เมื่อวันศุกร์สิ้นเดือน คุณทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนฯ ได้แถลงถึง “สภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ปี 2561” ผมเห็นข้อมูลสังคมไทยที่สภาพัฒนฯนำมาแถลงแล้ว น่าตกใจมาก แม้จะมีเรื่องดีบ้าง แต่เรื่องแย่มีมากกว่า ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ วันนี้ไทยมีผู้ต้องขังสูงอันดับ 6 ของโลก (ข้อมูลจาก World Prison Brief) อันดับ 3 ในเอเชีย รองจาก จีน (ประชากร 1,400 ล้านคน) อินเดีย (ประชากร 1,300 กว่าล้านคน) มีผู้ต้องขัง 514 คนต่อประชากร 100,000 คน สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก อันดับ 2 ในเอเชีย
ประเทศไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
ในฉบับวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมได้ตั้งข้อสังเกตถึง ผู้ออกกฎหมาย ในประเทศไทยว่า ต้องป่วยเป็นอะไรสักอย่าง จึงชอบเขียนกฎหมายให้คนติดคุก แม้เป็นความผิดเล็กน้อยก็ให้ลงโทษติดคุกหมด จนมีนักโทษล้นคุกในวันนี้ ยิ่งเห็นจำนวนคนติดคุกของไทยสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก อันดับ 2 ในเอเชีย ก็ยิ่งสะท้อนว่า สังคมไทยต้องมีความผิดปกติแน่นอน โดยเฉพาะกฎหมายไทย
สภาพัฒนฯ ระบุว่า นับถึงไตรมาส 2 ของปี 2561 ประเทศไทยมีผู้ต้องขังติดคุกถึง 355,543 คน ขณะที่เรือนจำสามารถรองรับผู้ต้องขังได้ประมาณ 200,000 คน ก่อให้เกิดความแออัดในเรือนจำ เกิดความไม่เพียงพอของเจ้าหน้าที่ มีเจ้าหน้าที่ 1 คนต่อผู้ต้องขัง 27 คน ตํ่ากว่ามาตร-ฐานที่สหประชาชาติกำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ 1 คนต่อผู้ต้องขัง 5 คน ส่งผลต่อการควบคุม และการแก้ไขพัฒนาพฤตินิสัย และการกระทำผิดซํ้า เป็นภาระงบประมาณจำนวนมาก และต้นทุนการเสียโอกาสจากกำลังแรงงานที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจ แม้หลังปล่อยตัวออกมาแล้ว ก็ถูกตีตราทำให้ไม่อาจกลับเข้าทำงานได้
เห็นไหมครับ กฎหมายที่มุ่งให้คนติดคุก แทนที่จะลงโทษเพื่อให้กลับตัวเป็นคนดี ได้ทำร้ายสังคมไทย และบ่อนทำลายเศรษฐกิจของชาติมากเพียงใด
...
สภาพัฒนฯ ระบุว่า กฎหมายไทยใช้กระบวนการทางอาญาในการระงับข้อพิพาทเป็นหลัก แม้ว่าพฤติกรรมนั้นจะเป็นเพียงการกระทำผิดที่ไม่ใช่อาญากรรมโดยแท้ เช่น การทำผิดกฎหมายจราจร (ที่กรมการขนส่งทางบกเพิ่งถูกสังคมจวกเละ ขับรถไม่มีใบขับขี่เพิ่มโทษติดคุก 3 เดือน ปรับ 50,000 บาท ไม่รู้เอาอะไรคิด) การจ่ายเช็คที่ไม่มีเงินในบัญชี การหมิ่นประมาท ฯลฯ ตลอดจน การกำหนดโทษที่ขาดทางเลือก ส่วนใหญ่เป็นการจำคุกและปรับ โทษปรับมักกำหนดต่ำกว่าระดับที่เหมาะสมมาก เนื่องจากไม่ได้ปรับตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้มีการเลือกลงโทษจำคุกแทน ก่อให้เกิดคดีล้นศาลผู้ต้องขังล้นเรือนจำ
นอกจากนี้ คดียาเสพติด ที่เป็นสาเหตุใหญ่ของการกระทำผิด กฎหมายมีความแข็งตัวไม่ตรงกับพื้นฐานความเป็นจริง เช่น การกำหนดนิยาม “ผู้ผลิต” และ “ผู้จำหน่าย” ที่ กำหนดผู้ครอบครองยาเสพติดมากกว่า 15 เม็ด เป็นผู้ครอบครองเพื่อจำหน่าย ถ้านำมาแบ่ง แม้จะเพื่อเสพก็เข้าข่ายเป็นผู้ผลิต ซึ่งได้รับโทษที่ต่างกันมาก ทำให้ผู้เสพติดได้รับโทษสูงเท่ากับผู้ค้า และเป็นผู้ต้องขังมากกว่าร้อยละ 30
สภาพัฒนฯ ได้เสนอแนวทางแก้ไขที่เป็นประโยชน์หลายข้อ เช่น ปรับปรุงกฎหมาย โดยให้ผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี (กรณีที่ไม่เป็นอันตรายต่อสังคมหรือทำให้คดียุ่งเหยิง) อยู่นอกเรือนจำมากขึ้น การกำหนดให้ความผิดทางอาญาบางประเภทเป็นความผิดอันยอมความได้ หรือ ยกเลิกการลงโทษทางอาญาสำหรับความผิดทางอาญาบางประเภทที่มีฐานความผิดทางแพ่ง โดยกำหนดให้ใช้โทษอย่างอื่นแทนการจำคุก เป็นต้น
ผมหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะนำข้อเสนอดีๆเหล่านี้ไปแก้ไขเร่งด่วน เพื่อให้สังคมไทยดีขึ้น โดยเฉพาะกฎหมายอาญาที่ไม่เป็นธรรมน่าจะใช้อำนาจ ม.44 กำหนดโทษใหม่ ตามที่สภาพัฒนฯเสนอ ซึ่งสามารถทำได้ทันทีจะช่วยสร้างสรรค์ให้สังคมไทยน่าอยู่ยิ่งขึ้น ก่อนถึงวันเลือกตั้ง ทำดีอย่างนี้ไปเรื่อยๆคะแนนนิยมก็มาเองแหละ เชื่อผมเถอะ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”