรัฐฯ พบว่า ความพึงพอใจในชีวิตของประชาชนมีผลอย่างมากต่อแวดวงการเมือง ชาวอเมริกันที่มีชีวิตอยู่ในความกดดันจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งน้อย เช่นเดียวกับ คนจีนในชนบท กับการเลือกตั้งท้องถิ่น ใน อังกฤษ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อประชาชนมีความสุขเพิ่มขึ้น ประชาชนก็ออกไปเลือกตั้งกันมากขึ้น ชาวอเมริกันที่มีความสุขในชีวิต จะเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองมากขึ้น เช่น การเข้าร่วมรณรงค์กับพรรคการเมือง การสละเวลาให้กับผู้สมัครเลือกตั้งทางการเมือง

...

ทีนี้ไปดู “ประชาชนที่ไม่มีความสุข” บ้าง ช่วงสิบปีที่ผ่านมาจะเห็นว่า นักการเมืองประชานิยมได้รับการเลือกตั้งมากขึ้นในยุโรปตะวันตก เช่น พรรค League พรรค Five Star Movement ในอิตาลี พรรคเนชั่นแนลฟร้อนต์ ในฝรั่งเศส พรรค AfD ในเยอรมนี รวมทั้งพรรคประชานิยมใน ออสเตรีย กรีซ ฮังการี โปแลนด์ และ อังกฤษ ที่ผงาดขึ้นครองอำนาจ

จากการสำรวจชาวฝรั่งเศส 17,000 ตัวอย่าง จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสปี 2017 พบว่า ชาวฝรั่งเศสที่มีความพึงพอใจในชีวิต ลงคะแนนเลือกนางมารีน เลอ แปง น้อยกว่า ชาวฝรั่งเศสที่มีความไม่พึงพอใจในชีวิต ชาวฝรั่งเศสที่เลือก นางเลอแปง ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นล่างที่มีความเป็นอยู่ไม่ค่อยดีนัก และมองโลกอนาคตในแง่ร้าย เช่นเดียวกับ ชาวอเมริกัน ที่เลือก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่วนใหญ่ก็เป็นชนชั้นล่างที่ไม่ค่อยมีความสุขนักและสับสนกับอนาคตของตัวเอง

แกลลัพ ยังยกตัวอย่าง การลงประชามติขอชาวอังกฤษ ในเรื่อง Brexit “อังกฤษควรจะออกจากสหภาพยุโรปหรือไม่” ในปี 2016 ก็พบว่า ความสุขในชีวิตมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการลงประชามติครั้งนี้ ชาวอังกฤษที่ไม่พึงพอใจต่อชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จะลงมติ Yes เพื่อให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป และ ชนะไปด้วยคะแนน 51.9 ต่อ 48.1 ส่งผลให้อังกฤษต้องออกจากสหภาพยุโรปภายในปีนี้

ความสุขของประชาชน จึง มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคะแนนเสียงทางการเมือง ผมก็เก็บมาเล่าสู่กันฟัง ประชาชนก็คนเหมือนกัน Well–Being ชีวิตที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งของประชาชนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มนักการเมืองและกลุ่มเศรษฐีเท่านั้น.

“ลม เปลี่ยนทิศ”