“ประชาธิปไตย” ยังเป็นวิวาทะทางการเมืองต่อไป ในการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา มีการปะทะคารมระหว่าง ส.ส. และ ส.ว. อย่างดุเดือดเข้มข้น ส.ส.วิจารณ์ว่า ส.ว. “นิยมเผด็จการ” มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร คสช. และเลือกหัวหน้า คสช. ฝ่าย ส.ว.ประกาศว่า “ผมนิยมเผด็จการประชาธิปไตย ไม่นิยมประชาธิปไตยจอมปลอม”เรื่องราวข้างต้นสะท้อนถึงปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย ที่ตีความหมายประชาธิปไตยต่างกัน ในการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา ขั้วการเมืองที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายสืบทอดอำนาจเผด็จการ กับฝ่ายประชาธิปไตย ผลการเลือกตั้งไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด ในที่สุดต้องใช้ 250 ส.ว.เป็นเสียงชี้ขาดขั้วการเมืองที่มีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นแกนนำ ยืนยันว่าไม่มีใครเป็นฝ่ายเผด็จการ เพราะทุกฝ่ายล้วนมาจากเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญที่ผ่านการลงประชามติ เข้าสู่การเมืองด้วยกติกาเดียวกันและเท่าเทียมกัน ทั้งสองฝ่ายต่างมีกองเชียร์ แม้แต่ในพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังมีพรรคประชาธิปัตย์ ขอแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยเป็นเงื่อนไขสำคัญลำพังนักการเมืองเถียงกัน รับรองว่าไม่มีวันจบ นักวิชาการส่วนใหญ่ฟันธงว่าการเมืองไทยในปัจจุบัน เป็น “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ลอกเลียนมาจากรัฐธรรมนูญ 2521 แต่นักรัฐศาสตร์บางท่านเรียกการเมืองหลังเลือกตั้ง เป็น “เผด็จการครึ่งใบ” อาจเป็นเพราะดีกรีเผด็จการมีความเข้มข้นยิ่งขึ้น ขณะที่ ส.ว.ก็ยอมรับว่า “ผมนิยมเผด็จการประชาธิปไตย”การโต้เถียงกันจะไม่มีข้อยุติ ถ้าใช้มาตรฐานแบบไทยๆตัดสิน แต่จะต้องตัดสินกันด้วยมาตรฐานสากล นั่นก็คือประชาธิปไตยที่แท้ จะต้องมีการเลือกตั้ง เพื่อขอความยินยอมจากประชาชน จะให้กลุ่มใดหรือพรรคใดจัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศ ต้องมีหลักค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ยึดหลักนิติธรรม และมีระบบการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจที่มีประสิทธิภาพแต่ที่แน่นอนที่สุด การเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ยังได้นายกรัฐมนตรีคนเดิม และอาจจะได้รองนายกรัฐมนตรีหน้าเดิมอีกหลายคน แม้จะได้รัฐสภาใหม่ แต่ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มเดิมๆ ส.ว.ส่วนใหญ่แปลงร่างมาจาก สนช. แม้จะไม่มีมาตรา 44 แต่ คสช.ก็ยังมีอำนาจผ่านทาง ส.ว. แต่งตั้งเป็น ส.ว.ที่มีอำนาจมากกว่ารัฐธรรมนูญหลายฉบับเป็นการยากที่จะให้ทุกฝ่ายยอมรับตรงกัน อะไรคือประชาธิปไตยกันแน่ ถ้าเห็นว่าระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็คือประชาธิปไตย จึงไม่ต้องดิ้นรนขวนขวาย ไม่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจเป็นชนวนของความขัดแย้ง ต้นตอของปัญหาเพราะแต่ละฝ่ายยึดแนวทางการเมืองต่างกัน ฝ่ายหนึ่งเรียกร้องประชาธิปไตยที่ทั่วโลกยอมรับ แต่อีกฝ่ายยังติดยึดในแนวทางอำนาจนิยมแบบศตวรรษก่อนๆ.