ใน “เกร็ดภาษาหนังสือไทย” ฉบับปรับปรุง (พิมพ์คำสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ 9 พ.ศ.2560) ส.พลายน้อย บอกว่าครูบาอาจารย์แต่ก่อนท่านตั้งข้อสังเกตไว้ คำว่า “จักร” และคำว่า “กงจักร” มีความหมายต่างกันอาวุธพระนารายณ์ที่ใช้ปราบข้าศึกที่เราอ่านกันในวรรณคดี เราเรียกว่า “จักร” ถือเป็นชัยมงคลส่วนเครื่องทรมานที่พัดบนหัวของสัตว์นรก เรียกว่า “กงจักร” เรียกอีกคำว่า “จักรกรด” ถือเป็นอัปมงคลเริ่มกันที่เรื่องมงคล สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงมีลายพระหัตถ์กราบบังคมทูลพระกรุณา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงเรื่อง “ตราจักร” ไว้ตอนหนึ่งว่าตราเก่ามีเอาเทวราชมาทำให้เสนาบดีอยู่ดวงหนึ่ง คือ “ตราจักร” คิดด้วยเกล้าว่าสำหรับเจ้าพระยาจักรี ไม่ใช่สำหรับเสนาบดีมหาดไทย เจ้าพระยาจักรีคนแรก คงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ให้ทำการต่างพระองค์ถึงประหารชีวิตได้โดยลำพัง จึงตั้งชื่อเป็นนารายณ์ และพระราชทานตราจักราวุธนารายณ์ เป็นเครื่องหมายเป็นการควรแก่ตำแหน่ง เมื่อพระยาจักรีว่าที่สมุหนายกด้วย จึงถือตราสองดวง คือ จักรกับราชสีห์ ย่อมปรากฏเห็นได้โดยธรรมเนียมที่บังคับการธรรมดา ใช้แต่ตราพระราชสีห์ถ้าสั่งประหารชีวิตจึงจะประทับตราจักรด้วย สำแดงคำสั่งเจ้าพระยาจักรี เพราะอำนาจสมุหนายกประหารชีวิตไม่ได้มาถึงคำที่ว่าอัปมงคล “กงจักร” ชาวพุทธรู้จักแพร่หลายจากสำนวน เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ตอน ส.พลายน้อย บวชได้อ่านหนังสือ “มงคลทีปนี” จึงได้จดบันทึกไว้ดังต่อไปนี้ในศาสนาพระพุทธกัสสปมีบุตรเศรษฐีชื่อ มิตตวินทุกะครั้งเมื่อบิดาตายก็เข้าไปขอมารดาจะไปทำการค้าขายทางทะเล แต่มารดาไม่ให้ไป มิตตวินทุกะ ดื้อรั้นจะไปให้ได้ มารดายุดมือห้าม มิตตวินทุกะบันดาลโทสะ ตบตีเตะมารดา ล้มลงระหว่างเท้า...ตาย แล้วรีบขึ้นเรือสำเภาไปเมื่อเรือแล่นในทะเลได้เจ็ดวันก็เกิดเหตุ เรือหยุดนิ่งไม่ยอมเคลื่อนที่นายสำเภาลงความเห็นว่าน่าจะมีกาลกิณีอยู่ในเรือ ใช้วิธีโบราณจับสลาก มิตตวินทุกะจับสลากได้ซ้ำถึงสามครั้งจึงถูกปล่อยลอยแพไปในมหาสมุทร แพลอยไปหยุดที่เกาะที่มีประตูสี่ด้านมิตตวินทุกะ มองเห็นเป็นสวรรค์ความจริงเกาะนี้ คือ “อุสุทนรก”มิตตวินทุกะเจอสัตว์นรกบนหัวมีจักรกรดพัดอยู่ เขามองเห็นเป็นดอกบัวงามออกปาก ขอจักรกรดมาใส่บนหัวตัวเองทันทีนั้นเขาจึงประจักษ์ชัด แท้จริงดอกบัวนั้นคืออาวุธลงทัณฑ์ทรมาน เขาเป็นสัตว์นรกเต็มตัวไปแล้วส.พลายน้อยบอกว่าในหนังสือ “พระมาลัย” โบราณใช้สวดในงานแต่งงานมีกล่าวไว้ตอนหนึ่ง“ผู้ใดตีพ่อแม่ ปู่ย่าแก่แลตายาย ตีด่าสงฆ์ทั้งหลาย ตีภิกษุและเจ้าเณร ฯลฯ เลือดไหลลงยะหยด กรงจักรกรดพัดมะลาย เร่งร้องเร่งครางตาย กรงจักรเร่งพัดผัน...”เจตนาของการสวดพระมาลัย เพื่อสอนคู่บ่าวสาวให้ทำใจอยู่ในศีลธรรม รู้จักบาปบุญคุณโทษการสวดพระมาลัยในงานแต่งตอนนี้เลิกไปแล้ว แต่ในชนบทบางแห่งนิยมสวดในงานศพบ้าง แต่ก็น้อยเต็มที เหตุนี้ล่ะกระมัง ผู้คนสมัยนี้จึงไม่ค่อยอยู่ในศีลในธรรม ไม่กลัวบาปกลัวกรรม คนตัวเล็กก็โกงเล็กโกงน้อย คนตัวใหญ่ไม่ว่าหันไปทางไหนก็มีแต่ข่าวโกงบ้านโกงเมืองที่ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อใหญ่ขนาดนั้น รวยถึงขนาดนั้น โธ่เอ๋ย! ที่วัดแท้ๆก็ยังโกงได้ลงคอ!พวกเราน่าจะรื้อฟื้น เรื่องพระมาลัยในงานแต่ง หรืองานตาย มาสวดกันให้อึกทึกครึกครื้น อีกสักครั้งนะครับ..ปล่อยให้พระวัดหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเทศน์อยู่ที่เดียว ผมว่าเสียงท่านเบาเหงาเกินไป.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม