รัฐบาลชูสโลแกน Quick Big Win ทำเร็ว ทำให้ใหญ่และ เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย กำหนดนโยบาย 4 ด้าน 4 เดือน บรรเทาภาระค่าครองชีพและช่วยเหลือปากท้องของประชาชนเป็นลำดับแรก แต่ภารกิจคู่ขนานที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือการวางรากฐานทางเศรษฐกิจการคลังที่แข็งแกร่ง สิ่งหนึ่งที่คุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง สามารถทำได้ทันทีภายใต้เวลาจำกัดคือ การเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บรายได้ด้วยการแก้ไขกฎหมายในระดับกระทรวง ปรับโครงสร้างภาษีบางประเภทที่ได้ศึกษาไว้แล้วกรณีที่เห็นได้ชัดเจนและมีข้อมูลพร้อมคือ ภาษีสรรพสามิต แม้ในปีงบประมาณ 2568 กรมสรรพสามิตจะจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้า 5.3 แสนล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 2.17% แต่เมื่อเจาะดูไส้ในจะพบว่า ภาษีสุราและภาษีบุหรี่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 8.8% และ 7.3% การลดลงของภาษีสุราเกิดจากการบริโภคชะลอตัว ส่วนภาษีบุหรี่นั้นจัดเก็บลดลงต่อเนื่องมาตลอด 5 ปี ซึ่งกรมสรรพสามิตทำการศึกษาการปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีมาตลอดปัจจุบันประเทศไทยใช้โครงสร้างภาษียาสูบแบบ 2 อัตรา เริ่มใช้มาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 โดยเริ่มแรกกำหนดให้มีการจัดเก็บ ตามปริมาณ มวนละ 1.20 บาท และ ตามมูลค่า ที่หากราคาไม่เกิน 60 บาทต่อซอง จัดเก็บอยู่ที่ 20% ของราคาขายปลีกแนะนำ และหากราคาเกิน 60 บาทต่อซอง จัดเก็บที่ 40% ของราคาขายปลีกแนะนำ ช่วงแรกของการใช้โครงสร้างภาษีแบบนี้ กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีได้ลดลง แต่ยังคงรักษาระดับ 6 หมื่นล้านบาทต่อมามีการปรับขึ้นอัตราภาษีอีกครั้ง หวังใช้กำแพงด้านราคามาลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ โดยตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 ได้ปรับอัตราภาษีขึ้นเป็นจัดเก็บตามปริมาณ มวนละ 1.25 บาท และตามมูลค่า ที่หากราคาไม่เกิน 72 บาทต่อซอง จัดเก็บอยู่ที่ 25% ของราคาขายปลีกแนะนำ และหากราคาเกิน 72 บาทต่อซอง จัดเก็บที่ 42% ของราคาขายปลีกแนะนำ ปรากฏว่าการปรับขึ้นอัตราภาษีครั้งนี้ส่งผลให้รายได้จากภาษีดิ่งลงอย่างรุนแรง จากที่เคยเก็บได้ 6.4 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ลดลงเหลือ 5.9 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และเหลือเพียงราว 4.7 หมื่นล้านบาทในปี 2568 ต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี เมื่อมองในมุมสุขภาพ ระบบการจัดเก็บภาษีแบบนี้ทำขึ้นเพื่อลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ แต่ผลการสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากร โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2564 ผู้สูบบุหรี่ในไทยมีจำนวน 9.9 ล้านคน และผลการสำรวจปี 2567 ผู้สูบบุหรี่มีจำนวน 9.8 ล้านคน ตัวเลขลดลงเพียงเล็กน้อย ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ขณะเดียวกันพบว่าผู้สูบบุหรี่ไทยนิยมสูบบุหรี่มวนโรงงานเพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในปี 2564 เป็น 12.6% ในปี 2567 สวนทางกับการจัดเก็บภาษียาสูบที่ลดลง สะท้อนว่าบุหรี่มวนโรงงานที่คนนิยม อาจไม่ใช่บุหรี่โรงงานที่เสียภาษีสรรพสามิตอย่างถูกกฎหมายเสมอไป ที่ผ่านมามีการหยิบยกแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างภาษียาสูบจากหลายหน่วยงานทั้งไทย และต่างประเทศ ที่มีข้อเสนอไปในแนวทางเดียวกันคือ การเปลี่ยนไปสู่โครงสร้างภาษีแบบอัตราเดียว เช่นรายงานเรื่อง Tobacco Tax Reform at the Crossroads of Health and Development: A Multisector Perspective ปี 2560 ของธนาคารโลก ระบุว่า การจัดเก็บด้วยโครงสร้างภาษีหลายอัตรานั้นไม่มีประสิทธิภาพ เพราะทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าในกลุ่มราคาถูกมากกว่า ไม่ตอบโจทย์ทั้งด้านสาธารณสุข และรายได้รัฐที่จะจัดเก็บได้น้อยลง เพราะสินค้ากลุ่มราคาถูกมีสัดส่วนภาษีที่น้อยกว่านอกจากนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเคยเผยแพร่การศึกษาในปี 2564 อ้างอิงคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้ใช้โครงสร้างภาษียาสูบที่มีความเรียบง่ายต่อการจัดเก็บ เพราะโครงสร้างที่ซับซ้อนจะเปิดช่องให้เกิดการเลี่ยงภาษี และจูงใจให้สร้างผลิตภัณฑ์ที่เสียภาษีต่ำ กระทบต่อโครงสร้างตลาด และพฤติกรรมของผู้บริโภค จึงควรมีระบบภาษียาสูบแบบอัตราเดียว โดยเฉพาะกรณีที่แยกตามราคาขายปลีกรัฐบาลยุคหลังๆใช้เงินเก่ง กู้เงินเยอะ การแก้กฎหมายอุดรูรั่ว เก็บรายได้เพิ่มขึ้น จึงเป็นแนวทางที่ขุนคลังน่าจะลองนำไปพิจารณา.ลมกรดคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม