(แฟ้มภาพ : REUTERS)
เดลล์ เทคโนโลยี ร่วมกับ สถาบันเพื่ออนาคต Institute for the Future เผยแพร่บทวิจัยเรื่อง The Next Era of Human–Machine Partnership ความเป็นหุ้นส่วนระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรในยุคหน้า เป็นการวิจัยถึง เทคโนโลยีเกิดใหม่ Emerging Technology ในอนาคตที่จะมีผลกระทบต่อสังคมมนุษย์ในปี 2030 อีก 13 ปีข้างหน้า
เป็นงานวิจัยที่น่าสนใจยิ่ง เมื่อ เทคโนโลยีเกิดใหม่ มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตและอาชีพการงานในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ
งานวิจัยระบุว่า ปี 2030 องค์กรทุกแห่งจะกลายเป็น องค์กรด้านเทคโนโลยี อันเป็นผลมาจาก “เทคโนโลยีเกิดใหม่” เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หุ่นยนต์ (Robotics) เทคโนโลยีความจริงเสมือน (Virtual Reality) เทคโนโลยีในโลกเสมือนจริงผสานกับโลกจริง (Augmented Reality) และ คลาวด์ คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) การจัดเก็บข้อมูลและประมวลผลในโลกออนไลน์ ทำให้ทุกองค์กรธุรกิจต้องปรับตัว เพื่อรับมือกับโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังเปลี่ยนไปในอนาคต
รายงานระบุว่า ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเกิดใหม่ ซอฟต์แวร์ บิ๊กดาต้า และ พลังการประมวลที่รวดเร็ว จะพลิกโฉมการใช้ชีวิตของผู้คนและการทำงานในทศวรรษหน้า สังคมโลกจะเปลี่ยนเข้าสู่ปฐมบทใหม่ ความเป็นหุ้นส่วนระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร Human–Machine Partnership
ด้วยประสิทธิภาพของ เทคโนโลยีเกิดใหม่ จะช่วยให้ มนุษย์อยู่เหนือข้อจำกัดทั้งปวง และ “มนุษย์” จะมีบทบาทเป็น “ผู้ควบคุมดิจิทัล” โดยเทคโนโลยีทำหน้าที่เป็นส่วนขยาย ช่วยให้การควบคุมและการจัดการชีวิตประจำวันดีขึ้น งานจะวิ่งเข้าหาผู้คน จากเทคโนโลยีจับคู่ที่ล้ำหน้า ช่วยให้องค์กรสามารถเฟ้นหาผู้ที่เหมาะสมกับงานจากทั่วโลก
...
และจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ ผู้นำโลกไม่สามารถทำนายอุตสาหกรรมในอนาคตได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป สอดคล้องกับ ดัชนีการปฏิรูปดิจิทัลของเดลล์ ที่ระบุว่า กว่าครึ่งขององค์กรธุรกิจเชื่อว่า มีความเป็นไปได้ที่บริษัทของตนจะถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังภายใน 3–5 ปีข้างหน้านี้
เขียนแล้วผมก็รู้สึกเป็นห่วงอนาคตประเทศไทยขึ้นมาทันที รัฐบาล คสช. เพิ่งประกาศใช้ พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี บังคับให้ทุกรัฐบาลในอนาคตต้องทำตามยุทธศาสตร์ที่ คสช.กำหนดในวันนี้ เพื่อสร้างสังคมที่มั่งคั่งยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในอีก 20 ปีข้างหน้า แต่ผลวิจัยของ สถาบันเพื่ออนาคต กลับระบุว่า 3–5 ปีข้างหน้า องค์กรธุรกิจที่ตามไม่ทันเทคโนโลยีเกิดใหม่กว่าครึ่งในโลกจะถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง
อีก 20 ปีข้างหน้า ไม่รู้ประเทศไทยจะอยู่ตรงไหน
กลับมาที่ เทคโนโลยีเกิดใหม่ กันต่อครับ หนึ่งในนั้นคือ Artificial Intelligence (AI) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ที่นักวิทยาศาสตร์ฝันหวานเอาไว้ค่อนข้างมาก แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน ปัญญาประดิษฐ์สองตัว Bob กับ Alice ของ Facebook ที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก สร้างขึ้นมาทดลอง “ทักษะการเจรจาต่อรอง” โดยมี “รางวัล” เป็นตัวกระตุ้น เพื่อให้เอไอสองตัวเจรจาต่อรองกัน เพื่อให้ได้รับสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ก็ได้
สร้างปรากฏการณ์ที่ช็อกโลกขึ้นมา เมื่อ Bob และ Alice ได้พัฒนาปัญญาตัวเอง ด้วยการ “สร้างภาษาใหม่ของตัวเอง” ขึ้นมาเจรจาต่อรองกันเอง โดยผู้วิจัยฟังไม่รู้เรื่อง ถอดรหัสไม่ได้
ทำให้ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ตัดสินใจสั่ง ปิดสวิตช์ปัญญาประดิษฐ์ สองตัวนี้ทันที
ก่อนหน้านี้ อิลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง รถยนต์ไฟฟ้าเทสลา เคยวิจารณ์ หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ว่า ในอนาคตอาจเฉลียวฉลาดจนเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติได้ และสนับสนุนให้รัฐบาลออกกฎเกณฑ์ควบคุม เพื่อลดความเสี่ยงของมนุษย์ แต่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้หลงใหลในเอไอกลับโต้ว่า อิลอน มัสก์ ไม่มีความรับผิดชอบ มีความรู้เรื่องนี้จำกัด แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ปัญญาประดิษฐ์ 2 ตัวของเฟซบุ๊ก ในครั้งนี้ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก คงจะได้เรียนรู้แล้วว่า มันอันตรายจริง.
“ลม เปลี่ยนทิศ”