ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันต่อไป ล่าสุด ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก กล่าวในเวทีแห่งหนึ่งว่า แม้เศรษฐกิจไทย จะขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง แต่มีปัญหาเชิงโครงสร้างหลายอย่าง ตอนนี้มีความกังวลเรื่องช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนในเมืองกับคนชนบทมาก จึงต้องเร่งรัดพัฒนาชนบททุกด้าน
นักวิชาการชื่อดังระดับประเทศหลายท่านที่มีความอิสระ ไม่ถูกครอบงำด้วยระบบราชการ เคยฟันธงตรงกันเรื่องความเหลื่อมล้ำ เช่น ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท. ปัจจุบัน ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.โกวิทย์ พวงงาม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รัฐบาลไทยอ้างตัวเลขจีดีพีที่สูงขึ้น สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ดีทุกด้าน แต่ ศ.ดร.พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลของสหรัฐอเมริกา ชี้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี เป็นเพียงชี้วัดรายได้โดยเฉลี่ยของประชาชน แต่ไม่ได้วัดรายได้ทุกคน ตัวอย่างเช่น เมื่อมหาเศรษฐีเดินเข้ามาในบาร์แห่งหนึ่ง ทำให้รายได้เฉลี่ยของลูกค้าพุ่งทันที
แต่ลูกค้าคนอื่นๆของบาร์ไม่ได้รวยขึ้น นักวิชาการระบุว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ คือการสร้างความสมดุลและความเท่าเทียม อาจทำได้หลายวิธี เช่น รัฐบาลออกกฎหมายมรดก เพื่อให้คนรวยเสียสละรายได้ส่วนหนึ่งนำมาเกื้อหนุนคนจน ประเทศไทยก็มีกฎหมายนี้ แต่ไม่สัมฤทธิผล เพราะเปิดช่องให้เลี่ยงภาษีอย่างมโหฬาร
เช่นเดียวกับร่าง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ที่มุ่งเก็บภาษีจากกลุ่มคนรวยมากขึ้น นายสมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง เขียนบทความเล่าว่า ผ่าน ครม.มา 2 ปีเศษแล้ว รวมทั้งผ่าน สนช.ด้วย แต่เรื่องถูกแช่แข็งอยู่ในขั้นคณะกรรมาธิการ เลื่อนการพิจารณาเลื่อนแล้วเลื่อนอีกถึง 8 ครั้ง เดิมจะให้มีผลใช้บังคับในต้นปี 2561 ต่อมาเลื่อนเป็น 2562 และ 2563
...
ทำไมกฎหมายเกี่ยวกับการลดความเหลื่อมล้ำจึงกลายเป็น “โรคเลื่อน” จนในที่สุดกลายเป็นกฎหมายที่เสื่อมคุณภาพ เหตุผลหนึ่ง เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ใน สนช. เป็นผู้มีฐานะเศรษฐกิจดี มีมรดกและที่ดินมาก หลังเลือกตั้งก็หวังไม่ได้ว่า ส.ส.จะเร่งรัดกฎหมายนี้ เพราะ ส.ส.ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มคนที่ร่ำรวย จึงปกป้องผลประโยชน์ตนเป็นธรรมดา
แม้แต่มาตรการลดความเหลื่อมล้ำที่ดีที่สุด คือกองทุนเสมอภาคทางการศึกษา ก็ยังมีจุดอ่อนสำคัญ นั่นก็คือรัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้แค่ 1 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือให้เป็นเงินบริจาค ไม่รู้ว่าจะเพียงพอที่จะลดช่องว่างหรือไม่ เช่น ช่องว่างของโอกาสที่ได้เรียนถึงระดับปริญญาตรีของบุตรหลานคนรวย มีมากกว่าลูกหลานคนจนถึง 6 เท่า จีดีพีที่พุ่งขึ้นจะช่วยได้หรือไม่.