“สังคมผู้สูงอายุ” หรือ “สังคมผู้สูงวัย” เป็นปัญหาที่พูดกันมานานแล้วล่าสุดคือผลการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ระดับ 1 มีผู้มีอายุกว่า 65 ปี 7% ตั้งแต่ปี 2545 คาดว่าในปี 2565 จะก้าวสู่สังคมสูงวัยระดับ 2 มีผู้มีอายุ 65 ปี 14% และก้าวเข้าสู่ระดับ 3 ในปี 2578 เป็นสังคมผู้สูงวัยสมบูรณ์ ระดับรุนแรง

ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในสังคมผู้สูงวัยระดับ 1 ใกล้เคียงกับสิงคโปร์ แต่อีกไม่กี่ปีคือในปี 2565 ก็จะก้าวเข้าสู่ระดับ2 ใกล้เคียงกับเกาหลีใต้ และเป็นสังคมผู้สูงวัยสมบูรณ์ มีผู้มีอายุกว่า 65 ปี ถึง 20% แบบเดียวกับญี่ปุ่นในปี 2578 แต่ต่างกันตรงที่ว่าไทยเป็นสังคมผู้สูงวัยเร็ว ภายใน 20 ปี ประเทศพัฒนาใช้เวลานับ 100 ปี กว่าจะเป็นสังคมสูงวัยสมบูรณ์

ประเทศไทยจึงมีเวลาน้อยกว่าประเทศอื่นๆในการเตรียมรับมือสังคมผู้สูงอายุ จากการศึกษาของ ธปท.ยังพบด้วยว่า นอกจากจะสูงวัยเร็วแล้ว ไทยยังมีปัญหาแรงงานแค่อายุ 45 ปี ออกจากระบบแรงงานก่อนวัยอันสมควร ซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนแรงงาน อันเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่น่าเชื่อว่าเราเคยมีแรงงานเหลือเฟือแต่จะมีปัญหานี้

บางคนอาจคิดว่าเมื่อไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ ย่อมแสดงว่าเราก้าวสู่ความเป็น “ประเทศพัฒนา” เหมือนกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือสิงคโปร์ใช่หรือไม่ แต่คำตอบก็คือไม่ใช่ แม้เศรษฐกิจของไทยจะก้าวหน้ากว่าเพื่อนบ้านหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน แต่คนไทยส่วนใหญ่ “แก่ก่อนรวย” ส่วนสังคมโดยรวมเป็น “สังคมรวยกระจุกจนกระจาย”

ไทยกลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก และบัดนี้เข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว แม้จะอยู่ในระดับ 1 แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะเข้าสู่ระดับ 2 มีปัญหาว่าเราเตรียมพร้อมรับมือหรือยัง แม้ประเทศ ไทยจะมีแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ (2545-2564) ระยะ 20 ปี แต่ไม่ทราบว่าได้เตรียมการพร้อมแค่ไหน หรือเป็นเพียงแผนในแผ่นกระดาษ

...

ผลการสำรวจความเห็นประชาชน โดยนิด้าโพลเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา พบว่าคนไทยมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 26,469 บาท มีรายจ่ายเฉลี่ยเดือนละ 21,606 บาท คนไทย 45% มีรายได้พอกับรายจ่าย แต่ 31.50% มีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย จึงต้องเป็นหนี้ มีเพียง 21.8% มีรายได้มากกว่ารายจ่าย และ 51.6% มีเงินออมเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน

แต่คนไทยมีเงินออมเพื่อใช้หลังเกษียณ เพียง 12.58% แสดงว่ามีคนกว่า 80% ไม่มีเงินออมไว้ใช้ในยามชรา กลายเป็นคนจนเมื่อแก่ ซ้ำยังมีปัญหาหนี้สินจากการกู้ยืม เรื่องที่น่ากังวลที่สุดก็คือ ส่วนใหญ่กู้ยืมเพื่อบริโภค เป็นหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ คนไทยผู้สูงวัยส่วนใหญ่จึงมีหลักประกันที่แน่นอนที่สุดเพียงอย่างเดียวคือเบี้ยยังชีพคนละ 600 ถึงพันบาท.