ปีนี้ใครที่มาหาไม่ได้เจอหน้า แทนการพูดจา ผมขอคัดย่อธรรมะหัวข้อ วิธีบริหารจัดการความโลภ...กิเลส MANAGEMENT (สำนักพิมพ์ปราณ พ.ศ.2555) ของท่าน ว.วชิรเมธี ให้เป็นของขวัญ

ความโลภ...ที่เรารู้จัก เรียกให้ง่ายก็คือความอยาก แบ่งออกเป็น ตัณหา ความอยากได้ อยากเป็น อยากทำลาย ฉันทะ ความอยากอะไรให้ดี อยากสร้างสรรค์ อยากพัฒนา

คนคนหนึ่ง เห็นดอกไม้ผลิบานแล้วรู้สึกสดชื่นรื่นรมย์มีความสุขที่จะเห็นดอกไม้นั้นบานอยู่บนต้นต่อไป นี่ล่ะ ความอยากฝ่ายดี ที่เรียก ฉันทะ

อีกคน เห็นดอกไม้ผลิบานแล้วเดินเข้าไปเด็ดมาปักแจกันเอาไว้ดูคนเดียว ความอยากอย่างนี้ เป็นความอยากฝ่ายไม่ดี ที่เรียก ตัณหา

ทุกครั้งที่เกิดความอยาก ถามตัวเองว่า สิ่งที่เราอยากนั้น มี “คุณค่า” ที่แท้จริงอยู่ตรงไหน ถ้าอยากในสิ่งใด แล้วเตือนตนให้มุ่งไปยังคุณค่าแท้จริงของสิ่งนั้นด้วยปัญญา

ความอยากก็จะเป็นกุศล บรรลุวัตถุประสงค์ที่แท้ของสิ่งที่ตนอยาก เมื่อความอยากได้รับการพัฒนา ชีวิตก็พัฒนา ความสุขก็เกิดตามมา

ถ้าอยากด้วยตัณหาล้วนๆ ชีวิตจะเหนื่อยโดยไม่จำเป็นเพิ่มขึ้น การวิ่งตามตัณหาคือการขยายทุกข์ที่มีอยู่แล้วตามธรรมดา ให้กลายเป็นทุกข์ก้อนโตของชีวิต

การกิน สำนวนไทยท่านใช้คำว่า กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่ อยู่เพื่อกิน กินเพื่อบำบัดความหิว ให้ร่างกายมีสุขภาพ ไม่ใช่มุ่งที่รสอร่อย

เสื้อผ้าก็มุ่งไปที่ปกปิดอวัยวะ เพื่อป้องกันหนาวร้อน เพื่อความปลอดภัย เพื่ออยู่ในสังคมอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับกาลเทศะ

ไม่หน้ามืดตามัว มุ่งไปที่ราคาแพง รสนิยมหรู หรือกำลังทันสมัย

ที่อยู่อาศัยก็มุ่งไปที่เหมาะสมกับความจำเป็น สอดคล้องกับฐานะ ยาก็มุ่งที่ความสบายหายโรค รถก็มุ่งไปที่ประโยชน์ใช้สอย ไม่ใช่มุ่งมีไว้ขับอวดใครให้โก้หรู

...

นาฬิกาก็มุ่งไปที่การบอกเวลา ไม่ใช่บอกความอัครฐานทางการเงิน จนก่อทุกข์ให้โดยไม่จำเป็น

การบริโภคด้วยสติปัญญา เรียกว่า การบริโภคด้วยคุณค่าแท้ ส่วนการบริโภคอย่างขาดสติ เรียกว่า บริโภคด้วยคุณค่าเทียม

การบริโภคด้วยคุณค่าเทียม ที่เด่นก็คือ การบริโภคอุปาทานที่พ่วงมากับ “ตราสินค้า” หรือ “แบรนด์เนม” ต้องจ่ายด้วยเงินมหาศาล ผลาญเวลาของชีวิต แต่ได้คุณค่าต่อชีวิตไม่มาก

ลูกศิษย์ท่าน ว. คนหนึ่ง ลืมโทรศัพท์ไว้ในรถเพื่อนที่ขับไปมหาวิทยาลัย ทำท่าเหมือนองค์ลงประทับ เหมือนคนเสี้ยนยา โทรศัพท์ไม่มี เหมือนชีวิตจะไปต่อไม่ได้

ความสุขไม่จำเป็นต้องเกิดจากการมีมากๆเสมอไป บางครั้งการมีน้อยหรือมีเท่าที่จำเป็นก็ทำให้ปลอดภาระ จิตใจไม่มีความกังวล ก่อให้เกิดความสุขได้เหมือนกัน

มนุษย์สามารถมีความสุขจากความมี มีความสุขจากความดี มีความสุขจากความรู้ มีความสุขจากความสงบ ที่เรียก สมาธิสุข มีความสุขจากความเป็นอิสระจากความอยาก

ประการสุดท้าย มีความสุขจากการเจริญมรณสติ กวีนิพนธ์บทหนึ่งว่า เมื่อเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน เมื่อเจ้ามาตัวเปล่าจะเอาอะไร เจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา

ท่าน ว. จบหัวข้อนี้ว่า ความอยากเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง การเป็นอิสระจากความอยากก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง พุทธพจน์บทหนึ่งว่า วิคติจฉานัง นโม กโรม เส ผู้ที่ตัดความอยากเสียได้ข้าพเจ้าขอน้อมไหว้จากใจจริง.

กิเลน ประลองเชิง