วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม วันที่สองของการทำงานของรัฐบาล “อนุทิน 1” ซึ่งแถลงนโยบายเรียบร้อยเมื่อค่ำวันที่ 30 กันยายน แล้วประชุม ครม.นัดพิเศษทันทีเพื่อเตรียม ใช้งบประมาณปี 2569 ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันรุ่งขึ้น (พุธที่ 1 ตุลาคม)นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศไว้ว่าจะเริ่มต้นทำงานนับ 1 วันแรกจาก 1 ตุลาคม แล้วจะลุยไปเรื่อยๆ 4 เดือนเต็มๆตามโควตา พร้อมกับประกาศยุบสภาทันที 31 มกราคม 2569ผมขอเป็นกำลังใจให้แก่คณะรัฐมนตรีทุกท่าน ขอให้ทำงานอย่างเต็มที่อย่างอุทิศตนดังที่ได้กล่าวปฏิญาณไว้ต่อเบื้องพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนเข้ารับตำแหน่งแต่ก็อย่างที่กราบเรียนท่านผู้อ่านอยู่เสมอ ผมไม่หวังอะไรมากนักจากรัฐมนตรีที่มาจากนักการเมืองของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งนับอย่างคราวๆก็คือ 30 คน ที่กระจายกันไปอยู่ตามกระทรวงต่างๆขอให้ทำเต็มที่ อย่าโกง อย่ากิน ผมก็พอใจแล้วทว่าผมตั้งความหวังไว้มากกับรัฐมนตรี “คนนอก” ทั้ง 5 ท่าน ซึ่งโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมให้เห็นจะจะแล้ว 2 ท่าน (ก่อนผมเขียนต้นฉบับวันนี้) ท่านแรกก็คือ รัฐมนตรีต่างประเทศ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ที่ลุกขึ้นอภิปรายฉีกหน้า นายปรัก สุคน รัฐมนตรีต่างประเทศ กัมพูชา ที่ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จต่อที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติครั้งที่ 80 เมื่อ 2 วันก่อนจนแหกเป็นริ้วๆท่านที่ 2 ได้แก่ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่ลุกขึ้นอภิปรายเชิงชี้แจงสรุปถึงนโยบายและแผนงานที่จะทำในระยะ 4 เดือนหน้าในฐานะ รมว.พาณิชย์ อย่างสมศักดิ์ศรีของนักบริหารมืออาชีพจากภาคเอกชนคุณศุภจีเพิ่งไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปพบปะเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆของกระทรวงพาณิชย์เมื่อไม่กี่วันนี้เอง แต่บรรยายถึงงานทั้งหมดของกระทรวงพาณิชย์อย่างรู้แจ้งเห็นจริงราวกับท่านเคยเป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์มาก่อนอย่างไรอย่างนั้นเห็นความสามารถของท่านแล้วก็เชื่อได้เลยว่า ฉายา “ซุปเปอร์วูแมน” ที่ท่านได้รับเป็นของแทร่ 100 เปอร์เซ็นต์สำหรับอีก 2 ท่านด้านเศรษฐกิจ แม้ผมจะยังไม่ได้ฟังคำชี้แจงต่อรัฐสภาอันได้แก่ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และอดีตซีอีโอ ปตท. อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ แต่เนื่องจากเคยติดตามการทำงานของท่านมาอย่างใกล้ชิด จึงมั่นใจได้ว่าเป็น “ของแทร่” เช่นกันผมจึงขอให้กำลังใจรัฐมนตรี “คนนอก” โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจเป็นพิเศษ และเชื่อว่าหากทุกท่านทุ่มเทอย่างเต็มที่ และฝ่ายข้าราชการประจำทุกระดับให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่แล้ว 4 เดือน ข้างหน้านี้เห็นผลแน่นอนพูดถึงความร่วมมือร่วมใจในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแล้ว ทำให้ผมอดมิได้ที่จะนึกย้อนหลังกลับไปเมื่อ 40 ปีที่แล้ว หรือ พ.ศ.2528 ซึ่งเป็นปีแห่งการฟื้นตัวที่ยิ่งใหญ่มากอีกปีหนึ่งของประเทศไทยเศรษฐกิจของประเทศไทยเริ่มซวดเซมาตั้งแต่ปี 2526 และมาหนักสุดในปี 2527 ถึงขั้นขาดดุลชำระเงินอย่างมโหฬาร และรัฐบาลไทยซึ่งมี “ป๋าเปรม” พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และ “ปู่หมาย” สมหมาย ฮุนตระกูล เป็นรัฐมนตรีคลัง ต้องลดค่าเงินบาทแก้สถานการณ์ถึง 2 ครั้งโดยเฉพาะการลดครั้งที่ 2 เกิดขึ้นก่อนวัน “ลอยกระทง” ปี 2527 ถึงขั้นปล่อยลอยตัวเงินบาทและทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงไปถึง 27-28 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ นำความเดือดร้อนมาสู่ประชาชนที่ต้องบริโภคสินค้านำเข้าอย่างใหญ่หลวงแต่หลังจากลดค่าเงินบาทครั้งใหญ่ไม่กี่เดือน รัฐบาลป๋าเปรมก็สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างเหลือเชื่อ ทำให้ปี 2528 กลายเป็นปีแห่งการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญและกลายเป็นปีเริ่มต้นของการที่ประเทศได้รับฉายาจากสื่อมวลชนระดับโลกว่า “เสือตัวที่ 5 ของเอเชีย” เมื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่หลังการลดค่าเงินบาทครั้งใหญ่เพียงปีเดียวเท่านั้นป๋าเปรมทำได้อย่างไร? และบทเรียนครั้งนั้นสอนอะไรไว้บ้าง? โปรดอ่านต่อวันพรุ่งนี้นะครับ.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม