สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ จะเปิดฉากขึ้นในอีกสองวันข้างหน้านี้ ใครจะนองเลือดกว่าใคร ต้องดูกันต่อไป ในความเห็นผม สหรัฐฯอาจลำบากกว่าจีน คนยากจนสุดๆในสหรัฐฯกว่า 40 ล้านคน ยังต้องพึ่งสินค้าราคาถูกจากจีนเพื่อยังชีพ ชนชั้นกลางในสหรัฐฯก็ต้องพึ่งสินค้าราคาถูกจากจีนเช่นกัน ที่สำคัญ เกษตรกรสหรัฐฯส่วนใหญ่ ก็ต้องพึ่งตลาดจีน สงครามการค้าครั้งนี้ ผมจึงคาดว่า ชาวอเมริกันที่ยากจนและเกษตรกรสหรัฐฯนับ 100 ล้านคนจะเดือดร้อนแน่นอน แต่ผู้นำที่ไร้สติอย่าง ประธานาธิบดีทรัมป์ คงไม่รู้สึกอะไร ถือเป็นกรรมของชาวอเมริกันที่เลือกผู้นำผิด

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม สินค้าจีน 1,100 รายการจะถูกสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้า 25% คิดเป็นมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ 1.65 ล้านล้านบาท จีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 25% สินค้าสหรัฐฯ 659 รายการ คิดเป็นมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

แม้สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ จะเปิดฉากในวันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคมนี้ แต่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ก็ยังเชื่อมั่นว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลัง ดีไม่ดีอาจเป็นโอกาสของประเทศไทยด้วยซ้ำ

ดร.สมคิด กล่าวว่า ขณะนี้ต่างประเทศให้การยอมรับไทยสูงมาก นักลงทุนต่างประเทศมองประเทศไทยเป็น จุดศูนย์กลางของภูมิภาค ทั้งกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) และ อาเซียน ดังนั้น ไทยจึงมีแรงดึงดูดในตัวเองอยู่แล้ว ช่วงนี้โมเมนตัม กำลังดี งานขับเคลื่อนกำลังเดินหน้า เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องการเห็น ปีนี้โดยเฉลี่ยเศรษฐกิจจะเติบโตเกิน 4% ขึ้นไป มากน้อยอยู่ที่ตัวเราเอง จึงเชื่อว่าอนาคตประเทศไทยค่อนข้างสดใส ไม่ห่วงเลยว่าใกล้วันเลือกตั้งแล้วจะเป็นอย่างไร

ความเชื่อมั่นของ ดร.สมคิด สอดคล้องกับ องค์การค้าโลก WTO ที่ออกมาระบุว่า การค้าโลกปี 2017 เพิ่มขึ้นถึง 4.7% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 เพิ่มแบบก้าวกระโดดจากปี 2016 ที่เพิ่ม 1.8% กำลังซื้อมาจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นของประเทศในเอเชีย องค์การค้าโลก เชื่อว่า สงครามการค้าที่สหรัฐฯก่อขึ้น อาจส่งผลดีต่อตลาดเอเชียจำนวนหนึ่ง เมื่อบริษัทต่างๆ เริ่มมองหาแหล่งสินค้าจากประเทศอื่นแทนสหรัฐฯ

...

ตรงนี้แหละ จะเป็นโอกาสดีของประเทศไทย ทั้ง สหรัฐฯ และ จีน ต่างก็เป็นลูกค้าใหญ่ของไทยใน เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกล ข้าว ยาง น้ำตาล รวมทั้ง ยุโรป ญี่ปุ่น ตลาดส่งออก เครื่องคอมพิวเตอร์ รถยนต์ เครื่องยนต์ โทรศัพท์และอุปกรณ์ แผงวงจรไฟฟ้า ไปจนถึง ตลาดเอเชียใต้ อินเดีย รัสเซีย ฯลฯ

ไทยมีสินค้าที่ สหรัฐฯ และ จีน ต้องนำเข้าเพื่อชดเชยสงครามการค้าเกือบทุกอย่าง

ธนาคารซิตี้แบงก์ ก็มีรายงานการค้าในภูมิภาคเอเชียว่า ช่วงเดือนเมษายน 2017-มีนาคม 2018 การค้าระหว่างจีนกับอาเซียนเพิ่มขึ้นถึง 66% การค้าระหว่าง เกาหลีใต้ กับ อินเดีย ก็เพิ่มขึ้น 55% ทำให้ภาพรวมการค้าในเอเชียด้วยกันเพิ่มขึ้นถึง 26%

ข้อมูลที่ผมนำมาอ้างอิงจะเห็นว่า การค้าโลกในอนาคต อาจไม่จำเป็นต้องพึ่งสหรัฐฯเป็นลูกค้ารายใหญ่รายเดียวอีกต่อไป สงครามการค้าโลกที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ก่อขึ้นกับมิตรคู่ค้า จีน ยุโรป แคนาดา เม็กซิโก ญี่ปุ่น อินเดีย รัสเซีย ไทย และอีกหลายประเทศในเอเชีย อาจเป็นนโยบายที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ จน ทำลายเศรษฐกิจสหรัฐฯเอง และ ทำให้สหรัฐฯอาจถูกโลกโดดเดี่ยวจนอยู่ไม่ได้ ก็เป็นไปได้

คุณพรชัย ฐีระเวช โฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า กระทรวงการคลัง กำลังพิจารณา ปรับจีดีพีเศรษฐกิจไทยปี 2561 เพิ่มจาก 4.2% เป็น 4.5% ในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นรอบการ ทบทวนภาวะเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ การลงทุนเอกชนก็ฟื้นตัว รายได้ เกษตรกรก็เพิ่มขึ้น 9% สูงสุดในรอบ 13 เดือน

ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ เศรษฐกิจไทย จะ “เติบโตจากภายใน” เสียที เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี แทนการพึ่งการส่งออกและการท่องเที่ยวเพียงสองเครื่องยนต์ เอสเอ็มอีไทย จะได้ลืมตาอ้าปากจริงๆเสียที.

“ลม เปลี่ยนทิศ”