นับเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าตนเป็น “นักการเมือง” เต็มตัว ในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันพุธ “วันนี้ผมต้องเปลี่ยน เพราะผมไม่ใช่ทหาร แต่เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร มันก็ต้องมีนิสัยทหารอยู่บ้าง” ก่อนหน้านี้ เคยยืนยันมาโดยตลอดว่าตนไม่ใช่นักการเมือง เป็นทหารที่เข้ามาแก้ไขปัญหาประเทศ
แม้นายกรัฐมนตรีจะไม่ยอมรับตรงๆว่า “จะเป็นนักการเมืองยาวๆไปเลยหรือไม่” แต่ตอบเลี่ยงๆว่า ไม่เคยอยากเป็นสักวัน ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ แต่ด้วยหน้าที่ความจำเป็น จึงต้องรับผิดชอบด้วยชีวิต จากคำตอบนี้อาจตีความได้ว่าต้องการอยู่ในอำนาจต่อไป แต่จะยาวนานแค่ไหนไม่รู้ และคงต้องเริ่มต้นด้วยการจับมือนักการเมือง หรือพรรค การเมืองใหม่
การที่ทหารผันตัวมาเป็นนักการเมือง เป็นเรื่องปกติสำหรับการเมืองไทย หัวหน้าคณะรัฐประหารสืบทอดอำนาจด้วยการเป็นนายกรัฐมนตรีมาหลายคน จนกลายเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อเป็นนักการเมืองก็ต้องปฏิบัติตามกติกาการเมืองเริ่มต้นด้วยยอมรับว่าการเมืองคือการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และใช้อำนาจตามที่เห็นควร
จะต้องยึดกติกาที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ไม่เอาเปรียบคู่ต่อสู้ เช่น เดินสายหาเสียงอย่างอิสระเสรี แถมยังโปรยเงินภาษีให้ประชาชนทุกภาค แต่ขณะเดียวกันกลับ “แช่แข็ง” นักการเมือง ห้ามเคลื่อนไหวใดๆ คล้ายกับ “มัดมือชก” ห้ามแม้แต่การประชุมพรรค เพื่อเลือกคณะกรรมการพรรค และตรวจสอบสมาชิกเพื่อความแน่นนอน ตามกฎหมายการเลือกตั้ง
นายกรัฐมนตรีกล่าวยํ้ามาโดยตลอดว่า ต้องการธรรมาภิบาล มีการเลือกตั้งที่ยุติธรรม มีพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า การสร้างธรรมาภิบาลทำได้ง่ายสุดในสังคมประชาธิปไตย ต้องเริ่มต้นจากผู้มีอำนาจ และยึดหลักนิติธรรม คือ การปกครองที่ยึดหลักกฎหมาย ถือว่าทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน รวมทั้งยึดหลักความโปร่งใส
...
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการ กกต. วิจารณ์ว่า ในปัจจุบันยังห่างไกลจากนิติธรรม เช่น รัฐธรรมนูญกำหนดคุณสมบัติกรรมการองค์กรอิสระไว้สวยหรู แต่กฎหมายลูกยกเว้นให้กรรมการองค์กรอิสระบางแห่งอยู่ในตำแหน่งต่อไปแม้จะขาดคุณสมบัติ รัฐธรรมนูญให้เลือกตั้งให้เสร็จภายใน 5 เดือน หลังมี ก.ม.ลูก 4 ฉบับ แต่ผู้มีอำนาจบอกว่าถ้ายังขัดแย้งอาจไม่มีเลือกตั้ง
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงบางตัวอย่างของธรรมาภิบาล ซึ่งจะต้องเริ่มที่นิติธรรมและความโปร่งใส ซึ่งสามารถปลูกฝังได้ง่ายสุดในสังคมประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยยึดหลักการคล้ายกับธรรมาภิบาล แต่ถ้าเป็นระบอบเผด็จการ แค่นิติธรรมและความโปร่งใสก็เป็นไปได้ยาก เพราะเผด็จการมักจะถือบุคคลเป็นใหญ่กว่ากฎหมาย และยึดระบบเพื่อนพ้องน้องพี่.