ข่าวพระประกาศคว่ำบาตร พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ จนเป็นเหตุให้ถูกย้ายจากตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนา ไปช่วยราชการสำนักนายกฯ ทำให้ผมตั้งใจอ่านเรื่อง ตักบาตรถามพระ

(เรื่องข้างสำรับ สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ พ.ศ.2559)

ส.พลายน้อย เล่าว่า ท่านบวชพระแบบมหานิกาย เวลาออกบิณฑบาต ใช้สะพายบาตร ขณะที่เพื่อนท่านบวชแบบธรรมยุติกนิกาย อุ้มบาตรด้วยมือเปล่า

เพื่อนเล่าว่า ออกบิณฑบาตวันแรก เจอชาวบ้านหุงข้าวสุกร้อนๆ ใส่บาตร หลายๆบ้านเข้าบาตรก็ร้อนมาก กว่าจะกลับถึงวัด ฝ่ามือที่อุ้มบาตรร้อนจนเกือบสุก

เรื่องที่เพื่อนพระธรรมยุติเจอ ไม่รุนแรงเหมือนที่พระธรรมยุติเจอ ในสมัยรัชกาลที่ 3

ครั้งนั้น พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงผนวช และได้ทรงตั้งธรรมยุตินิกาย เป็นเหตุให้กรมหลวงรักษ์รณเรศ ซึ่งเป็นศิษย์พระมหานิกาย ไม่พอพระทัย เมื่อพระธรรมยุติเข้าไปรับบาตรในวัง ก็โปรดให้เอาข้าวต้มร้อนๆใส่บาตร

พระท่านร้อนจนทนไม่ไหว โยนบาตรทิ้ง เลยถูกจับข้อหาทำให้วังเป็นอัปมงคล บังคับให้พระยืนเท้าเดียวสวดภาณยักษ์ แก้อัปมงคล

กรมหลวงรักษ์รณเรศพระองค์นี้เอง วันที่ต้องโทษ ถูกรัชกาลที่ 3 สั่งประหาร เป็นวันที่มีคนเอาพระพุทธรูปศิลาจากชวามาถวายพระจอมเกล้า ที่วัดบวรฯ ท่านตั้งชื่อพระองค์นี้ว่า ไพรีพินาศ

เรื่องเล่าเอาข้าวต้มร้อนใส่บาตรพระ แสดงว่า พระไม่มีทางเลี่ยง ใครจะเอาอะไรมาใส่บาตร ท่านก็ต้องรับ

แต่ตามพระวินัย พระท่านรับอาหารไม่ได้หลายอย่าง ตั้งแต่เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้องู เสื้อสิงโต เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อหมี เนื้อเสือดาว...ถ้ารับไปฉันต้องอาบัติถุลลัจจัย

เหตุที่พระพุทธเจ้าห้ามฉันเนื้อเสือ เนื้อหมี ฯลฯ ท่านมีเหตุผล โดยปกติพระต้องเดินป่า ถ้าฉันเสื้อสัตว์เหล่านี้ จะมีกลิ่นตัว เรียกสัตว์ป่าเข้ามาทำร้าย

...

แม้สัตว์ที่ไม่ทรงห้าม เช่น หมู วัว ควาย ถ้าพระรู้ว่าเขาตั้งใจฆ่าเพื่อทำอาหารถวาย พระท่านก็ไม่ฉัน

พระที่เคร่งมาก หอยดอง ปูดอง เป็นของดิบ ท่านก็ไม่รับ ท่านฉันได้แต่ของสุก

แต่ถ้าเป็นหอยสุก ปูสุก พระพุทธเจ้าเมื่อเห็นว่าเป็นความจำเป็น ท่านก็ทรงอนุญาต

ครั้งหนึ่ง พระภิกษุรูปหนึ่งป่วยเป็นโรคในหู รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ก็ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า

ชาวพุทธรู้กันดีว่า ก่อนมาบวชเป็นพระ เจ้าชายสิทธัตถะสำเร็จในศิลปะ 18 ประการ และหนึ่งในศิลปะที่ทรงเชี่ยวชาญนั้น คือวิชาแพทย์

ทรงรู้ว่า ทำอย่างไรจะรักษาหาย จึงตรัสแนะว่า ให้ไปบิณฑบาตที่ท้องนาชาวมคธ

พระภิกษุรูปนั้น แน่ใจว่าเป็นคำตรัสแนะที่มีประโยชน์ ก็ไปบิณฑบาต เวลาที่ชาวนาเมืองมคธกำลังหุงข้าวแกงปูกินเป็นอาหารมื้อเช้าพอดี เห็นพระมา ชาวนาก็ตักข้าว ตักแกงปูถวาย

รับบาตรแล้ว พระท่านก็นั่งฉันข้าวแกงปูมื้อนั้นอย่างเดียว

ฉันแกงปูแล้ว โรคเรื้อรังในหูก็หาย เป็นที่น่าอัศจรรย์

เรื่องนี้มีบันทึกไว้ในพุทธประวัติว่า พระพุทธเจ้าทรงรู้จักปูดี มีทั้งโทษมีทั้งคุณ ปูแม้เป็นศัตรูในนาข้าว แต่อีกด้านก็เป็นอาหาร และที่สำคัญปูเป็นยารักษาโรคในหู

พระฉันแกงปูได้ ไม่เป็นอาบัติ เพราะชาวนาตั้งใจแกงปูไว้กินเอง ไม่ได้ตั้งใจจับปูแกงถวายพระ

เรื่องนี้ ก็จบลงได้ตรง...ชาวนาแกงปูถวายพระ โดยไม่ได้ถามพระ...โดยไม่รู้ด้วยว่า ทำยาวิเศษรักษาโรคในหูให้พระ...ได้กุศลเป็นสองเท่า...แบบว่า ยังไม่ทันตาย พระอินทร์ชักรถมารับไปขึ้นสวรรค์ทันที นั่นเทียว.

กิเลน ประลองเชิง